ประธานสาวโหดมว๊าก – บทที่39 ข่มขู่
“พี่หยาง……”
“หยุดพูดมาก แล้วทำตามฉันพูด”
โล๋อีเจิ้งค่อนข้างท้อแท้ “ก็ได้ แต่พี่อย่าเพิ่งรีบโอนเงินมาให้ฉันนะ ผมถามราคาให้แน่ชัดก่อน ถ้าราคาไม่แพงผมพอจะรวบรวมได้บ้าง พี่หยางไปเอาเงินสามหมื่นหยวนมาจากไหน?”
“แฟนเก่าให้เป็นค่าเลิกราแหละ”
“เชี่ย สบายขนาดนั้น? แฟนเก่าคนไหน แนะนำให้ผมหน่อยให้ผมได้สามหมื่นบ้าง”
“ไสหัวไป”
“อิอิ งั้นผมกลับไปทำงานก่อนนะ พี่หยางถ้าพี่มีอะไรโทรมาหาผมนะ จำไว้ต้องโทรมานะ”
“ได้ ไปทำงานเถอะ”
เมื่อวางสายโล๋อีเจิ้ง ผมก็ไปอาบน้ำ จากนั้นก็ดูดบุหรี่ ครุ่นคิดอย่างเงียบๆว่าจะจัดการกงเจิ้งเหวินยังไง
ยังดูดบุหรี่ไม่ทันหมดมวน จู่ๆผมก็นึกถึงเหวินเจีย จากนั้นก็หาเบอร์เธอแล้วกดโทรออก
ผ่านไปสักพักจึงโทรติด มีเสียงขี้เกียจเหวินเจียดังขึ้น “ฟางหยาง มีอะไรเหรอ?
“อืม……ไม่ ไม่มีอะไร ก็แค่อยากถามคุณสักคำว่านอนแล้วยัง
เหวินเจียเงียบไปสักครู่ จากนั้นได้ถามว่า “คุณกลัวว่าฉันจะเป็นอะไร จึงตั้งใจโทรมาถามความปลอดภัย หรืออยากคุยกับฉัน จงใจจะแซวฉัน?”
ผมค่อนข้างเขินอาย “ไม่พูดตรงขนาดนี้ได้มั้ย ผมก็แค่ถามความปลอดภัยก็เท่านั้น”
“ขอบคุณค่ะ ดีที่ไม่ได้จะมาคุยกับฉัน เพราะเมื่อกี๊ฉันหลับไปแล้ว ง่วงจังเลย”
“งั้นคุณรีบนอนละกัน”
“อืม งั้นผมวางสายล่ะนะ”
“ฝันดี”
เมื่อวางสาย ผมก็อดที่จะส่ายหน้าหัวเราะไม่ได้ เธอมักจะถามอะไรที่ไม่ได้เตรียมการไว้แล้วก็ร้องไม่ออกหัวเราะไม่ถูกเสมอ
กำลังจะปิดไฟนอนพอดี จู่ๆก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาจากด้านนอกประตู
ผมขมวดคิ้ว หยิบปากกาไฮไลต์ด้ามหนึ่งขึ้นมาจากหัวเตียง พลิกมือจับ แล้วจึงไปบิดล็อกประตู แต่ไม่ได้ปลดโซ่นิรภัยออก
หลังจากที่เห็นคนที่อยู่ด้านนอกแล้ว ผมจึงได้ปล่อยปากกาที่จับไว้แน่นออก นอกประตูไม่ใช่คนของบัญชา แต่เป็นไป๋เวย
“นี่เป็นเงินหนึ่งหมื่นหยวนคุณต้องการเบิกล่วงหน้า”
ไป๋เวยกล่าวอย่างนิ่งสงบ แล้วยื่นซองหนาๆมาซองหนึ่ง
ผมเอาโซ่นิรภัยออก เปิดประตู รับซองไปอย่างไม่เกรงใจแล้วดูมัน เงินหยวนที่ใหม่เอี่ยมหนาๆหนึ่งมัด
“อ้อ ขอเบิกเพิ่มอีกสามหมื่นได้มั้ย? ผมต้องใช้ด่วน”
ไป๋เวยขมวดคิ้ว “โครงการยังไม่ได้เซ็นสัญญาเป็นทางการ ฉันให้คุณเบิกหนึ่งหมื่นก็ถือว่า……”
“ไม่ได้ก็ช่าง” ผมเก็บซองมา กำลังจะปิดประตู
“ให้คุณพรุ่งนี้” จู่ๆไป๋เวยก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ขอบคุณ ถึงตอนนั้นคุณค่อยหักออกก็ได้ครับ ถ้าโครงการเกิดอะไรที่ไม่คาดฝันขึ้น ถือว่าผมยืมคุณ คืนแน่นอนครับ” ผมยกซองขึ้น คิดจะปิดประตูเข้านอน
“เดี๋ยวก่อน”
ผมหยุดมือไว้ พิงประตู แล้วมองเธออย่างนิ่งสงบ มองเธอว่าเธอคิดจะพูดอะไร
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” น้ำเสียงของเธอยังคงเย็นชาเช่นเคย
“พูดไปคุณก็ไม่เชื่อ แล้วจะพูดทำไม” ผมขี้เกียจจะอธิบายแล้ว จึงได้จับประตูเตรียมจะปิด
ไป๋เวยก้าวไปข้างหน้า ใช้มือขวางประตู แล้วกล่าว “ฉันอยากรู้ความจริง ในเมื่อคุณพูดว่าเจิ้งเหวินเป็นผู้สั่งการ ก็ต้องมีหลักฐาน ถูกมั้ย?”
ผมปล่อยประตูห้อง มองเธอสักพัก อดไม่ได้ที่จะถามว่า “คุณเคยนอนกับเจิ้งเหวินมั้ย?”
“คุณ……” ไป๋เวยหน้าถอดสี
“เคยนอนด้วยกันมั้ย?”
“ทำไมฉันต้องตอบคำถามนี้ด้วย?”
“งั้นก็ช่างมันก็แล้วกัน” ผมจับประตูเพื่อจะปิด
ไป๋เวยใช้แรงขวางไว้ ต้านบานประตู แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด “ฉันกับเขาเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น เพื่อนทั่วไป”
“ผมถามคุณว่าตกลงเคยนอนด้วยกันมั้ย”
ไป๋เวยกัดฟัน “ไม่เคย”
ผมตั้งใจจ้องเธอสักพัก หลังจากที่แน่ใจว่าเธอไม่ได้พูดโกหกแล้ว จึงได้กล่าวว่า “กงเจิ้งเหวินคิดจะจีบคุณ และรู้ว่าคุณไม่ชอบให้ใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง จีบยากมาก แต่เขาคิดว่าผมเป็นหมากตัวสำคัญ เพราะความสัมพันธ์ของผมกับคุณค่อนข้างพิเศษ ผมสามารถดึงดูดความคิดคุณได้ และเป็นตัวแปรของความรู้สึกคุณ ถึงขั้นทำให้คุณรู้สึกแปลกๆกับผมได้
“เขาคิดว่า ถ้าผมกับคุณยังเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ คุณอาจจะรักผมได้ ดังนั้นเขาจึงอยากไล่ผมไป โดยการเอาเงินฟาดหัวก่อน หลังจากที่ถูกผมปฏิเสธไปก็พาลโกรธ หาคนมาคิดจะตัดขาของผม สั่งสอนผมให้ผมเจอเรื่องร้ายๆแล้วยอมไป
“หลักฐานที่คุณต้องการ ตอนนี้ผมยังไม่มี เพราะบัญชาไม่เคยเจอกงเจิ้งเหวินมาก่อน มีเฉาเหวินหวยคอยบงการอยู่ตรงกลาง แต่บัญชารู้ว่าเป็นคนจีนที่วัยรุ่นมากและก็ร่ำรวยมากเช่นกัน ดังนั้นแค่จุดนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ผมมั่นใจแล้วว่าเป็นกงเจิ้งเหวินแน่ๆ คือเขาร้อยเปอร์เซ็นต์”
เมื่อฟังจบไป๋เวยขมวดคิ้ว จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง “ไร้สาระ ฉันจะนักคุณได้อย่างไรกัน”
“ตอนนี้คุณไม่เชื่อก็ได้นะ แต่อีกไม่นาน เมื่อไหร่ที่คุณอ้าขาอยู่บนเตียงอย่างเชื่อฟัง แล้วคุณจะรู้ว่าตัวเองรักผมโดยไม่รู้ตัวเข้าแล้วล่ะ
“เหอะ” เธอเยาะเย้ย เงยหน้าขึ้นมองผมอย่างไม่พอใจ
ผมยักไหล่ “พูดจบแล้ว หลักฐานที่คุณต้องการก็มีแค่นี้แหละ เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่คุณก็แล้วกัน ผมนอนล่ะ ฝันดีครับ”
เมื่อพูดจบ ผมออกแรงปิดประตู
ที่ผมพูดกับไป๋เวยมากขนาดนั้น ก็แค่อยากใช้ทุกอย่างที่ใช้ได้มาต่อกรกับกงเจิ้งเหวินก็เท่านั้น ทำให้ไป๋เวยรู้ว่ามันคือคนต่ำช้าเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพียงแค่ไป๋เวยไม่สนมัน ถึงขั้นเกลียดมัน มันก็จะบ้าคลั่ง เกรี้ยวกราด
แต่เธอเป็นคนที่เข้าข้างตัวเอง จะเชื่อได้อย่างไรว่าตัวเองจะชอบหมาเห่าใบตองแห้งได้?
จะพึ่งเธอไม่ได้หรอก
วันรุ่งขึ้น ผมตื่นเช้ามาก ออกไปซื้ออาหารเข้า จากนั้นก็นั่งแท็กซี่ไปโรงแรมของเหวินเจีย
เมื่อมาถึงห้องพักของเหวินเจีย ก็ได้เคาะประตูอยู่สักพัก เหวินเจียยังใส่ชุดนอนมาเปิดประตูด้วยความง่วง ส่ายหัวไปมาแล้วกล่าว “ทำไมมาเช้าจัง เค้ายังนอนไม่พอเลยนะ”
“งั้นคุณจะนอนต่อมั้ย?”
“อยากนอนต่อ” เหวินเจียพูดพลาง เกินลากเท้าเข้าไปด้านใน
เธอไม่ได้ปิดประตู ผมลังเลอยู่สักพัก สุดท้ายก็เดินตามเข้าไป
เมื่อเข้ามาในห้อง เธอพุ่งไปที่เตียงนอน เหมือนแมวตัวน้อยที่คู้ร่างกายอย่างขี้เกียจมุดเข้าไปในผ้าห่ม แล้วกล่าวอย่างมึนๆ “ให้ฉันนอนต่อสักหน่อยนะ”
ผมนอนไปดูที่ใบหน้าของเธอ เธอหลับตานอนไปแล้วจริงๆ
ผมค่อนข้างเซ็งๆ วางอาหารเช้าอย่างเบาๆ แล้วตนก็นั่งบนเก้าอี้มองเธออย่างเงียบๆ
ใบหน้าของเธอไม่ได้สวยงามเหมือนไป๋เวย แต่ก็น่ามอง และเป็นธรรมชาติ
ถ้าไป๋เวยคือเพชรเจิดจรัสเม็ดหนึ่ง งั้นเหวินเจียก็คือภาพวาดสะพานเล็กจ้อยพร้อมวารีรูปหนึ่ง
ไป๋เวยทำให้ผมกระสับกระส่าย แต่เธอกลับทำให้ผมสงบนิ่ง
ผมนั่งลงอย่างสงบ นั่งอยู่นานแสนนาน
นั่งจนกระทั่งเธอบิดขี้เกียจ ค่อยๆลืมตาขึ้นมา มองผม จากนั้นก็กระโดดเหมือนกระต่ายตื่นตูม
“เห้ย ตกใจหมดเลย ฟางหยางคุณอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน? คุณ……คุณทำอะไรกับฉันมั้ย?”
ผมงงงัน แล้วส่ายหน้ายิ้มแหยๆ “เจ๊ คุณต่างหากที่เปิดประตูให้ผมเข้ามา จากนั้นก็ขึ้นไปนอนบนเตียง
เหวินเจียคิดอย่างงงๆ จากนั้นก็นึกออกทันใด “อ๋อ ฉันนึกออกแล้ว คุณ……หา คุณคงไม่นั่งรอฉันตลอดใช่มั้ย?”
คอมเม้นต์