ประธานสาวโหดมว๊าก – บทที่ 11 รักแรก
เธออยู่เชียงใหม่จริงๆ ชายที่ใส่สูทที่ยืนอยู่ข้างๆเธอ เขาเป็นผู้ชายที่ขับรถออดี้A8ในวันนั้น
ดูเหมือนพวกเขาจะเหมาะกันมากๆ
ผมนึกถึงข้อความที่เธอส่งมาให้ผมโดยไม่ได้ตั้งใจ เธอบอกว่าตัวเองกำลังจะแต่งงาน
บางทีอาจจะเป็นเพราะศักดิ์ศรีอันไร้ค่าของตัวเองกำลังเล่นตลกอยู่ ในขณะที่หลินโล่สุ่ยกับผู้ชายคนนั้นกำลังจะเดินออกมา ผมกอดเอวของไป๋เวยทันที
ไป๋เวยตัวสั่น เธอขมวดคิ้วและกำลังจะปะทุความโกรธ
“ประธานไป๋ อย่าพึ่งขยับ ผมขอกอดเอวคุณหน่อยได้ไหม ขอแค่สามวินาที”ผมพูดเบาๆที่ข้างๆหูเธอ
เมื่อพูดจบ หลินโล่สุ่ยกับผู้ชายคนนั้นก็เดินออกมา มองเห็นผมกับไป๋เวยที่ยืนอยู่หน้าประตู จากนั้นพวกเขาก็อึ้งไปเลย
เห็นได้ชัดว่า หลินโล่สุ่ยไม่คาดคิดเลยว่าจะเจอผมที่BTTในเชียงใหม่ ในสายตาของเธอเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ผ่านไปชั่วครู่ สายตาของเธอก็มองต่ำลง มองเห็นผมกำลังจับเอวของไป๋เวยอยู่ สายตาของเธอก็ตกตะลึง เธอไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง และเธอก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหล
“โล่สุ่ย?”
ผมก็อึ้งไปเลย และแสดงความประหลาดใจออกมาเหมือนกัน
จากนั้นก็รีบเอามือออกจากเอวของไป๋เวย ยิ้มด้วยความเขินอายและพูด”โล่สุ่ย ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่เชียงใหม่?”
หลินโล่สุ่ยรีบเก็บอาการประหลาดใจของตัวเองทันที เธอไม่ได้ตอบคำถามของผม แต่เธอพูดกับไป๋เวยด้วยรอยยิ้ม”สวัสดีประธานไป๋” จากนั้นก็หันหน้ามามองที่ผมและพูดเบาๆด้วยรอยยิ้มว่า
“สวัสดี ฟางหยาง ฉันมาเพื่อคุยโปรเจ็กต์ ไม่คาดคิดเลยว่าจะเจอคุณที่นี่”
“โอ้ มันเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ ผมก็มาคุยโปรเจ็กต์กับBTTเหมือนกัน”ผมยิ้มและชี้ไปที่ตึกBTTที่อยู่ข้างหน้า
ความหมายก็คือ พวกเราเป็นคู่แข่งกัน ถ้าคุณสามารถมาคุยโปรเจ็กต์ที่ต่างประเทศ ผมก็ออกมาคุยโปรเจ็กต์ที่ต่างประเทศเช่นกัน ผมก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าคุณ
แน่นอน นี่อาจจะเป็นเพราะศักดิ์ศรีอันต่ำต้อยของผมกำลังเล่นตลกอยู่ และผมอาจจะปลอบใจตัวเองอยู่
หลินโล่สุ่ยไม่ได้แสดงสีหน้าประหลาดใจเลย ดูเหมือนเธอน่าจะเดาออกตั้งแต่แรก
ขณะนี้ ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างๆหลินโล่สุ่ยก็เดินขึ้นมาสองก้าว เขายิ้มอย่างมั่นใจและยื่นมือไปหาไป๋เวย”ประธานไป๋ สวัสดีครับ”
“ประธานเฉา” ไป๋เวยกล่าวทักทายเบาๆ และก็จับมือทักทายเขาอย่างเฉยเมย
เห็นได้ชัดเจน พวกเขาสองคนมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีนัก เพราะพวกเขาเป็นคู่แข่งกัน
“ไม่ทราบว่าเขาคือ……”ผู้ชายที่แซ่เฉามองผมด้วยความประหลาดใจ
“ฟางหยาง เลขาของฉัน”ไป๋เวยรีบแนะนำผมทันที
“เลขาเหรอ”ผู้ชายที่แซ่เฉาเหลือบมองที่ผม”คุณรู้จักโล่สุ่ยเหรอ?”
เมื่อเผชิญหน้ากับการดูถูกเหยียดหยามของเขา ผมไม่ได้เกิดโทสะ แต่พูดเบาๆว่า”เมื่อก่อนผมกับโล่สุ่ยเป็นแฟนกัน พวกเราอยู่ด้วยกันมาห้าปี จากนั้น……”
“ผู้ชายที่ติดคุกใช่ไหม?”ผู้ชายที่แซ่เฉาจงใจพูดคำว่าติดคุกออกมา
“โอ้โห คุณรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ?”ผมแกล้งทำเป็นประหลาดใจและถาม
ผู้ชายที่แซ่เฉารีบจูงมือของหลินโล่สุ่ยและเงยหน้า”ตอนนี้โล่สุ่ยเป็นคู่หมั้นของผม”
“อ้อ งั้นผมคงต้องแสดงความยินดีกับพวกคุณล่วงหน้าแล้ว โล่สุ่ยอย่าลืมเชิญผมไปร่วมงานแต่งของคุณด้วย”
ผมพยายามอดทนกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในใจ และจงใจลากเสียงให้ยาว ผมเกือบจะพูดกับผู้ชายคนนั้นว่า คุณก็เป็นพวกที่ชอบเก็บของเหลือจากคนอื่น
“ขอบคุณ”หลินโล่สุ่ยพยักหน้าเล็กน้อย
“ประธานไป๋ ผมไม่รบกวนพวกคุณแล้ว”
ผู้ชายที่แซ่เฉาไม่สนใจผม เขาบอกลาไป๋เวยและจูงมือของหลินโล่สุ่ยแล้วเดินจากไป
ขณะขึ้นรถยนต์ หลินโล่สุ่ยหันหลังกลับมามองผมอีกครั้ง สายตาของเธอดูสับสน
หลังจากที่พวกเขาจากไป ผมก็จุดบุหรี่แล้วสูบทันที
“เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ ห้ามมีครั้งหน้าอีกเป็นอันขาด”
ไป๋เวยที่อยู่ข้างๆพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ผมรู้ดีว่าเธอกำลังพูดถึงเรื่องที่ผมจับเอวของเธอ
แต่ผมไม่ได้พูดอะไรอีก ผมทำได้แค่มองทิศทางที่หลินโล่สุ่ยจากไป และสูบบุหรี่อย่างเงียบๆ
เพราะว่าผมรู้สึกโศกเศร้า โศกเศร้าที่ตัวเองยังรู้สึกปวดใจเพราะหลินโล่สุ่ย
อยู่ด้วยกันตั้งห้าปี ถ้าบอกว่าไม่รักเธอก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเธอเป็นรักแรกของผม และผมก็รักเธอมากๆด้วย
ในขณะเดียวกัน ผมก็เกลียดเธอมากๆเช่นกัน
“คุณจงใจทำให้หลินโล่สุ่ยเห็นใช่ไหม?”จู่ๆไป๋เวยก็ถามขึ้นมา
ผมพ้นควันบุหรี่ออกมาเป็นวงกลมและพูดเบาๆ
“ผมก็แค่จับเอวคุณนิดเดียวเอง ผมเคยจูบปากและกอดคุณมาแล้ว แค่จับเอวนิดหน่อย ทำไมคุณต้องคิดเล็กคิดน้อยด้วย?”
“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น”ไป๋เวยขมวดคิ้ว
“คุณหมายถึงอะไร?”
“คุณกลับมาคุยโปรเจ็กต์ของBTTเป็นเพราะหลินโล่สุ่ยใช่ไหม?คุณรู้ว่าหลินโล่สุ่ยกับเฉาเหวินหวยอยู่ที่เชียงใหม่ และกำลังแย่งโปรเจ็กต์ของBTTดังนั้นคุณก็ต้องการแย่งโปรเจ็กต์นี้จากพวกเขา อยากเอาชนะพวกเขาใช่ไหม?”
ผมมองไป๋เวยด้วยความประหลาดใจ ผู้หญิงสวยๆคนนี้ไม่ได้เป็นคนที่หน้าอกใหญ่แต่ไร้สมอง เธอเดาออกทั้งหมด
ผมพ่นควันบุหรี่วงกลมออกมาอีกครั้ง ผมส่ายหัวและยิ้ม”ประธานไป๋ คุณคิดมากไปแล้ว ที่ผมยอมมาคุยโปรเจ็กต์นี้ เพราะผมอยากนอนกับคุณคืนหนึ่งต่างหาก”
“เหอะๆ คุณคิดว่าฉันมองคุณไม่ออกเหรอ”ไป๋เวยหัวเราะอย่างเย็นชา
ผมรู้สึกโกรธเล็กน้อย”แม่งเอ๊ย ทำไมคุณถึงพูดมากจังเลย?”
เธอไม่พูดอะไรอีกและมองผมอย่างเย็นชา
“อยากจะได้โปรเจ็กต์นี้ไหม?”ผมโยนก้นบุหรี่ทิ้ง เดินไปยังด้านหน้าของเธอและพูด”ถ้าอยากได้โปรเจ็กต์นี้ ตอนนี้รีบกลับไปแก้แผนงานโปรเจ็กต์ที่โรงแรมเลย และแก้แผนงานโปรเจ็กต์ตามคำแนะนำของผม”
“ทำไมฉันต้องฟังคุณด้วย?”
ผมกางมือออก”เรื่องนี้คุณจะทำหรือไม่ทำ ก็แล้วแต่คุณ”
ไป๋เวยไม่พูดอะไรอีก แต่เธอยังคงมองผมอย่างเย็นชา
ผมเริ่มรู้สึกหงุดหงิด ขณะที่ผมกำลังจะก้าวขาแล้วเดินจากไป ในที่สุดไป๋เวยก็พูดว่า”กลับไปโรงแรมแล้วค่อยว่ากัน”
เมื่อกลับมาถึงโรงแรม ไป๋เวยก็เช่าห้องประชุมเล็กอีกครั้ง แต่เธอไม่ได้เรียกใครเลย เธอเรียกผมไปที่ห้องประชุมเพียงคนเดียว
“ฟางหยาง ฉันอยากถามคุณ คุณมั่นใจแค่ไหนว่าพวกเราจะได้โปรเจ็กต์นี้?”เมื่อผมเดินเข้ามา ไป๋เวยก็ถามด้วยสีหน้าปกติ
ผมหัวเราะและพูด”ผมไม่เคยพูดว่าผมมั่นใจว่าพวกเราจะได้โปรเจ็กต์นี้?แต่เป็นคุณต่างหากที่มาหาผม บอกให้ผมกลับมาช่วยคุณคุยโปรเจ็กต์นี้ คำถามนี้คุณควรถามตัวเองมากกว่า”
ไป๋เวยก็พูดด้วยสีหน้าปกติเหมือนเดิม”สันติสุขบอกฉันเกี่ยวกับเรื่องที่คุณคุยกับเขาในคืนนั้น เขาบอกว่ามุมมองของคุณยอดเยี่ยมมากๆและไม่เหมือนคนอื่น เขายังบอกอีกว่าคุณมีเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใคร คุณเป็นคนตรงไปตรงมาและจริงใจ และคุณก็มีเสน่ห์ที่ทำให้คนอื่นเชื่อถือคุณได้ง่ายๆ เขายังพูดอีกว่า……มีเพียงคุณคนเดียวที่สามารถพูดโน้มน้าวผู้บริหารระดับสูงของBTTได้”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ไป๋เวยส่ายหัวด้วยความสิ้นหวัง
“แต่ฉันมองไม่ออกจริงๆว่าคุณมีเสน่ห์ตรงไหน ทั้งหมดที่ฉันมองเห็นในตัวคุณ มีเพียงความดื้อรั้น ความหยาบคาย เป็นคนที่อกหักและพ่ายแพ้ในความรัก คนที่หมดอาลัยตายอยาก”
ผมรู้สึกโกรธทันที”แม่งเอ๊ย คุณเป็นบ้าเหรอ เรียกผมมาเพื่อพูดเสียดสีผมหรือไง?”
เมื่อเผชิญหน้ากับคำด่าของผม ไป๋เวยขมวดคิ้วและพูดอย่างเย็นชา”สิ่งที่ฉันพูดมันเป็นเรื่องจริง”
“เรื่องจริงที่ไหน คุณคิดเองเออเองมากกว่า”
เธอไม่พูดอะไรอีก และมองหน้าผมอย่างเย็นชา
“แม่งเอ๊ย”ผมไม่สนใจเธอ และเดินไปที่หน้าประตู
“ถ้าคุณจากไปอย่างนี้ ฉันจะยิ่งดูถูกคุณมากกว่านี้อีก”จู่ๆไป๋เวยก็พูดขึ้นมา
“พูดประชดผมเหรอ?”
ผมยิ้มเยาะเย้ยและเดินกลับไปอย่างช้าๆ เดินไปถึงด้านหน้าของเธอและมองใบหน้าอันสวยงามของเธออย่างละเอียด
คอมเม้นต์