ประธานสาวโหดมว๊าก – บทที่ 27 ชายหญิงที่เล่นกันมาตั้งแต่เด็ก
พอพูดถึงตรงนี้ เธอก็มองมาที่ผมอย่างลังเล
ผมรู้ว่าเธออยากถามอะไร จึงพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า”แล้วแต่คุณเลย”
เธอจึงพูดกับปลายสายว่า”งั้นนายมาตอนนี้ก็ได้ เดี๋ยวฉันส่งโลเคชันของร้านอาหารให้นายนะ”
หลังจากวางสายไป เธอก็กดมือถือสักพัก
จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมา แล้วพูดกับผมอย่างรู้สึกผิด”ฟางหยาง ขอโทษนะ ฉันมีเพื่อนคนหนึ่งพึ่งมาถึงประเทศไทย อีกเดี๋ยวจะมาทานอาหารที่นี่ หวังว่าคุณจะไม่ถือสานะคะ”
“แฟนเหรอ?”ผมได้ยินเสียงในสายคือเสียงของผู้ชาย จึงอดที่จะถามเธออย่างสงสัยไม่ได้
“ไม่ใช่หรอก เป็นคนที่เล่นกันมาตั้งแต่เด็กน่ะ เป็นเพื่อนที่มีความสัมพันธ์ไม่เลว”
“ถ้างั้นก็คือชายหญิงที่เล่นกันมาตั้งแต่เด็กน่ะสิ เรียกมาเถอะ ผมกินอิ่มก็ไปแล้ว ไม่รบกวนพวกคุณหรอก”
พูดจบ ผมก็ก้มหน้าก้มตาทานต่อไป
ในตอนที่จะทานเสร็จแล้วนั้น จู่ๆไป๋เวยก็ลุกขึ้น แล้วโบกไม้โบกมือเบาๆไปทางประตู
ผมหันกลับไป เห็นคนคนหนึ่งสวมชุดสูทเรียบร้อย ชายหนุ่มที่รูปร่างหน้าตาดีเดินเข้ามา
“เจิ้งเหวิน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”ไป๋เวยยื่นมือไปหาเขาอย่างดีใจ
“เสี่ยวเวย ไม่ได้เจอกันนานเลย เธอยิ่งอยู่ยิ่งสวยนะเนี่ย”ชายหนุ่มคนนั้นจับมือกับเธอ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่เต็มไปด้วยแรงดึงดูด
“ขอบใจจ้ะ”ไป๋เวยยิ้มอย่างมีความสุข แล้วหันมาหาผม พลางพูดขึ้นว่า”แนะนำก่อนนะ นี่คือผู้ช่วยของฉัน หางหยาง นี่คือเพื่อนของฉัน กงเจิ้งเหวินรองผู้จัดการฝ่ายธุรกิจจินฝูของสำนักงานใหญ่”
ผมรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ผมรู้จักสำนักงานใหญ่ครับ ก็คือยู่เฟิงกรุ๊ป เป็นหนึ่งในร้อยของวิสาหกิจชั้นนำในประเทศ ทำธุรกิจส่วนใหญ่เกี่ยวกับเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน บริษัทจื้อเหวินซอฟต์แวร์เป็นแค่บริษัทในเครือที่ถูกสร้างขึ้น โดยยู่เฟิงกรุ๊ปในช่วงปลายทศวรรษ1990เพื่อต้องการมีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์เท่านั้น
ที่ผมแปลกใจคือกงเจิ้งเหวินเหมือนจะมีอายุเท่ากันกับผม อายุแค่นี้ก็ได้เป็นถึงรองประธานแผนกของยู่เฟิงกรุ๊ปแล้ว
แต่หลังจากที่นึกถึงคำพูดก่อนหน้านั้นของไป๋เวย ความสงสัยของผมก็หายไปอย่างรวดเร็ว ไป๋เวยดูเหมือนจะเป็นลูกสาวของเจ้าของบริษัทหรือผู้ร่วมก่อตั้งคนใดคนหนึ่ง กงเจิ้งเหวินเองก็เป็นคนที่เล่นกับเธอมาตั้งแต่เด็ก นั่นก็หมายความว่ากงเจิ้งเหวินก็เป็นทายาทเศรษฐีคนหนึ่ง และต้องมีพ่อเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัท
เมื่อเทียบกับความแปลกใจของผมแล้ว กงเจิ้งเหวินกลับมีความสุขุมลุ่มลึก กระทั่งยังใช้สายตาบางอย่างมองผมอย่างประเมิน
เอาจริงๆ ผมไม่ชอบสายตาแบบนี้มาก
“ที่แท้คุณก็คือฟางหยางนี่เอง”จู่ๆกงเจิ้งเหวินก็พูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน น้ำเสียงเรียบร้อยมาก ฟังไม่ออกว่ามีความหมายพิเศษอะไรซ่อนอยู่ แต่เขาไม่ได้อยากยื่นมือมาจับมือผมแต่อย่างใด
ผมรู้ข้อห้ามของระหว่างนักธุรกิจกับนักการเมืองดี คนที่มีฐานะตำแหน่งต่ำต้อยกว่า ไม่สามารถขอจับมือกับผู้ที่ฐานะตำแหน่งสูงได้ ผมจึงลุกขึ้นยืนแล้วพยักหน้าอย่างเรียบเฉย”สวัสดีครับประธานกง”
“อืม”กงเจิ้งเหวินพยักหน้าเล็กน้อย แล้วใช้น้ำเสียงของหัวหน้าที่พูดด้วยท่าทีที่สูงส่ง
“ผมได้ข่าวมาว่าคุณเคยติดคุก ยังมีความสัมพันธ์กับนักเลงในเชียงใหม่อีก แต่ประธานไป๋ยังเก็บคุณไว้ สิ่งที่เห็นค่าน่าจะเป็นความสามารถของคุณ ผมเชื่อในวิสัยทัศน์ของเธอ เพราะฉะนั้นคุณต้องตั้งใจทำงานนะครับ ลบล้างมลทินก่อนหน้านี้ให้สะอาดหมดจด ไม่อย่างนั้นถึงประธานไป๋จะเสียดายความสามารถของคุณ ผู้บริหารในบริษัทก็ไม่เก็บคุณไว้แน่”
ผมไม่ได้พูดอะไร แต่ขมวดคิ้วและจ้องมองไปที่เขา
กงเจิ้งเหวินเหมือนจะขี้เกียจสนใจผม เขาหันไปดึงเก้าอี้ออกให้ไป๋เวยอย่างเป็นสุภาพบุรุษ หลังจากที่เธอนั่งลงแล้ว เขาถึงนั่งลงข้างๆของไป๋เวย แล้วกระซิบกระซาบพูดคุยกับเธอเรื่องที่พึ่งมาถึงเชียงใหม่
ผมรู้สึกหัวเสียมาก เขาเป็นแค่คนของยู่เฟิงกรุ๊ป แต่บริษัทจื้อเหวินซอฟต์แวร์เป็นบริษัทที่ดำเนินงานอย่างอสระ เขามีสิทธิ์อะไรมาสั่งการผม?มาวางมาดเป็นหัวหน้าเหี้ยอะไรกัน
หรือว่า เมื่อกี้เขาได้แสดงอำนาจ?
ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น เหตุผลที่กงเจิ้งเหวินรู้อดีตของผม และรู้ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพวกของบัญชา ต้องเป็นเพราะติดตามไป๋เวยอยู่ตลอดเป็นแน่ กระทั่งเขายังระวังผู้ชายที่ปรากฏตัวรอบข้างของไป๋เวยอีกด้วย
เป้าหมายมันง่ายมาก เขาอยากจีบไป๋เวย
และนับตั้งแต่ที่ผมเข้าบริษัทวันแรก ก็เกิดเรื่องทะเลาะวิวาทกับไป๋เวย โดยเคยพูดถึงเรื่องประมาณที่ว่าไป๋เวยถ่างขาให้คนอื่น แล้วยังถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลได้ยินเข้า หลังจากที่มาถึงเชียงใหม่ ยังเคยมีการปะทะคำพูดที่ล่วงเกินและวิธีการร่วมงานที่อธิบายไม่ถูก ซึ่งมันแน่นอนอยู่แล้วที่ทำให้กงเจิ้งเหวินระวัง
เขาอาจจะรู้สึกว่าผมอันตราย เลยไปสืบประวัติของผม หลังจากที่รู้ว่าผมเป็นอันธพาลชั้นต่ำ เขาถึงได้แสดงสีหน้าท่าทางแบบนี้ออกมา เหมือนจะเตือนให้ผม ให้ผมรู้ถอยเมื่อยามลำบาก
มันน่าจะเป็นแบบนี้
แต่ กูไม่เคยคิดที่จะจีบไป๋เวยเลย มาวางมาดกับกูทำไม
ผมรู้สึกหัวเสียมาก แต่ไม่ได้อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับเขา ผมได้แต่นั่งทานอาหารของตัวเองต่อ ถือซะว่าเจอไอ้งั่งคนหนึ่งแล้วกัน
ผ่านไปไม่นาน ในตอนที่ผมอิ่มหมีพีมันแล้ว ไป๋เวยก็ลุกขึ้นบอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำ
ไป๋เวยพึ่งลุกเดินไป ฟงเจิ้งเหวินก็หันหน้ากลับมา ใช้สายตาดูถูกมองมาที่ผม
“ประธานกง มีปัญหาอะไรเหรอครับ?”ผมรับรู้ได้ถึงสายตาของเขา จึงเงยหน้าขึ้นมาถามอย่างเรียบเฉย
กงเจิ้งเหวินยกมุมปากขึ้นแสยะยิ้มเหมือนเยาะเย้ย”ผมจะให้คุณห้าแสน หยวน ลาออกซะ และรับปากว่าจะไม่มาเข้าใกล้กับเสี่ยวเวยอีก”
“โฮะ”ผมหลุดหัวเราะอย่างแปลกใจ คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดตรงไปตรงมาขนาดนี้
“ไม่พอ?”กงเจิ้งเหวินเลิกคิ้วขึ้น
ผมไม่ตอบแต่ถามกลับ”ประธานกง ทำไมคุณอยากให้ผมไปจากประธานไป๋ขนาดนั้นด้วยล่ะ?”
กงเจิ้งเหวินทำเสียงหึเบาๆ”อย่าคิดว่าผมไม่รู้นะว่า สามปีที่แล้วคุณต้องติดคุกเพราะเสี่ยวเวย แฟนก็หนีหายไปแล้ว หลังจากออกจากคุกคุณก็จงใจเข้าใกล้เธอ เป้าหมายคุณแค่อยากให้เธอชดใช้ ความจริงเรื่องแบบนี้มันไม่มากเกินไปเลย แต่คุณโลภเกินไป ไม่เพียงแค่ทำเพื่อเงินของเธอ ยังอยากได้ตัวของเธอ อีกทั้งคุณรู้ยังรู้ว่าคุณแบบเธอจีบยากมาก ใช้ไม่ได้ทั้งไม้แข็งและไม่อ่อน เพราะฉะนั้นเลยจงใจสร้างสถานการณ์ขัดแย้งกับเธอ สร้างภาพลวงตาของคู่แค้นแสนรัก ค่อยๆซึมซับเพื่อที่จะได้เธอมา ผมพูดไม่ผิดใช่ไหมล่ะ?”
ผมถึงกับตกตะลึง วงจรสมองของกงเจิ้งเหวิน ความสามารถในการเชื่อมโยงและวิเคราะห์ สุดยอดเกินไปรึเปล่า
เรื่องเมื่อสามปีก่อนของผมกับไป๋เวย ความจริงไม่ถือว่าเป็นความลับอะไร คนที่มีความสนใจก็แค่ตรวจสอบสืบดีๆ หรือไปตามหาเหลยหยุนเป่าก็รู้ได้แล้ว
กงเจิ้งเหวินต้องเคยสืบอย่างละเอียดมาแล้วแน่ๆ แต่จากสิ่งนี้ เขาก็สามารถขีดเส้นแบ่ง และวิเคราะห์จุดประสงค์ของผมในการเข้าถึงไป๋เวย โดยอ้างอิงจากความขัดแย้งระหว่างผมกับไป๋เวยในช่วงเวลานี้
ความสามารถในการวิเคราะห์นี้ สุดยอดไปเลย ไม่เสียแรงที่เป็นถึงรองผู้จัดการฝ่ายธุรกิจจินฝูของยู่เฟิงกรุ๊ป
แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าผมไปตามเส้นทางและวิธีที่กงเจิ้งเหวินวิเคราะห์ ไปเข้าใกล้ไป๋เวยด้วยวิธีการสร้างภาพลวงตาของคู่แค้นแสนรัก อาจจะจีบไป๋เวยสำเร็จจริงๆก็ได้
เพราะผู้หญิงอย่างไป๋เวยใช้ไม่ได้ทั้งไม้แข็งและไม้อ่อน แต่เธอมีความปรารถนาอันแรงกล้า กล่าวถือเธอเป็นคนขี้สงสัย เธอพึ่งจะแสดงความอยากรู้อยากเห็นต่อการแสดงออกของผมในระดับหนึ่ง และเธอยังเอ่ยถามผมในด้านความกระตือรือร้นทะเยอทะยานด้วย
ปัจจัยที่มีผลทำให้ผู้หญิงหวั่นไหวกับผู้ชาย นั่นก็คือความอยากรู้
มักอยากไตร่ตรองถึงเขา อยากเข้าใจในตัวของเขา ในตอนที่ไปสำรวจโลกภายในของเขา ผู้หญิงมักจะตกหลุมรักผู้ชายคนนั้นอย่างไม่รู้ตัว
ซึ่งมันก็เหมือนกับผู้ชายที่มักอยากจะถอดเสื้อผ้าของสาวสวยออก มองดูสรีระร่างกายของผู้หญิงให้ชัดเจน สำรวจโครงสร้างภายใน แม้แต่อุณหภูมิและความชื้น……
อืม……ถ้าเป็นแบบนี้ ผมจะลองจีบไป๋เวยดูไหม?
คอมเม้นต์