ประธานสาวโหดมว๊าก – บทที่ 51 หลักฐาน

อ่านนิยายจีนเรื่อง ประธานสาวโหดมว๊าก ตอนที่ 51 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

เวลาใกล้เที่ยง ผมได้รับสายโทรศัพท์จากโล๋อีเจิ้งอีกครั้ง และเสียงของเขาพูดด้วยความขี้เกียจว่าเขาหิวแล้ว

เมื่อเห็นโล๋อีเจิ้งยืนอยู่หน้าประตูห้อง ผมอึ้งไปชั่วครู่ จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่ตาข่ายสีขาวที่อยู่บนศีรษะของผมแล้วหัวเราะ แต่เสียงหัวเราะของเขาก็หยุดลงอย่างรวดเร็ว

“พี่หยาง ใครเป็นคนทำร้ายพี่? เป็นกงเจิ้งเหวินหรือว่าบัญชา?” เขาดูโกรธมากๆ เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย

“ใจเย็นๆหน่อย เมื่อคืนฉันอึดอัดไปหน่อย ก็เลยออกไปทะเลาะกับคนอื่นมา”

“เขาคือใคร? บัญชาหรือเปล่า? แม่งเอ๊ย ฉันจะไปฆ่ามัน!”

ขณะพูด โล๋อีเจิ้งก็เดินไปที่ลิฟต์ด้วยความโกรธ

ในที่สุดผมก็ดึงโล๋อีเจิ้งที่อยากจะวิ่งออกไปจนได้ เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ บอกเขาว่าบัญชาคุกเข่าขอโทษผม เขาถึงยอมหยุดเท้า

แต่เขาเริ่มหัวเราะอีกครั้ง ตั้งแต่เดินจากลิฟต์ไปที่ร้านอาหาร เขาพยายามกลั้นหัวเราะตลอดทาง และบางครั้งเขากลั้นไม่ไหวก็เลยมีเสียงหัวเราะออกมา

ขณะทานอาหารเขาก็ไม่กล้าเงยหน้ามาสบตาผมเลย เขาก้มหน้าทานอาหารอย่างเดียว แต่เขาก็กลั้นไม่ไหวและพ้นข้าวออกมาครั้งหนึ่ง

เมื่อเขาเห็นผมไม่โกรธ เขาก็ได้คืบจะเอาศอกทันที รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปแล้วส่งให้ตู้หมิงเฉียง พูดว่าเมื่อคืนผมบ้าบิ่นมากๆ

ผมรีบแย่งมือถือของเขาและบอกกับตู้หมิงเฉียง เรื่องนี้ผมไม่โทษบัญชา บอกเขาว่าห้ามไปหาสุชาติ ถ้าเขาไปหาสุชาติผมเกรงว่าพรุ่งนี้เช้าข่าวฮิตเชียงใหม่จะเป็นรูปถ่ายศพของบัญชาเสียชีวิตอยู่ข้างทาง

ตู้หมิงเฉียงไม่เคยพูดมาก่อนว่าสุชาติทำธุรกิจอะไร และผมก็ไม่ได้ถาม เรื่องง่ายๆแบบนี้ผมไม่ต้องเดาก็รู้คำตอบอยู่แล้ว

ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ใช่ที่ที่ปลอดภัยและสงบอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านี้ประเทศไทยสามารถเข้าออกได้อย่างเสรีและได้รับความนิยมจากอันธพาลจากทั่วโลกอยู่แล้ว จึงทำให้ประเทศไทยเกิดธุรกิจสีเทาขึ้นมาเป็นจำนวนมาก

ในสถานที่แบบนี้ จะมีคนที่เจ๋งและไม่กลัวตายจริงๆ

สุชาติเป็นคนที่เจ๋งมากๆ และคนของเขาไม่กลัวตายจริงๆ

หลังจากทานอาหารเสร็จ ผมมีตาข่ายสีขาวที่ตลกอยู่บนศีรษะ เที่ยวเมืองเชียงใหม่เป็นเพื่อนโล๋อีเจิ้ง พวกเราไปเที่ยววัดร่องขุ่นด้วย และไปส่งเขาที่สนามบินในตอนเย็น

เขาลางานเพื่อมาเชียงใหม่ และต้องกลับไปทำงานกลางคืนและใช้ชีวิตกลางคืนของเขาเอง

อันที่จริง ตู้หมิงเฉียงเคยชักชวนเขาไปทำงานด้วยกัน ประการแรกเพราะเชื่อใจเขา ประการที่สองเพราะเขาเป็นคนบ้าบิ่น ประการที่สามเพราะพวกเขาเป็นเพื่อนกัน เขาก็เลยอยากช่วยเพื่อน

แต่โล๋อีเจิ้งไม่ไป เขาไม่กลัวตายเหมือนผม แต่เขากลัวเหนื่อยและกลัวตัวเองไม่สง่างาม เขารู้สึกว่าทำงานกลางคืนสำหรับเขามันมีความสุขแล้ว ชีวิตของเขายืนอยู่จุดสูงสุดแล้ว ดังนั้นเขาเลยไม่ไป

หลังจากส่งโล๋อีเจิ้งแล้ว ผมนั่งแท็กซี่กลับโรงแรมเพียงคนเดียว ผมต้องอยู่ที่นี่ต่อเพื่อจีบไป๋เวย

หลังจากกลับมาถึงห้องพักในโรงแรม ขณะที่ผมอาบน้ำอยู่ มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

ผมเช็ดตัวอย่างรวดเร็ว นุ่งผ้าขนหนู มองผ่านตาแมวประตูและเห็นไป๋เวยยืนอยู่ด้านนอก

เธออยากได้แล้วเหรอ? ถึงมาเคาะประตูห้องผมในเวลากลางคืน

ผมเปิดประตูและยิ้ม “ประธานไป๋ คุณคิดถึงผมใช่ไหม?”

เธอยิ้มอย่างเย็นชา เมื่อเห็นตาข่ายสีขาวบนศีรษะของผม เธออึ้งไปชั่วครู่ “คุณเป็นอะไร? คุณบาดเจ็บเหรอ? โดนใครทำร้าย?”

“ประธานไป๋เป็นห่วงผมใช่ไหม?”

สีหน้าของไป๋เวยเปลี่ยนกลับมาเย็นชาเหมือนเดิม “เหอะ ใครเป็นห่วงคุณ? ฉันแค่อยากรู้ว่าใครเป็นคนทำร้ายคนชั่วๆอย่างคุณต่างหาก”

ผมไม่ได้สนใจ ผมยกมือขึ้นมาแล้วชี้ไปที่ตัวเองและพูด “โอเค ประธานไป๋อย่ามองแต่ตาข่ายที่อยู่บนศีรษะผมสิ คุณควรมองอย่างอื่นบ้างไม่ใช่เหรอ? อย่างเช่นรูปร่างของผม คุณคิดว่ารูปร่างของผมแข็งแกร่งและบึกบึนไหม?”

ไป๋เวยยิ้มอย่างเย็นชา “ฉันไม่ได้มาฟังคุณปลิ้นปล้อน ฉันมาเพื่อถามคุณเรื่องหนึ่ง”

“ประธานไป๋จะเข้ามาพูดด้านในห้องไหม”

“ไม่เข้า ฉันต้องการถามคุณ นอกจากเรื่องที่คุณพูด คุณมีหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ได้ไหมว่ากงเจิ้งเหวินใส่ร้ายคุณ รวมถึงเรื่องที่เขายุยงให้บัญชามาทำร้ายคุณด้วย”

ผมไม่ได้ตอบ แต่ถามกลับว่า

“คุณถามสันติสุขกับอนุรักษ์แล้วเหรอ?”

เธอพยักหน้า “ฉันถามแล้วและไปสถานีตำรวจมาแล้วด้วย”

“ผลลัพธ์เป็นยังไงบ้าง?”

“อนุรักษ์บอกว่าเขาไม่ได้โทรแจ้งตำรวจ และไม่มีตำรวจมาพบเขา ส่วนที่สถานีตำรวจ……ฉันไม่ได้ข้อมูลใดๆเกี่ยวกับคดีของคุณเลย และไม่เห็นการประกาศใดๆจากหน่วยงานตำรวจด้วย”

“แล้วตอนนี้ประธานไป๋คิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้?”

เธอก้มศีรษะลงและส่ายหน้าอย่างสับสน “ฉันไม่รู้ ฉันมาหาคุณเพื่อมาดูว่าคุณยังมีหลักฐานอย่างอื่นหรือเปล่า เพื่อมายืนยันหรือล้มล้างการคาดเดาของฉัน”

“คุณเคยถามกงเจิ้งเหวินไหม”

“เช้าวันนี้ เขาได้เดินทางกลับประเทศไปแล้ว”

เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ

ไป๋เวยน่าจะเชื่อเรื่องที่ผมพูดก่อนหน้านี้ แต่เธอกับกงเจิ้งเหวินเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก และเธอคิดว่าตัวเองรู้จักกงเจิ้งเหวินเป็นอย่างดี ตอนนี้เธอยังไม่สามารถยอมรับความจริงเรื่องนี้ได้ และเธอไม่เชื่อว่ามันจะเป็นความจริง

เธอรู้สึกขัดแย้งและสับสนในใจ ดังนั้นเธอก็เลยมาหาผม เพื่อให้ผมยืนยันเรื่องที่เธอคาดเดาเป็นเรื่องจริงหรือหาหลักฐานมาพิสูจน์เพื่อล้มล้างความคิดของเธอ

ผมไม่ได้แสดงความคิดเห็นของตัวเอง แต่หันหลังแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำและพูด “ประธานไป๋ เรื่องที่เกิดขึ้นถ้าจะพูดให้ชัดเจนมันไม่ใช่เรื่องง่าย ผมยังอาบน้ำไม่เสร็จ รอให้ผมอาบน้ำเสร็จแล้วค่อยมาคุยกัน”

“ฉันจะรอคุณ”

“แล้วแต่คุณ”

หลังจากนั้นเธอก็ยืนรออยู่ที่นอกหน้าประตู

หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมก็นุ่งผ้าเช็ดตัวอีกครั้ง เอาผ้าขนหนูเช็ดเส้นผมและเปิดประตูห้องน้ำ พูดกับไป๋เวยที่ยืนอยู่นอกประตูว่า”เข้ามาคุยกันด้านในดีกว่า”จากนั้นผมก็เดินไปที่เตียงนอนทันที

ไป๋เวยไม่ขยับตัว จนกระทั่งผมเป่าเส้นผมจนแห้ง นั่งลงบนเก้าอี้แล้วสูบบุหรี่และดูทีวี เธอก็ค่อยๆเดินมา แต่เธอยืนอยู่ตรงทางเดินที่มองเห็นผมได้เท่านั้น แต่เธอไม่เดินเข้ามาในห้อง

ฉันอดหัวเราะไม่ได้ “คุณกลัวผมข่มขืนคุณมากขนาดนี้เลยเหรอ?”

เธอเปล่งเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ แต่ไม่ได้พูดอะไร

“ประธานไป๋ คุณวางใจได้ ถ้าผมอยากข่มขืนคุณจริงๆ ผมทำไปนานแล้ว ไม่ต้องรอจนถึงวันนี้หรอก”

“ฟางหยาง ฉันไม่ได้มาฟังคำพูดไร้สาระของคุณ ฉันแค่อยากรู้ ว่าคุณยังมีหลักฐานอื่นๆที่จะมาพิสูจน์ว่าเรื่องที่คุณพูดเป็นเรื่องจริงไหม”

“เหอะๆ ประธานไป๋ คุณมีคำตอบในใจอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”

“ฉันอยากได้หลักฐาน”

“ต้องขอโทษด้วย ผมไม่มีหลักฐานให้คุณ หรือไม่คุณก็ไปสอบถามที่สถานีตำรวจ ดูสิว่าตำรวจคนไหนเป็นคนรับสินบนจากกงเจิ้งเหวิน คุณจะหาหลักฐานได้จากที่นั่นเท่านั้น”

ไป๋เวยขมวดคิ้วอีกครั้ง “เมื่อสักครู่คุณบอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้น ถ้าจะพูดให้ชัดเจนมันไม่ใช่เรื่องง่าย รอให้คุณอาบน้ำจนเสร็จแล้วค่อยมาคุยกับฉัน คุณหมายความว่าไง?”

“ผมไม่ได้หมายความว่าอะไร แค่อยากแกล้งคุณเล่น”

ไป๋เวยไม่ได้โกรธ แต่มองผมอย่างเย็นชาครู่หนึ่ง จากนั้นเธอก็หันหลังและเดินจากไป

ผมยิ้มให้แผ่นหลังของเธอและดูทีวีต่อ

ทั้งๆที่เธอมีคำตอบอยู่แล้ว ทั้งๆที่เธอก็คาดเดาได้ว่าผมโดนกงเจิ้งเหวินใส่ร้าย แต่เธอยังแกล้งโง่เพื่อมาหาหลักฐาน มันตลกสิ้นดี

ภายในสองวันต่อมา ผมใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องพักโดยไม่ทำอะไรเลย เพราะบนศีรษะของผมยังมีตาข่ายสีขาวที่ตลกๆพันอยู่ ทำให้ฉันไม่อยากออกไปไหน

ไป๋เวยพูดว่า เธออยากเห็นว่าผมจะจีบเธอยังไง ซึ่งความหมายของเธอก็คือเธอจะไม่ไล่ผมออก แต่เธอต้องเพิกเฉยต่อผมอย่างแน่นอน

มันก็เป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆ สองวันนี้เธอไม่ได้มาหาผมเลย ส่วนเรื่องงาน ช่วงนี้เธอก็ไม่ต้องการให้ผมช่วยอยู่แล้ว

รายละเอียดการเซ็นสัญญากับBTT รวมถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ในภายหลัง เป็นหน้าที่ของเธอและคนอื่นๆในทีมโปรเจกต์ และมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผม

สองวันมานี้ผมก็ไม่ได้อยู่ว่างๆ ผมได้ศึกษาหาข้อมูลต่างๆของยู่เฟิงกรุ๊ปกับบริษัทจื้อเหวินซอฟต์แวร์จากอินเทอร์เน็ต และรู้ว่าประธานใหญ่ของยู่เฟิงแซ่ไป๋ คณะกรรมการและผู้บริหารระดับสูงหลายคนก็แซ่ไป๋เหมือนกัน เห็นได้ชัดว่านี่คือธุรกิจของครอบครัว

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด