ประธานสาวโหดมว๊าก – บทที่ 74 อย่าทำให้เขาลำบากใจ
ผมไม่ได้ข่มขู่เหวินหวย ถ้าหากพรุ่งนี้เที่ยงในเวลานี้ เขาไม่ให้คำตอบที่ผมพึงพอใจ ผมจะปล่อยคลิปที่ทำการเซนเซอร์แล้วลงในเว็บ แล้วค่อยคิดหาวิธีเข้ากลุ่มวีแชทของม่านดีโคร์กรุ๊ป
ถึงอย่างไรก็คงไม่ถูกแพร่ไปที่ไทยง่ายขนาดนั้น ถึงจะมีคนจงใจส่งคลิปนี้ไป หน้าของอนุรักษ์ก็ถูกเซนเซอร์แล้ว ไม่มีใครดูออกอยู่แล้วว่าคือใคร นอกจากผมกับไป๋เวย และเฉาเหวินหวย
หลังจากที่เฉาเหวินหวยเดินจากไป ผมก็ทานอาหารเที่ยงในร้านอาหารจานด่วนเสร็จ นั่งอยู่พักหนึ่ง เพื่อเพลิดเพลินกับบรรยากาศอันเงียบสงบในช่วงพักเที่ยง
ผมยืนขึ้นแล้วเดินออกไป ในตอนที่เดินไปถึงหน้าร้านอาหารจานด่วน ผมก็ได้เผชิญหน้ากับหลินโล่ส่ยที่เดินเข้ามาจากด้านนอก
ผมตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เธอตั้งใจมาหาผมโดยเฉพาะใช่ไหม?
“สวัสดี ฟางหยาง”สีหน้าของหลินโล่ส่ยเงียบสงบมาก ไม่มีความแปลกใจแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าเธอมาหาผมโดยเฉพาะ
“สวัสดี”ผมตอบกลับอย่างเรียบเฉยไปหนึ่งคำ
“ฉันขอพูดกับนายหน่อยได้ไหม?”
“พูดมาสิ”
หลินโล่ส่ยก้มศีรษะ เหมือนจะลังเลอยู่ครู่หนึ่ง”เรื่องที่นายถูกจับที่เชียงใหม่ในวันนั้น ฉันพอรู้เหตุผลอยู่บ้าง แต่มันไม่ใช่ฝีมือของเหวินหวยแน่ๆ เขาไม่ได้มีกำลังหรือเงินมากขนาดนั้น ดังนั้น อย่าทำให้เขาลำบากใจเลย ได้ไหม?”
“เหอะ”ผมอดขำไม่ได้”เรื่องนั้นเขาไม่ได้เป็นผู้บงการจริงๆนั่นแหละ แต่เขาไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์ มันเป็นความแตกต่างระหว่างผู้สมรู้ร่วมคิดกับผู้กระทำความผิด แค่โทษต่างกันเท่านั้น”
หลินโล่ส่ยกัดริมฝีปาก”ฉันรู้ว่าเขาทำอะไรไม่ดีกับนายจริงๆ แต่นิสัยของเขาไม่เลวร้าย เขาแค่เป็นคนชอบเอาชนะเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นเขายังไม่ได้ทำให้นายเสียหายอะไร……”
“เดี๋ยวก่อนนะ”ผมอดที่จะขัดจังหวะเธอไม่ได้”คุณหลิน คุณกรุณาทำความเข้าใจตรรกะก่อนเถอะ คุณไม่สามารถหาว่าฆาตกรบริสุทธิ์เพราะเหยื่อยังไม่ตาย สาระสำคัญของการฆาตกรรมโดยเจตนาและการพยายามฆ่าก็เหมือนกัน”
“แต่ว่า เขาไม่ได้ทำเรื่องที่จงใจทำร้ายคุณนะ”
“เหอะๆ คุณหลิน ผมขอบอกคุณเรื่องหนึ่งแล้วกัน วันสงกรานต์วันนั้น ผมถูกพวกอันธพาลท้องถิ่นรายล้อมเกือบร้อยคนในเชียงใหม่ ตอนแรกพวกเขาบอกว่าจะตัดขาของผมข้างหนึ่ง แล้วโยนผมลงแม่น้ำ โชคดีที่ผมดวงดี สุดท้ายวิ่งหนีหลบมาได้ เธอก็รู้ว่าคนพวกนั้นใครเป็นคนสั่งการ?”
สีหน้าของหลินโล่ส่ยเปลี่ยนไป”ไม่ใช่เหวินหวยใช่ไหม?”
“คนบงการคือกงเจิ้งเหวิน แต่เฉาเหวินหวยเป็นคนกลาง เขาเป็นคนช่วยกงเจิ้งเหวินหาอันธพาลพวกนั้น และเขาเป็นคนเอาเงินให้อันธพาลพวกนั้นด้วยตัวเอง ดังนั้น เธอมั่นใจเหรอว่าคู่หมั้นของเธอไม่ได้เป็นคนเลวขนาดนั้น?”
หลินโล่ส่ยตกตะลึงจนสติหลุด
“คุณหลิน ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวก่อนนะ”
ผมไม่อยากพูดไร้สาระกับเธออีก จึงเดินอ้อมเธอออกไป
“ฟางหยาง ขอร้องล่ะ อย่าทำร้ายเขาเลย”เธอพูดขอร้องอ้อนวอนอยู่ด้านหลัง
ผมหันกลับไปมองเธอแล้วพูดว่า”คุณหลิน ในสายตาของคุณ ผมเป็นคนที่สามารถทำร้ายคนอื่นได้ตลอดเวลาสินะ ถูกไหม?”
เธอรีบส่ายหัวไปมา”ไม่ใช่นะ ฉันแค่ได้ยินเรื่องที่นายอยู่ในคุก และรู้ว่านายรู้จักนักเลงมากมาย ดังนั้น……”
“เหอะๆ ความจริงฉันก็เป็นนักเลงนะ”
ผมยิ้มให้เธอ หลังจากนั้นก็หันหลังเดินจากไป
หลินโล่ส่ยไม่ได้ตามผมมา
ผมรู้ดีว่า ที่เธอเลิกกับผมไม่ใช่เพราะผมเปลี่ยนเป็นคนเลว แต่เป็นเพราะเงิน
เด็กสาวไร้เดียงสาคนนั้นได้จากไปแล้ว เช่นเดียวกับเด็กสาวหลายๆคนที่เข้าสู่สังคม สังคมและวัตถุนิยมทำให้เธอเปลี่ยนไป
ผมไม่โทษเธอ เพราะมันไม่มีความหมายอะไร และไม่อยากเกลียดเธอต่อไปอีกแล้ว เพราะแบบนั้นมันมีแต่จะไร้ประโยชน์เสียสุขภาพจิตเปล่าๆ
ชีวิตไม่จะเป็นต้องใช้เวลามากมายขนาดนั้นเพื่อจมปลักกับความทุกข์
พอกลับมาถึงบริษัท ผมนอนพักที่นั่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเริ่มทำงานอย่างตั้งใจในช่วงบ่าย
เวลาประมาณบ่ายสามโมงกว่า ผมรับสายโทรศัพท์สายหนึ่ง รองประธานบริษัทที่ดูแลฝ่ายบริหารชื่อจางอี้หลินขอพบกับผม
ผมรู้คร่าวๆว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ยังคงเคาะห้องประตูห้องทำงานของรองประธานอยู่ดี
จางอี้หลินอายุประมาณห้าสิบปี รูปร่างอ้วนท้วม นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานขนาดใหญ่แล้วหรี่ตามองมาที่ผม แต่ไม่ได้เชิญให้ผมนั่งลง
ผมเดินไปที่หน้าโต๊ะทำงานของเขา แล้วพูดว่า”ประธานจาง ขออนุญาตสอบถามครับคุณอยากพบผมเหรอครับ?”
จางอี้หลินพยักหน้าขาเบาๆ”คุณคือฟางหยางใช่ไหม?”
“ใช่ครับ”
“ที่ผมขอพบกับคุณเพื่อแจ้งการตัดสินใจของบริษัท ช่วงนี้ทางบริษัทได้รับการร้องเรียนจากเพื่อนร่วมงานจำนวนไม่น้อยและลูกค้าชาวไทย บอกว่าคุณมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ประพฤติตัวหยาบคาย หลังจากสอบสวนในเชิงลึกบริษัทพบว่าคุณมีปัญหาด้านพฤติกรรมจริงๆ ซึ่งไม่สอดคล้องกับปรัชญาของบริษัทเรา มีการทำให้ภาพลักษณ์ของบริษัทเสื่อมเสีย หลังจากผ่านการพิจารณาแล้ว บริษัทตัดสินใจเลิกจ้างคุณ แต่คุณวางใจเถอะ บริษัทจะให้ค่าชดเชยแก่คุณตามกฎหมาย ตอนนี้ คุณสามารถไปที่ฝ่ายบุคคลเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนได้เลย พวกเขาจะออกหนังสือเลิกจ้างให้คุณ”
ผมไม่ได้แปลกใจเท่าไรนัก จึงพูดอย่างเรียบเฉยว่า”ประธานจาง ผมขอดูเรื่องร้องเรียนกับเอกสารการตรวจสอบครับ ในฐานะที่เป็นคู่กรณี ผมควรมีสิทธิ์ขั้นพื้นฐาน นอกจากนี้ ผมยังมีข้อสงสัย ผมเป็นผู้ช่วยของประธานไป๋ฝ่ายการตลาด เธอเห็นด้วยกับการตัดสินใจเลิกจ้างหรือไม่?”
จางอี้หลินไม่ตอบอะไร เขามองผมด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็รู้อย่างใจเย็นว่า”ฟางหยาง ผมรู้ว่าคุณรู้สึกไม่ยุติธรรม แต่บริษัทไม่สามารถทนคุณต่อไปได้อีกแล้ว ผมคิดว่าคุณน่าจะรู้เหตุผลดีนะ เพราะฉะนั้น อย่าเรื่องมากเลย เดินจากไปอย่างสงบมันดีต่อทุกฝ่าย”
ผมยิ้ม”กงเจิ้งเหวินใช่ไหม หรือตระกูลไป๋ล่ะ?”
จางอี้หลินกางมือออก แต่ไม่ตอบอะไร
“ประธานจาง ผมเป็นคนของประธานไป๋ฝ่ายการตลาด นอกจากเธอจะไล่ผมออกด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ”
ผมส่งยิ้มให้จางอี้หลิน หลังจากนั้นก็หันหลังเดินออกจากห้องทำงานไป
จางอี้หลินไม่ได้เรียกผมไว้ จนกระทั่งในตอนที่ปิดประตู เขาก็ยังคงมิงมด้วยสีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์
ผมไม่ได้กังวลเลยแม้แต่น้อย เพราะว่านอกจากผู้จัดการใหญ่ของบริษัทจื้อเหวินซอฟต์แวร์แล้ว คนอื่นๆไม่มีอำนาจในการเลิกจ้างพนักงาน รองประธานของฝ่ายบริหารก็ทำไม่ได้เช่นกัน ต้องได้รับการอนุมัติและลงนามโดยผู้รับผิดชอบแผนกเท่านั้น
จางอี้หลินไม่ได้โง่ขนาดที่จะไปหาผู้จัดการใหญ่ด้วยเรื่องแบบนี้ อีกฝ่ายจะต้องสงสัยแน่นอน การลาออกของพนักงานธรรมดาทั่วไปจะได้รับการจัดการโดยฝ่ายบุคคลกับแผนกที่รับผิดชอบก็พอแล้ว ทำไมจะต้องให้ผู้จัดการเป็นคนจัดการ?
ดังนั้น ตราบใดที่ไป๋เวยหรือผู้จัดการใหญ่ไม่เซ็น จางอี้หลินก็ไม่สามารถไล่ผมไปได้
แต่ผมยังคงไปหาไป๋เวยด้วยเหตุผลนี้อยู่ดี
หลังจากฟังที่ผมพูดไปเมื่อกี้จบ ไป๋เวยก็ขมวดคิ้ว”ไม่มีทางเป็นลุงเฉิง วิธีแบบนี้มันต่ำเกินไป ครอบครัวของฉันไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้ ยิ่งไม่มีทางแทรกแซงการจัดการภายในของสาขาโดยไม่ได้รับอนุญาต”
ผมพูดต่อไปว่า”งั้นก็ต้องเป็นกงเจิ้งเหวินแล้วล่ะ”
ไป๋เวยเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้อย่างอ่อนแรง แล้วพยักหน้าเบาๆ
“ประธานไป๋ คุณยังคิดว่าเพื่อนเล่นสมัยเด็กของคุณเป็นคนซื่อตรงและจิตใจดีอยู่รึเปล่า?”
เธอส่ายหัว”ฉันไม่รู้ค่ะ และไม่อยากรู้ด้วย อย่าถามคำถามนี้กับฉันเลย”
ผมหัวเราะ”เขากำลังจีบคุณอยู่ เป็นศัตรูหัวใจที่ใหญ่ที่สุดของผม ทำไมไม่ถามล่ะ?”
ไป๋เวยปั้นหน้าขรึม”เวลาทำงานห้ามพูดเรื่องความรัก”
“เอาล่ะ งั้นพูดเข้าประเด็นก็ได้ จางอี้หลินไม่มีทางจบง่ายๆแน่ เขาจะต้องคิดวิธีไล่ผมออก กระทั่งจะไปหาผู้จัดการใหญ่ หรือบังคับส่งจดหมายบอกเลิกเพื่อบอกเลิกสัญญาจ้างงานของผม ประธานไป๋ปกป้องผมได้ไหมครับ?”
คอมเม้นต์