ประธานสาวโหดมว๊าก – บทที่ 12 เสน่ห์ส่วนตัว
“ได้ การพูดประชดของคุณมันได้ผลกับผมจริงๆ ผมไม่ไปแล้ว เรียกทุกคนมาที่นี่ รีบมาแก้แผนงานโปรเจ็กต์เดี๋ยวนี้ หลังจากทำโปรเจ็กต์นี้เสร็จ ผมจะทำให้คุณเห็นเสน่ห์ส่วนตัวของผมบนเตียงนอนอย่างแน่นอน”
เมื่อพูดจบ ผมก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งทันที แล้วหายใจลึกๆหนึ่งครั้ง สงบสติอารมณ์แล้วหยิบกระดาษA4หลายๆใบขึ้นมา และเริ่มเขียนรายละเอียดของแผนงานโปรเจ็กต์ที่จำเป็นต้องแก้ไข
ไป๋เวยไม่ได้ขับไล่ผมออกจากห้อง แต่เธอมองผมอย่างเย็นชาอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์แล้วโทรหาคนอื่นๆในทีมโปรเจ็กต์ทันที
เธอกำลังใช้วิธีพูดประชดเพื่อให้ผมทำโปรเจ็กต์นี้ และเธอก็น่าจะรู้ว่าโปรเจ็กต์นี้ไม่ค่อยมีความหวังที่จะทำสำเร็จ ดังนั้นเธอก็เลยพยายามให้ผมลองทำ ด้วยการคอยกระตุ้นผมอยู่ด้านหลัง เหมือนการกระตุ้นวัวที่อยู่ด้านหน้าให้ไถนา
สำหรับเธอ ถึงแม้ผมจะทำโปรเจ็กต์นี้ไม่สำเร็จ เธอก็ไม่ได้สูญเสียอะไร เพราะเธอและคนอื่นๆก็เคยลองทำแล้ว แต่พวกเธอทำไม่สำเร็จ
ถ้าสมมุติผมทำโปรเจ็กต์นี้สำเร็จ เธอก็คงไม่ยอมนอนกับผมอย่างแน่นอน
ผมมองผู้หญิงคนนี้ออกอย่างทะลุปรุโปร่ง
ส่วนผมแค่อยากพิสูจน์ตัวเอง พิสูจน์ตัวเองให้หลินโล่สุ่ยดูเท่านั้นเอง
ส่วนเรื่องจะทำโปรเจ็กต์นี้สำเร็จหรือไม่ ผมก็ไม่มั่นใจเลย คงต้องใช้ทักษะการพูดของตัวเองเท่านั้น
หลังจากคนอื่นๆของทีมโปรเจ็กต์มาถึง ผมรีบเก็บพฤติกรรมเสเพลของตัวเองทันที ผมเอารายละเอียดที่ต้องเปลี่ยนแปลงที่ผมเขียนไว้ยื่นให้ไป๋เวย และพูดคุยรายละเอียดกับพวกเขาทีละประโยค
ในช่วงเวลาดังกล่าว ไป๋เวยรับโทรศัพท์ไปหนึ่งครั้ง จากนั้นก็บอกพวกเราว่า”BTTจะจัดการประชุมทางธุรกิจอย่างเป็นทางการกับพวกเราอีกครั้งในตอนเช้าของวันพรุ่งนี้”
บางทีพรุ่งนี้อาจจะเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของบริษัทจื้อเหวินซอฟต์แวร์ก็ได้
เมื่อพูดจบ ไป๋เวยก็มองหน้าผมอยู่ชั่วครู่ ดูเหมือนเธอจะตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดและพูด”การเจรจาทางธุรกิจในวันพรุ่งนี้ ให้ฟางหยางเป็นคนดูแลทั้งหมด”
ห้องประชุมตกอยู่ในความเงียบสงัดทันที ผ่านไปชั่วครู่ ทุกคนในทีมโปรเจ็กต์ต่างหันหน้ามามองที่ผม หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็ก้มศีรษะลงและกระซิบกันทันที
“ผมไม่เห็นด้วย”ชายคนหนึ่งลุกขึ้นพูดทันที
ผมเหลือบมองเขา เขาคือโจงคังหนิงและเป็นรองหัวหน้าทีมโปรเจ็กต์และมีตำแหน่งรองจากไป๋เวยเท่านั้น
“ประธานไป๋ ฟางหยางพึ่งเข้าบริษัทได้ไม่นาน เขารู้เรื่องเกี่ยวกับโปรเจ็กต์นี้ได้เพียงวันเดียว ถ้าให้เขาเป็นคนไปเจรจาโปรเจ็กต์นี้ มันอาจจะไม่ค่อยเหมาะสม”
เมื่อได้ยินเสียงคัดค้านจากโจงคังหนิง ไป๋เวยไม่ได้พูดอะไร แต่เธอใช้สายตาเหลือบมองทุกคนในทีมโปรเจ็กต์อย่างใจเย็น
โจงคังหนิงพูดอีกว่า”ประธานไป๋ เท่าที่ผมรู้ ฟางหยางพึ่งเข้าบริษัทได้เพียงครึ่งเดือน เขาทำงานได้เพียงสองวันก็ขาดงานเป็นเวลาหลายวันโดยไม่มีเหตุผล และบริษัทก็ไม่สามารถติดต่อเขาได้ ผมแค่อยากจะพูด คนอื่นๆในทีมโปรเจ็กต์ไม่มีใครไว้ใจเขา และพวกเราก็ไม่เคยร่วมมือทำงานกับเขาด้วย”
เมื่อเขาพูดจบ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งยืนขึ้นและพูด”ประธานไป๋ ฉันเห็นด้วยกับคำพูดของผู้จัดการโจง โปรเจ็กต์ของBTTนี้สำคัญต่อบริษัทของพวกเรามากๆ ฉันหวังว่าคุณควรพิจารณาอย่างรอบคอบ”
“ประธานไป๋ ผมเห็นด้วยกับความคิดของผู้จัดการโจง”
เมื่อมีคนที่หนึ่งเห็นด้วยก็จะมีคนที่สองเสมอ คนในทีมโปรเจ็กต์ต่างยืนขึ้นมาแสดงความคิดเห็นของตัวเอง มีหกในแปดคนคัดค้านข้อเสนอของไป๋เวย
ดูเหมือนไป๋เวยไม่ได้เป็นคนที่พูดคำไหนก็เป็นคำนั้น เพราะคำพูดของเธอไม่มีอำนาจตัดสินใจในทีมโปรเจ็กต์เล็กๆนี้เลย
ในวันนั้นที่ผมเข้ามาทำงานในบริษัท ฝ่ายบุคคลคนนั้นบอกว่าเธอเป็นลูกสาวของประธานบริษัท ซึ่งดูแล้วไม่สมเหตุสมผลเลย
ตอนนั้นผมก็ไม่ได้ถามเขาอย่างละเอียด คำว่าประธานบริษัท คือเป็นประธานกรรมการหรือว่าCEO? หรือกรรมการท่านอื่นๆ? หรือว่าเป็นผู้ก่อตั้งที่เกษียณอายุไปแล้ว?
“พวกคุณพูดจบหรือยัง?”ในขณะที่ผมสงสัย จู่ๆไป๋เวยก็เอ่ยปากพูด
เธอเหลือบมองใบหน้าทุกคนที่อยู่รอบๆโดยสีหน้าปกติและพูด”การเจรจาครั้งที่แล้ว ทุกคนยังจำได้ไหม? ล่ามแปลภาษาไม่ได้รู้คำศัพท์เกี่ยวกับธุรกิจและคำศัพท์เฉพาะเลย ทำให้การเจรจาครั้งนั้นติดๆขัดๆ พวกเราไม่สามารถควบคุมจังหวะในการเจรจา และยิ่งไม่สามารถควบคุมทิศทางการเจรจาได้เลย พวกเราพูดวกไปวนมาอยู่แต่ด้านเทคโนโลยี”
“การเจรจาครั้งนั้นมันเป็นความผิดพลาดสุดๆ”จู่ๆไป๋เวยก็พูดประโยคนี้ออกมา
“ถ้าต้องต่อสู้กันด้านเทคโนโลยี พวกเราจะสู้ซิลิคอนแวลลีย์ได้ยังไง? ถ้าไม่สามารถเจรจาไปในทิศทางที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเรา พวกเรายังจำเป็นต้องเจรจากับBTTอีกเหรอ?”
“ฟางหยางเข้าใจภาษาไทย ฉันเคยดูข้อมูลส่วนตัวของเขา เขาจบการค้าระหว่างประเทศ ขณะที่เขาเรียนอยู่มหาวิทยาลัย เขาได้สอบผ่านCU-TFL(การทดสอบสมรรถภาพการใช้ภาษาไทยสำหรับผู้พูดภาษาไทยเป็นภาษาต่างประเทศของสถาบันภาษาไทยสิรินธร) และเขามีประสบการณ์ด้านการขายมาสี่ปี และมีทักษะในการเจรจาต่อรองด้วย ดังนั้นฉันเลยเลือกเขา”
“ในเมื่อพวกคุณคัดค้าน งั้นก็บอกฉันมา พรุ่งนี้ใครจะเป็นคนไปเจรจา?”
เมื่อพูดจบ ไป๋เวยเอนหลังพิงที่เก้าอี้ เธอนั่งกอดอก มองพวกเขาด้วยสีหน้าปกติ
ผมก็เอนหลังพิงอยู่ที่เก้าอี้ มองดูพวกเขาอย่างสบายใจ
ดูเหมือนว่าไป๋เวยจะไม่ได้เป็นผู้หญิงที่หน้าอกใหญ่แต่ไร้สมอง เธอมีความสามารถจริงๆ
แต่เธอไม่ได้อธิบายเหตุผลอะไร เธอไม่ได้พูดในสิ่งที่ผมพูดกับสันติสุขออกมา และไม่ได้พูดเรื่องเสน่ห์ส่วนตัว แต่เธอพูดเรื่องที่ผมเข้าใจภาษาไทยเท่านั้น
แค่เธอพูดเรื่องภาษาไทยเพียงอย่างเดียว ก็ทำให้คนของทีมโปรเจ็กต์ทั้งหมดพูดไม่ออก
เนื่องจากโปรเจ็กต์ของBTTมาอย่างกะทันหัน ทำให้คนของบริษัทจื้อเหวินซอฟต์แวร์ ไม่มีเวลามากพอที่จะเตรียมตัว พวกเขามีพนักงานสองคนที่เข้าใจภาษาไทย แต่เป็นพนักงานใหม่ที่เข้าใจภาษาไทยแค่งูๆปลาๆเท่านั้น ส่วนล่ามแปลภาษามีอยู่คนหนึ่ง พูดภาษาไทยได้อย่างชัดเจน
แต่ล่ามแปลภาษาคนนี้ทำงานด้านท่องเที่ยว และเขาไม่ค่อยเข้าใจคำศัพท์ด้านธุรกิจและด้านเทคโนโลยีเลย……
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้บริหารของBTTส่วนใหญ่เข้าใจภาษาอังกฤษแค่งูๆปลาๆ ถ้าใช้ภาษาอังกฤษในการเจรจาก็คงเป็นไปไม่ได้ และจำเป็นต้องใช้ล่ามแปลภาษาเหมือนกัน ทำให้ไป๋เวยและคนอื่นๆไม่สามารถเจรจาหรือพูดโน้มน้าวอีกฝ่ายได้ ทำได้เพียงถามและแปลเป็นประโยคแล้ววกไปวนมา พวกเธอไม่สามารถเจรจาไปในทิศทางที่เป็นประโยชน์กับตัวเองได้เลย
“โอเค งั้นก็ทำตามที่ฉันพูด พรุ่งนี้ให้ฟางหยางเป็นคนที่ไปเจรจา ตอนนี้ทุกคนควรรีบแก้แผนงานโปรเจ็กต์ได้แล้ว”ไป๋เวยพูดอีกครั้ง
ไม่มีใครกล้าคัดค้านเธออีก โจงคังหนิงขมวดคิ้วแล้วถอนหายใจ เขาก้มหน้าและทำงาน
ในเมื่อไม่มีใครจับผิดผม ผมก็ไม่อยากสร้างปัญหาเหมือนกัน ผมก็คิดซะว่าเมื่อกี้ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ผมก็ปรึกษาและแก้แผนงานโปรเจ็กต์กับคนในทีมโปรเจ็กต์
จนถึงช่วงค่ำ พวกเขาก็แก้แผนงานโปรเจ็กต์นี้จนเสร็จ
พวกเขาทานอาหารในโรงแรมเสร็จ ขณะที่ผมกำลังกลับห้องพัก มีเบอร์คนแปลกหน้าโทรเข้ามา
ผมรับสายด้วยความสงสัย และมีเสียงของผู้หญิงที่คุ้นเคยดังขึ้น”สวัสดี ฟางหยาง”
“โล่สุ่ย?”ผมอึ้งไปชั่วครู่
“อืม ตอนนี้ฉันอยู่ร้านกาแฟที่อยู่ฝั่งตรงข้ามโรงแรมของคุณ พวกเราคุยกันหน่อยได้ไหม?”
“พวกเรายังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกเหรอ?”ผมพูดออกไปทันที
หลังจากพูดจบ ผมก็เสียใจทันที
ใช่แล้ว ผมกับหลินโล่สุ่ยไม่มีอะไรที่ต้องคุยกันอีก แต่ผมเสียใจจริงๆ เพราะผมอยากเจอเธอ ผมยังลืมเธอไม่ได้
หลินโล่สุ่ยไม่ตอบและผมก็เงียบ
พวกเราทั้งสองคนไม่ได้วางสาย
มันเป็นความเงียบที่ทำให้รู้สึกอึดอัด
ในขณะที่ผมใกล้จะทนไม่ไหว ในที่สุดหลินโล่สุ่ยก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ขมขื่น”ฟางหยาง ฉันขอโทษ”
ผมพูดช้าๆ”ถ้าเธอโทรมาเพื่อพูดแค่นี้ ไม่ต้องโทรมาดีกว่า”
“ไม่ใช่ ฉันอยากคุยเรื่องอื่นกับคุณ อย่างเช่นงานที่คุณทำอยู่ในตอนนี้……ถ้าคุณไม่อยากคุย ก็ไม่เป็นไร”
ผมลังเลเล็กน้อย หลับตาและหายใจลึกๆหนึ่งครั้งแล้วพูด”ผมกำลังเดินไป”
“ขอบคุณ ฉันรอคุณอยู่”
เมื่อวางสาย ผมอดไม่ได้ที่จะด่าตัวเอง ด่าตัวเองที่ไม่เอาไหน
หลังจากด่าตัวเองแล้ว ผมก็หันหลังและเดินออกจากประตู นั่งลิฟต์ลงไปชั้นล่างแล้วเดินไปที่ร้านกาแฟ
คอมเม้นต์