ประธานสาวโหดมว๊าก – บทที่ 64 ย้ายบ้าน
เสียงทะเลาะกันในห้องก็เงียบลงทันที ผมเดินเข้าไปในห้อง หยิบผักสดที่อยู่ในมือขึ้นมาและพูดด้วยรอยยิ้ม “ผมกลับมาแล้วและซื้อผักสดกลับมาด้วย เดี๋ยวผมจะทำอาหารให้พวกคุณทาน”
สวีเจ๋อจ้องมองผมด้วยความอึ้ง หลินจิ้งกล่าวคำทักทายผมด้วยความอึดอัด จากนั้นเธอก็ก้มหน้าและเดินเข้าห้องไป
“ผมซื้อของฝากจากประเทศไทยมาให้คุณด้วย มีทอดมันปลากรายกับขนมครก และยังมีแกงกะหรี่ด้วย อาหารพวกนี้รสชาติดีมากๆ ผมซื้อโฟนล้างหน้าคุมความมันมาให้คุณด้วย และซื้อเครื่องสำอางมาให้หลินจิ้งด้วย ของพวกนี้ไม่ใช่ของแบรนด์ดัง เป็นแค่L’Oreal Paris ยี่ห้อนี้ขายที่ไทยถูกมากๆ ถูกกว่าในประเทศเกือบครึ่ง”
ผมวางผักสดไว้บนโต๊ะ ขณะพูดก็หยิบเหล่านั้นออกมาจากกระเป๋า
เนื่องจากกระเป๋าเดินทางของผมมีเพียงเสื้อผ้าไม่กี่ตัว เสื้อผ้าฤดูร้อนมันบางมากๆ กระเป๋าเดินทางก็เลยมีช่องวาง ดังนั้นผมก็เลยซื้อของฝากกลับมาเป็นจำนวนมาก ทั้งอร่อย ราคาถูกและใช้งานง่ายด้วย ของส่วนใหญ่ผมซื้อมาฝากสวีเจ๋อกับหลินจิ้ง
สวีเจ๋อยืนอยู่ข้างโต๊ะ มองของฝากเหล่านี้ด้วยสีหน้าซับซน ดูเหมือนเขามีอะไรบางอย่างจะพูดกับผม
ผมแสร้งทำเป็นไม่สังเกตท่าทางของเขา และโยนกระเป๋าเป้ที่มีเสื้อผ้าไม่กี่ชิ้นไปที่มุมของโซฟา ผมหยิบผักสดและเดินเข้าไปในห้องครัวและพูด “ผมจะไปทำอาหารก่อน อยู่ประเทศไทยผมกินแต่แกงข่าไก่กับแกงกะหรี่จนเลี่ยน ผมอยากจะกินอาหารพื้นบ้านมากๆ รีบเรียกหลินจิ้งออกมากินของฝากด้วย อย่ากินคนเดียวละ”
เมื่อผมเดินเข้าไปในห้องครัว ขณะล้างหม้อผมได้ยินเสียงสวีเจ๋อตะโกนเรียกหลินจิ้งหลายรอบด้วยน้ำเสียงปกติ
หลินจิ้งที่อยู่ในห้องนอนก็ตอบรับ จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของเธอกำลังเดินออกมาจากห้องนอน และได้ยินเสียงดีใจของเธอทันที “โอ้โห มีของอร่อยเยอะแยะเลย มีเครื่องสำอางด้วย ฟางหยาง ขอบคุณมากๆ คุณซื้อของพวกนี้คงจ่ายเงินไปเยอะเลย คุณคงเสียเงินไปเยอะเลยสิ”
ผมยิ้มและพูด “ของพวกนี้ไม่แพงหรอก ของฝากพวกนี้อยู่ประเทศไทยมีราคาถูก แต่ของพวกนี้เอาออกจากศุลกากรได้ไม่เยอะ ไม่งั้นผมคงซื้อมากกว่านี้อีก และผมช่วยบริษัทเซ็นสัญญาโปรเจ็กต์หนึ่งที่ประเทศไทย ได้ค่าคอมมิชชั่นหลายหมื่น และผมก็ขอเบิกเงินล่วงหน้ามาหลายพันหยวนเพื่อใช้จ่าย รอเดือนหน้าผมได้เงินเดือนผมก็จะสบายกว่านี้”
“โอ้โห ได้ค่าคอมมิชชั่นตั้งหลายหมื่นหยวน มันเยอะจริงๆ? เป็นบริษัทซอฟต์แวร์ก่อนหน้านี้ใช่ไหม?”
“ใช่ บริษัทจื้อเหวินซอร์ฟแวร์”
“ฉันขอแสดงความยินดีกับคุณด้วย คืนนี้พวกเราฉลองกันดีกว่า”
ผมฝืนยิ้ม “คืนนี้คงไม่ได้ เพราะคืนนี้ผมจะย้ายไปอยู่คอนโด เมื่อสักครู่ผมลืมบอกพวกคุณ ผมจะย้ายออกจากที่นี่ ผมพักอาศัยอยู่กับพวกคุณมาตั้งนาน ทำลายโลกส่วนตัวของพวกคุณสองคน ผมไม่ค่อยสบายใจเลย พอดีมีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งมีห้องว่าง ผมพูดคุยกับเขาแล้วที่ประเทศไทยว่าจะย้ายไปอยู่กับเขา คืนนี้ผมจะย้ายไปคอนโดของเขาเพื่อไปจัดการห้องพักให้เสร็จ ไม่งั้นผมจะไม่มีเวลาจัดการห้องพักเมื่อต้องทำงาน”
สวีเจ๋อกังวลทันที เดินเข้ามาในห้องครัวและถาม”อาหยาง ทำไมคุณต้องย้ายด้วย? เพราะ……”
“ผมต้องย้ายอยู่แล้ว? พวกคุณสองคนอยู่ด้วยกันดีๆ ผมย้ายเข้ามากลายเป็นก้างขวางคอ ไม่เหมาะใช่ไหม? คุณไม่รู้สึกเขินอาย แต่ผมรู้สึกอึดอัด พวกคุณสองคนแสดงความรักกันทุกวันและไม่เคยนึกถึงคนโสดอย่างผมเลย ถ้าผมยังพักอาศัยอยู่ที่นี่อีก ผมกลัวว่าตัวเองจะกลายเป็นโรคจิต”
“แต่……”
ผมเช็ดมือข้างหนึ่งให้สะอาด ตบไหล่ของสวีเจ๋อเบาๆและพูดด้วยรอยยิ้ม “อาเจ๋อ ผมรู้ว่าคุณหวังดีกับผม ผมจะจำทุกอย่างไว้ คุณวางใจเถอะ ตอนนี้ผมมีงานที่มั่นคงแล้ว รายได้ก็ดี ผมสามารถใช้ชีวิตเองได้ นอกจากนี้ จะอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน ถ้าคุณว่างๆก็ออกมาดื่มเหล้าด้วยกัน พวกเราก็ไม่ใช่คู่เกย์ ไม่จำเป็นต้องตัวติดกันตลอด”
“อาหยาง……ฉัน……”
ผมพูดขัดจังหวะของเขาอีกครั้ง “อย่าทำตัวแบบนี้เลย ตอนนี้คุณทำตัวเหมือนคู่เกย์ที่กำลังจะสารภาพรักเลย คุณรีบออกไปทานของฝากกับหลินจิ้งเถอะ ผมต้องทำอาหารแล้ว ไม่ว่างคุยกับคุณ”
เมื่อพูดจบ ผมก็รีบทำอาหารทันที
สวีเจ๋อยืนอยู่ด้านหลังผมชั่วครู่ ในที่สุดเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เดินออกจากห้องครัวอย่างเงียบๆ
เขากับหลินจิ้งอาจจะรู้ว่าผมได้ยินการสนทนาของพวกเขา แต่ผมไม่อยากพูดอะไรมากนัก ถ้าพูดออกมาจะทำให้ทุกคนรู้สึกอึดอัด พวกเราทานอาหารเย็นด้วยกันมื้อนี้ จากนั้นตัวเองก็จะย้ายออกไป
ไม่ต้องแสดงความรู้สึก ไม่ต้องเสแสร้ง ทำให้มันเรียบง่ายหน่อย
สำหรับคำพูดเหล่านั้นของหลินจิ้ง……ผมเข้าใจได้ ถ้าเปลี่ยนเป็นผม ผมก็คงพูดแบบนี้เหมือนกัน
ดังนั้น ทำเป็นไม่ได้ยินดีกว่า
สำหรับสวีเจ๋อ ผมเชื่อใจเขา พวกเรารู้จักกันมาตั้งหลายปี ตอนที่ผมอยู่ในคุกก็มีแต่เขาที่โอนเงินให้ผม เขาคงไม่บ่นเพราะผมไม่สามารถจ่ายเงินค่าเช่าห้อง
มีคำพังเพยที่ว่า เด็กที่มีฐานะทางครอบครัวยากจน จะเริ่มทำงานดูแลบ้านตั้งแต่เล็กซึ่งมันไม่ผิดเลย ตอนที่ผมอยู่ประถมศึกษาที่สามหรือสี่ ผมก็เริ่มหุงข้าวทำอาหาร เพราะพ่อกับแม่ไปทำนาและมักจะทำจนถึงตอนเย็นถึงจะยอมกลับบ้าน
หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย ผมกับหลินโล่สุ่ยก็เช่าคอนโดอยู่ด้วยกัน ผมเริ่มศึกษาอาหารหลากหลายชนิด พยายามทำอาหารอร่อยๆที่ไม่ซ้ำกันให้เธอทานทุกวัน ทำให้ทักษะการทำอาหารของผมพัฒนาขึ้นมากในช่วงหลายปีนั้น ถึงแม้ผมจะเทียบกับเชฟของร้านอาหารหรูๆไม่ได้ แต่อย่างน้อยคนที่เคยทานอาหารที่ผมทำ ต่างก็จะชอบว่ามันอร่อย
ผมยุ่งอยู่ตั้งนาน ในที่สุดก็ทำแกงผักกาดเขียวหอยลาย ปลากะพงนึ่ง เนื้อผัดพริกไทยดำ เต้าหู้ราดซอสและบ๊วยพริกหยวกจนเสร็จ
อาหารสองจานสุดท้ายคืออาหารที่ผมชอบที่สุด เต้าหู้ราดซอสต้องทอดเต้าหู้ทั้งสองด้านให้เหลืองกรอบ แล้วนำเต้าหู้ขึ้นมาพัก จากนั้นเทน้ำมันลงในกระทะ ใส่กระเทียมที่ทุบแล้ว เทซีอิ๊วผสม น้ำมันหอย ซอสมะเขือเทศและแป้งข้าวโพดผสมน้ำลงไป ต้มจนซอสเริ่มเข้มและเหนียวแล้วปรุงรส จากนั้นก็เทเต้าหู้ลงไปแล้วค่อยๆเคี่ยว โรยด้วยต้นหอมสับเมื่อตักเต้าหู้ใส่จานแล้วมันจะมีกลิ่นหอมและน่ารับประทาน
บ๊วยพริกหยวกเป็นอาหารรสชาติอร่อยแต่น้อยคนจะรู้จัก วิธีการทำง่ายมากๆ อย่างแรกคือผัดกระเทียมกับน้ำมันสองสามครั้ง จากนั้นก็ผัดพริกหยวกที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ราดน้ำบ๊วย ซีอิ๊วและข้าวโพดผสมน้ำลงไป แล้วเคี่ยวสักพัก เป็นอาหารที่มีทั้งรสเปรี้ยวเผ็ดและหอม น่ารับประทานมากๆ
“หอมจังเลย”
ผมยังไม่ทันยกอาหารขึ้นโต๊ะ หลินจิ้งก็ร้องออกมาด้วยความดีใจเหมือนเมื่อก่อนจากห้องนั่งเล่น ทันทีที่เธอพูดจบ เธอก็วิ่งเข้ามาในห้องครัวและช่วยผมยกอาหาร
สวีเจ๋อก็เดินเข้ามาด้วยเหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกับหลินจิ้งที่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและกระโดดโลดเต้น เห็นได้ชัดว่าเขากำลังหดหู่
เพื่อหลีกเลี่ยงความอึดอัด ผมได้เริ่มพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ของผมในประเทศไทย พูดคุยประเพณีวันสงกรานต์ วัดร่องขุ่น พิพิธภัณฑ์บ้านดำ โรงแรมที่เติ้งลี่จวินเคยเข้าพัก
ผมยังบอกพวกเขาด้วยว่า ผมกำลังตามจีบหัวหน้าผู้หญิงคนหนึ่งที่น่ารักและเย่อหยิ่ง แต่ไม่ได้พูดว่าไป๋เวยคือผู้หญิงที่ทำให้ผมต้องติดคุกเมื่อสามปีที่แล้ว
หลังจากทานข้าวเสร็จ พวกเรานั่งคุยและดูทีวีอย่างสบายๆบนโซฟา หลินจิ้งก็กลับมาเป็นคนร่าเริงเหมือนเมื่อก่อน สวีเจ๋อก็ไม่ได้รู้สึกหดหู่อีกต่อไป
คุยได้สักพัก ผมก็ลุกขึ้นแล้วเดินเข้าห้องไปและเก็บสัมภาระ สวีเจ๋อกับหลินจิ้งเกลี้ยกล่อมผมอยู่สองสามคำ เมื่อเห็นว่าผมยืนกรานที่จะจากไป พวกเขาสองคนก็เดินเข้ามาและช่วยผมเก็บสัมภาระอย่างเงียบๆ
ไม่ว่าผมจะไปที่ไหน ผมมักจะมีสัมภาระน้อยมาก การย้ายครั้งนี้ก็เช่นกัน มีกระเป๋าเดินทางหนึ่งใบ กระเป๋าเป้หนึ่งใบและกระเป๋าผ้านวมใบใหญ่หนึ่งใบ ผมแบกและถือสัมภาระเหล่านี้ ย้ายออกจากที่นี่ได้ด้วยตัวคนเดียว
คอมเม้นต์