ประธานสาวโหดมว๊าก – บทที่ 6 ขอโทษ
อาจจะเป็นเพราะไม่ทันได้ป้องกันตัว หรืออาจจะเป็นตกใจกลัวจนถึงสุดขีด ไป๋เวยไม่ได้กรีดร้อง และไม่ได้ดิ้นขัดขืน
แต่ร่างกายของเธอกลับแข็งทื่อ อ้าปากกว้างมองมาที่ผมอย่างหวาดกลัว
ผมแทบจะใช้ร่างกายทับร่างของเธอไว้ มองใบหน้าอันสง่างามด้วยระยะประชิด ขนตาที่สั่นไหวของเธอ รูม่านตาสีดำใสที่แกว่งไปมาเล็กน้อย ริมฝีปากสีแดงจิ้มลิ้มสั่นระริก
ฮอร์โมนของผมพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เลือดที่สูบฉีดไปอย่างสมองทำให้ผมสูญเสียความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ผมแค่อยากล้างแค้นเธอให้สาสม
ผู้หญิงที่คิดไปเองใช้การตอบแทนบุญคุณด้วยการแก้แค้น
เธอทำให้ผมสูญเสียทุกอย่าง
ผมพังมามากพอแล้ว ถึงจะต้องติดคุกอีกครั้งเพื่อสิ่งนี้จะเป็นไรไป ขอแค่สามารถปลดปล่อยความโกรธและความเกลียดชังทั้งหมดได้
“คุณจะทำอะไรน่ะ?ฉันขอเตือนคุณนะอย่าทำอะไร……”
ไป๋เวยที่รู้สึกตัวได้ แต่ไม่ได้กรีดร้อง ไม่ได้ดิ้นขัดขืน
เธอน่าจะรู้ดีว่าห้องพักเก็บเสียงดีมาก และรู้ว่าการขัดขืนไม่มีประโยชน์อะไร
“ผมแค่อยากลิ้มลองการทำให้คุณต้องถูกข่มขืน นี่เป็นรสชาติที่คุณสมควรจะได้รับมันตั้งแต่แรกแล้ว”
ผมจับมือของเธอทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะของเธอที่เตียง ปล่อยมือออกมาข้างหนึ่ง แล้วบีบคางที่เย่อหยิ่งของเธอ
ร่างของเธอสั่นเทา พยายามหันศีรษะไปอีกทาง เพื่อขัดขืน
ผมใช้มือกดลงไป พยายามบังคับงัดหน้าของเธอขึ้นมา แล้วพูดอย่างเย็นชา
“ประธานไป๋ คุณหนูไป๋ ผมขอแนะนำให้คุณอย่าทำให้ผมต้องใช้กำลัง ให้ความร่วมมือหน่อย อย่าบอกนะว่าคุณทำไม่เป็น”
“หรือ คุณอาจจะขอความเมตตาก็ได้ อย่าใช้สายตาที่เย่อหยิ่งมองผม ผมอาจจะพิจารณาอ่อนโยนกับคุณหน่อย แต่ถ้าคุณชอบแบบซาดิสม์ ผมก็เต็มใจทำให้”
ใบหน้าของเธอแดงก่ำ เธอจ้องมองผมด้วยความตกใจกลัวแต่ก็ดื้อดึง
สายตานั้น ยังคงเย่อหยิ่ง และมองผมด้วยความดูถูก
ผมดึงกระชากคอเสื้อชุดนอนของเธออย่างแรงด้วยความโกรธจัด
“ไม่นะ……”ในที่สุดไป๋เวยก็ส่งเสียงร้องไห้อย่างขอร้องอ้อนวอน เธอเงยหน้าขึ้น ผมพบว่าบริเวณหางตาของเธอมีน้ำตาค่อยๆรินไหลออกมา
“ไม่นะ……ขอร้องล่ะ ฉันผิดไปแล้ว ขอโทษค่ะ……ฉันขอร้องคุณอย่าทำแบบนี้เลย……”
เธอร้องไห้ไปด้วย ส่ายหน้าไปด้วย สะบัดผมยาวของเธอและแกว่งไปมาอย่างยุ่งเหยิง
ผมหายใจอย่างหนักหน่วง ไม่ใช่เพราะความปรารถนา แต่เป็นเพราะจิตใต้สำนึกของผมกำลังดิ้นรนต่อต้าน
ฟางเส้นสุดท้าย ฟางเส้นสุดท้ายของผมได้ขาดลง……ถึงมันจะแน่แค่ไหนผมไม่สามารถทำเรื่องแบบนี้ในตอนที่ผู้หญิงร้องไห้ได้ แบบนั้นจะทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจ
ผมแอบสบถด่า แล้วผละจากร่างกายของเธออย่างไม่เต็มใจ
เธอรีบดึงชุดนอนของเธอขึ้นมาปกปิดหน้าอกของเธอไว้ หลังจากนั้นก็รีบก้าวถอยหลัง ถอยไปจนถึงมุมของหัวเตียง
เธอไม่กล้าหนีไปไหน อยากจะดึงผ้าห่มปิดบังร่างกาย แต่ผ้าห่มถูกผมทับไว้ เธอไม่ดึงไม่ไหว ได้เพียงแต่นั่งคุดคู้สองมือโอบเข่าแล้วมองมาที่ผมอย่างหวาดกลัว
เส้นผมอันยุ่งเหยิงของเธอคลุมแผ่นหลังอันเนียนขาวของเธอ ใบหน้ายังมีน้ำตาเปื้อนอยู่ ท่าทางสวยสง่าอ่อนหวาน ซึ่งมันแตกต่างกับเธอก่อนหน้านั้นที่เย่อหยิ่งและเย็นชา
ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เดินไปนั่งที่เก้าอี้ที่อยู่ข้างเตียง ผมหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด แล้วสูบแรงๆหนึ่งครั้ง
ควันหนาทึบหมุนวนอยู่ในปอด ทำให้ผมใจเย็นขึ้นมาเล็กน้อย
“รู้ไหมทำไมผมไม่เอาคุณ?”จู่ๆผมก็เอ่ยปากถามขึ้น
ไป๋เวยยังคงใช้สองมือโอบเข่านั่งที่พื้น ไม่กล้ามองหน้าผม และไม่ได้ตอบคำถามของผม
ผมพูดอย่างเย็นชา”เพราะว่าคุณไม่ใช่นางฟ้าอะไร ไม่ใช่คนทุกคนอยากจะได้คุณ คุณมันเป็นแค่คนที่มีหน้าตาสวยหน่อย รูปร่างดีกว่าผู้หญิงทั่วไปเท่านั้น อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย คนอย่างคุณน่ะ ข้างนอกมีอีกเยอะ”
เธอยังคงไม่พูดอะไร
ผมไม่ได้พูดต่อไปอีก ได้แต่สูบบุหรี่ไม่หยุด ม้วนแล้วม้วนเล่า ยังไม่อยากจากไปไหน แค่อยากนั่งเฉยๆ ค่อยๆจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง
ในห้องพักตกอยู่ในภวังค์แห่งความเงียบงัน มีแค่เสียงสูบบุหรี่ของผม ไป๋เวยยังคงกอดเข่านั่งอยู่บนเตียง ปัดเส้นผมที่ร่วงลงมาที่หน้าผากของเธอเบาๆเป็นครั้งคราวเท่านั้น
เธอไม่ร้องไห้อีกแล้ว ใบหน้าไร้ซึ่งความกลัว ภายใต้สถานการณ์สีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ใบหน้าเย่อหยิ่งจองหองที่ผมเกลียดค่อยๆกลับมาสู่ใบหน้าของเธออีกครั้ง
ผมไม่อยากมองหน้าของเธอในตอนนี้ หลังจากที่บี้ก้นบุหรี่ที่เขี่ยบุหรี่แล้ว ผมก็ลุกขึ้น หันไปเก็บเสื้อผ้าของตัวเองที่ทิ้งอยู่บนพื้น เปิดประตูแล้วเดินออกไป
ผมไม่เคยมาเชียงใหม่ เมื่อเทียบกับชีวิตร่าเริงแสงไฟสุดหรูของเซิ่งไห่ นักท่องเที่ยวเต็มๆของกรุงเทพฯ เชียงใหม่เป็นเหมือนสวนสาธารณะที่สวยงามและน่าอยู่มากกว่า ท้องถนนอันเงียบสงบ ดอกไม้ใบหญ้าที่สามารถมองเห็นได้ทุกที่ นอกจากมอเตอร์ไซค์วิ่งวูบที่ไม่เหมาะสมกับบรรยากาศของสถานที่
เมืองที่ไม่คุ้นเคยและเงียบสงบดูเหมือนจะเหมาะกับการปรับอารมณ์ความรู้สึก
ผมค่อยๆเดินตามท้องถนน และเดินเข้ามายังคลับแห่งหนึ่ง เป็นคลับที่ไม่วุ่นวายและไม่ได้เงียบขนาดนั้น
เดินผ่านกลุ่มผู้คนที่หน้าตามีเสน่ห์ไม่รู้ว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ผมจึงเดินมาที่บาร์ ใช้ภาษาไทยสั่งเบียร์ท้องถิ่นกับบาร์เทนเดอร์อย่างชำนาญ หลังจากนั้นก็นั่งดื่มอย่างเงียบๆ
ผมเจอบัตรทำงานในกระเป๋าเสื้ออย่างบังเอิญ เป็นบัตรทำงานที่ได้รับจากการทำงานเป็นผู้ช่วยของไป๋เวย แต่มาวันนี้มันเป็นเพียงแค่ขยะ
ผมสะบัดมือแล้วโยนมันทิ้งลงไปในถังขยะ
ด้านข้างมีผู้ชายคนหนึ่งสวมเสื้อลายดอกไม้และกางเกงชายหาด ท่าทางเป็นชายไทยอายุประมาณสามสิบปีกำลังมองดูความเคลื่อนไหวของผมอยู่ แล้วก้มลงมองถังขยะหนึ่งครั้ง
สิ่งที่ทำให้ผมคาดไม่ถึงคือ เขาหยิบบัตรทำงานของผมขึ้นมาดูอย่างละเอียด หลังจากนั้นก็พนมมือขึ้นมาสองข้างมาที่ผม แล้วใช้ภาษาไทยพูดกับผมอย่างสุภาพ
“สวัสดีครับ ขออนุญาตสอบถามนะครับคุณมาจากประเทศจีนใช่ไหมครับ?”
ถึงแม้ผมจะอารมณ์ไม่ค่อยดี แต่ด้วยมารยาท ผมยังคงต้องพนมมือไหว้กลับ แล้วพูดว่า”สวัสดีครับ ผมเป็นคนจีนครับ”
“ผู้ช่วยของคุณเวยแห่งบริษัทจื้อเหวินซอฟต์แวร์ที่เซิ่งไห่ใช่ไหมครับ?”
ผมชะงักไปครู่หนึ่ง บริษัทจื้อเหวินซอฟต์แวร์เป็นบริษัทก่อนหน้านั้นที่ผมเคยทำงาน และไป๋เวยเป็นคนนำทีมโปรเจกต์มาที่ประเทศไทยเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับธุรกิจ
และคุณเวย ก็คือไป๋เวยนั่นเอง คนไทยเรียกคนอื่นจะไม่เรียกนามสกุลด้วย
ในบัตรทำงานมีภาษาไทยชื่อบริษัทและตำแหน่งงานระบุไว้ คนไทยผู้นี้ต้องเห็นอยู่แล้ว แต่ทำไมเขาถึงเข้ามาทักผมและยังถามคำถามนี้อีก
“ผมชื่อสันติสุขครับ ผมทำงานให้กับBTTกรุ๊ปเชียงใหม่”
ผมนึกขึ้นได้ในทันที BTTกรุ๊ปเชียงใหม่ เป็นบริษัทสิ่งทอรายใหญ่แห่งหนึ่งในประเทศ เป็นลูกค้าในเป้าหมายของไป๋เวย
คอมเม้นต์