ประธานสาวโหดมว๊าก – บทที่85 ยากที่จะห้ามใจไหว

อ่านนิยายจีนเรื่อง ประธานสาวโหดมว๊าก ตอนที่ 85 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

“หลังจากที่เห็นภาพที่เธอส่งมาแล้วฉันก็รีบมา คุณดูคนนี้ ใช่คนรวยที่คุณพูดถึงมั้ย?”

ผมฟังคำพูดของโจงหลิงจนจบอย่างชะงักงัน จากนั้นก็กลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหว

“ฟางหยาง ทำไมเหรอ? ไม่ใช่เขาเหรอ?” โจงหลิงถามอย่างค่อนข้างซีเรียส

“คือเขา คนนี้นั่นแหละ โจงหลิง ครั้งนี้ต้องขอบคุณคุณมากจริงๆนะ”

ผมตื่นเต้นจนอยากตบบ่าของเธอ แต่ก็รู้สึกไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ จึงทำได้เพียงยิ้มให้เธออย่างซาบซึ้งใจ จากนั้นหยิบมือถือขึ้นมา มองผู้บริหารทั้งหลายของบริษัทที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม แล้วกล่าว “ประธานจาง หัวหน้าทุกท่าน หลักฐานที่พวกคุณต้องการอยู่ที่นี่ ผู้ชายที่ตัวสูงใหญ่ที่พูดคุยกับกงเจิ้งเหวินอยู่ในรูปคนนั้น ก็คือเพื่อนร่วมห้องที่ขโมยคลิปของผมไป ชื่ออู๋เฉิงจื้อ

ผมชี้ไปที่โจงหลิงอีกครั้ง จากนั้นก็กล่าวว่า “คนนี้ก็เป็นเพื่อนร่วมห้องของผมเช่นกัน ชื่อโจงหลิง เมื่อคืนเธอเห็นอู๋เฉิงจื้อใช้มือถือผมก๊อบปี้บางอย่างกับตาตัวเอง เธอเป็นพยานได้

พูดจบ ผมเอามือถือวางไว้บนโต๊ะประชุม ผลักไปที่ด้านหน้าของโจวปิ่นคุนโดยตรง

โจวปิ่นคุนหยิบมือถือขึ้นมา จางอี้หลินที่อยู่ข้างๆเขารีบเข้าไปดู สีหน้าเขาเปลี่ยนไปในทันใด

มองไปมองมา โจวปิ่นคุนชูมือถือขึ้น แล้วถามโจงหลิงว่า “คุณโจง ผู้ชายตัวสูงใหญ่ในรูปคนนี้ แน่ใจมั้ยว่าเป็นเพื่อนร่วมห้องของคุณและฟางหยาง?”

“อืม” โจงหลิงพยักหน้าอย่างมั่นใจ “เขาชื่ออู๋เฉิงจื้อ ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆคนนั้นคือแฟนสาวของเขา ชื่อโจวเมี่ยว และเป็นเพื่อนร่วมห้องของพวกเราเช่นกัน พวกเราเช่าห้องด้วยกัน”

“โอเค ขอบคุณนะครับ งั้นพอจะบอกทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณเห็นทั้งหมดให้พวกเราฟังหน่อยได้มั้ยครับ?”

โจวปิ่นคุนกล่าวด้วยท่าทีที่เป็นมิตร พลางยื่นมือถือให้คนข้างๆดู

โจวหลินเริ่มอธิบายว่าเมื่อคืนเธอเห็นอู๋เฉิงจื้อใช้มือถือของผมก๊อบปี้บางอย่างได้อย่างไร และเห็นเขากับโจวเมี่ยวย้ายบ้านอย่างวุ่นวายตอนเช้าได้อย่างไร

เมื่อเธอพูดจบ โจวปิ่นคุนดันมือถือกลับมาอย่างยิ้มกรุ้มกริ่ม แล้วกล่าว “คุณโจง ขอบคุณมากเลยนะครับ”

“ไม่เป็นไรค่ะ เป็นสิ่งที่ฉันควรทำอยู่แล้วค่ะ ฟางหยางเป็นคนดีคนหนึ่ง เมื่อหลายวันก่อนตอนที่ฉันเจอกับคนเลว เขาออกโรงช่วยฉัน ดังนั้นขอพวกคุณอย่าไล่เขาออกได้มั้ยคะ?”

โจวปิ่นคุนยังคงยิ้มอย่างเป็นมิตร “เรื่องนี้เมื่อมาถึงจุดนี้แล้วความจริงก็ได้ปรากฏออกมาแล้ว ก็พอจะตัดสินได้แล้วว่าฟางหยางไม่ได้เป็นคนโพสต์คลิปนั่น แต่เขาไม่ได้ลบและไม่ได้จัดเก็บให้ดี จึงทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ เขายังคงต้องรับผิดชอบอยู่ดี”

เมื่อพูดถึงจุดนี้ โจวปิ่นคุนหันมาเผชิญหน้ากับผม แล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “ฟางหยาง คุณน่าจะรู้ดีว่าเรื่องนี้อาจทำให้เกิดผลกระทบได้ เรื่องเริ่มต้นมาจากคุณ คุณมีส่วนเกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบ ภารกิจของคุณในตอนนี้ก็คือรีบบินไปที่เขียงใหม่ให้เร็วที่สุด รอให้ทุกอย่างคลี่คลาย แล้วบริษัทค่อยลงโทษคุณตามผลลัพธ์ของเรื่องนี้

ผมก็พยักหน้าอย่างจริงจัง “ประธานโจววางใจได้ครับ ผมซื้อตั๋วเรียบร้อยแล้ว จะจัดการเรื่องนี้ตามความเหมาะสมครับ”

“โอเค เลิกประชุม”

พูดจบ โจวปิ่นคุนก็หันหลังเดินออกจากห้องประชุมไป

คนอื่นๆก็เดินตามไปติดๆ จางอี้หลินหน้าตาบูดบึ้ง หลังจากที่เหลือบมองผมอย่างเลือดเย็นแล้วนั้น เขาก็ได้หันหลังแล้วจากไป

“มาที่ห้องทำงานขอฉันหน่อย” ไป๋เวยพูดออกมาด้วยหน้าบอกบุญไม่รับ แล้วเดินออกจากห้องประชุมไป

ผมโล่งอก แล้วพูดอย่างจริงจังกับโจงหลิงว่า “ขอบคุณครับ”

“ไม่เป็นไรค่ะ เป็นสิ่งที่ฉันต้องทำอยู่แล้ว เอาล่ะ ไม่มีอะไรแล้ว ฉันต้องรีบไปล่ะ ผู้บริหารของบริษัทคุณเหมือนจะเอาใจยากนะ ฉันยังรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาบ้างเลย โดยเฉพาะประธานไป๋คนนั้น สวยมาก แต่ท่าทีดุร้ายมาก”

“โอเค ผมไปส่งคุณนะ รอให้กลับมาจากทำงานนอกสถานที่ก่อนจะเลี้ยงข้าวคุณ”

“ทำอาหารให้ฉันกินก็พอแล้ว อาหารที่คุณทำอร่อยมาก”

“เหอะๆ โอเค”

ผมไปส่งโจงหลิงที่ชั้นล่างของบริษัท หลังจากที่มองเธอห่างไปไกลแล้ว จึงได้หันหลังแล้วขึ้นไปชั้นบน

เพียงแค่ไปยอมรับผิดกับอนุรักษ์ดีๆ ให้เขาอย่าทำลายสัญญา ถ้าเป็นแบบนี้งานนี้จะต้องรักษาไว้ได้แน่ มากสุดก็แค่ทำรายงานติติงหรือหักเงินโบนัสแล้วจบกันไป

โจวปิ่นคุนปลิ้นปล้อนมาก ตอนไม่มีหลักฐานไม่แสดงท่าทีใดๆ ไม่ทำผิดกับฝ่ายฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทั้งนั้น พอมีหลักฐานก็รีบเข้าข้างฝั่งไป๋เวย แบบนี้ เขาไม่ทำผิดต่อฝ่ายใดทั้งนั้น และไม่ถือว่าเป็นปฏิปักษ์กับกงเจิ้งเหวินด้วย เพราะหลักฐานคาตาอยู่แล้ว

กงเจิ้งเหวินต้องโมโหจนกระอักเลือดแล้วจริงๆ ใช้เงินไปมากมายตอนอยู่เชียงใหม่ยังฆ่าผมไม่ได้ หลังจากกลับมาได้จ่ายไปอีกห้าแสน สุดท้ายก็สูญเปล่า ไม่ได้อะไรคืนมาเลยสักอย่าง

ผมอยากเห็นว่าหลังจากที่เขาได้ฟังข่าวแล้วจะมีท่าทียังไง

กลับมาที่บริษัท ผมเคาะประตูห้องทำงานของไป๋เวย

“ประธานไป๋ คุณเรียกหาผม?” ผมเดินไปที่หน้าโต๊ะทำงานของเธอแล้วถาม

ไป๋เวยเงยหน้าขึ้น หน้าบอกบุญไม่รับมองผม แล้วกล่าว “ฉันเคยบอกแล้ว ว่าอย่าพูดแบบนั้นต่อหน้าคนอื่น”

ผมไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ “ประธานไป๋หมายถึงคำพูดไหนครับ?”

“ยังมีคำพูดไหนอีก? ก็คำพูดนั้น……เหมือนคำพูดกะล่อนๆสารภาพรัก”

“อ๋อ แต่เมื่อกี๊ผมไม่ได้สารภาพรักนะ เพียงแต่อธิบายความขัดแย้งของตัวเองกับกงเจิ้งเหวิน และเน้นว่าตัวเองเจอกับอำนาจอิทธิพลมาข่มขู่ก็ไม่ยอมละทิ้งอุดมการณ์ของตัวเองก็เท่านั้น”

“ยังจะแถอีก!” ไป๋เวยสีหน้าโมโห จากนั้นก็พูดอย่างเย็นชาว่า “ฟางหยาง คำพูดแบบนี้ของคุณหลอกลวงเด็กสาวแบบเมื่อกี๊นั้นได้ แต่หลอกอะไรฉันไม่ได้หรอกนะ ฉันรู้ความหมายของคุณ ที่พูดในตอนช่วงเช้าที่ห้องบันได”

“คุณเกลียดฉัน เพราะฉันทำให้คุณติดคุก ทำให้คุณต้องเสียหลินโล่สุ่ยไป ดังนั้นคุณจึงจงใจจีบฉัน ให้ฉันตกหลุมรักคุณ จากนั้นก็ทิ้งฉันไปอย่างไม่ไยดี ใช้วิธีที่โหดร้ายแบบนี้มาเอาคืนฉัน ฉันพูดถูกมั้ย?”

“ไม่ว่าจะเป็นตอนอยู่ที่เชียงใหม่ที่คุณต้มซุปขิงพุทราจีนให้ฉัน นวดให้ฉัน พาฉันไปเที่ยว แล้วหลังจากกลับมาแล้วยังทำอาหาร ซื้อดอกไม้ให้ฉัน ทั้งหมดนี้เพื่อล้างแค้นฉัน ใช่มั้ย?”

เมื่อมองแววตาอันเยือกเย็นคู่นั้นของไป๋เวย ผมรู้สึกโศกเศร้า เธอโมโหแล้วจริงๆ และไม่อยากมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกับผมแบบนี้อีกต่อไปแล้ว

สำหรับเธอแล้ว บางทีความสัมพันธ์แบบนี้ไม่เหมาะกับสถานการณ์ตอนนี้ ถึงขั้นไร้สาระ

เมื่อเข้าตอนอยู่ในห้องบันได ผมได้พูดต่อหน้าเธอว่าไม่แคร์งานนี้ ที่ต้องทำงานที่นี่ เพราะอยากจีบเธอ อยากล้างแค้นเธอ

แม้ผมจะไม่พูดต่อ แต่ไป๋เวยเข้าใจความหมายของประโยคนั้น

เธอรู้ว่าผมเกลียดเธอ

ผมก็เคยเกลียดเธอจริง หลังจากออกจากคุก หลังจากที่เห็นหลินโล่สุ่ยและเฉาเหวินหวยสนิทสนมหวานแหววกันแล้วนั้น ผมจึงเกลียดเธอเป็นพิเศษ มองว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเธอทำร้ายผม

แต่ ราวกับว่าผมไม่เกลียดเธอมานานมากแล้ว

ต่อให้การที่ตัวเองต้องติดคุกเพราะเธอเป็นคนทำจริง ต่อให้เธอทำร้ายผมจนผมต้องไปอยู่ในห้องคุมขังอีกหลายวันอีกครั้ง แต่ไม่รู้ทำไม หลังจากช่วงที่อยู่เชียงใหม่หลายๆวันนั้น เหมือนผมจะไม่เกลียดเธออีกแล้ว

โดยเฉพาะหลังจากที่ได้ยินคำพูดนั้นของหลินโล่สุ่ยเมื่อเช้าแล้ว ผมรู้ว่าตัวเองเป็นคนผลักหลินโล่สุ่ยไปหาเฉาเหวินหวยด้วยตัวเองทีล่ะก้าวทีล่ะก้าว ต่อให้ไม่ติดคุก เธอก็ต้องไปจากผมอยู่ดี

ดังนั้น ผมยิ่งเกลียดตัวเองมากกว่า

ตอนอยู่ที่ห้องบันได แล้วพูดแบบนั้นกับไป๋เวย เป็นเพราะตอนนั้นตัวเองทุกข์ระทมมาก เหมือนกับถูกอะไรอุดไว้ที่หัวใจ ทุกข์ทรมานมาก สุดท้ายจึงได้ระบายอย่างยากที่จะห้ามใจไว้ได้

แต่หลังจากที่ระบายเสร็จแล้ว จู่ๆตัวเองก็เหมือนว่างเปล่าไป ค่อนข้างมึนงง ทำอะไรไม่ถูก

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด