ประธานสาวโหดมว๊าก – บทที่ 61 เลือกที่จะเสียสละคุณ
ผมกับไป๋เวยเดินชมห้องชุดนี้อย่างเงียบๆ ฟังพนักงานของทางโรงแรมอธิบายเรื่องต่างๆของเติ้งลี่จวินในช่วงที่เธอยังมีชีวิตอยู่ และทานน้ำชากับขนมที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้นักท่องเที่ยว
เช่นเดียวกับบรรยากาศที่สดชื่นของเชียงใหม่ ชาดำของที่นี่มีสีสันที่สวยงาม รสชาติดีมาก ขนมหวานก็ทำได้สวยและน่าทานมากๆ
ผมได้พูดกับไป๋เวยว่าห้ามเธอดื่มชาดำมากจนเกินไป เธอรับปากผมทันที
หลังจากนั้น พวกเราก็ค่อยๆเดินเล่นแบบสบายๆในเมืองที่ผู้คนใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ที่มีอากาศสดชื่นและบริสุทธิ์
ผมชอบเมืองแห่งนี้มากๆ ถ้าผมมีเงิน มีคนรัก ผมจะพาคนรักมาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขที่นี่
วันหยุดสุดสัปดาห์นี้ ผมพาไป๋เวยไปเที่ยวในเมืองเชียงใหม่ พาชมเมืองโบราณ ไปวัดร่องขุ่นและพิพิธภัณฑ์บ้านดำ พอหิวก็ไปถนนนิมมาน ไปร้านอาหารชื่อดังในโซเชียล ทานอาหารต่างๆที่มีชื่อเสียงในโซเชียล พวกเราเหมือนคู่รักที่ไปทานอาหารแล้วแสดงความคิดเห็น
ผมไม่แกล้งไป๋เวยอีก เพราะจิตใจของผมสงบ แค่เล่นมุกตลกเป็นครั้งคราวเพื่อให้บรรยากาศดีขึ้น
เธอก็ไม่ได้ทำหน้าเย็นชาเย่อหยิ่งเหมือนตัวเองสูงส่งกว่าคนอื่น มีเพียงความนิ่งเงียบ น่ารัก ซุกซนและขี้งกเล็กน้อย
แต่เมื่อถึงตอนเช้าของวันจันทร์ ขณะที่ผมเดินออกจากห้อง ผมบังเอิญเจอไป๋เวยที่กำลังออกจากห้องพอดี และผมสังเกตเห็นเธอเปลี่ยนกลับไปเป็นคนเย็นชาเย่อหยิ่งเหมือนเดิม
เธอไม่ได้สวมกระโปรงพลีทและเสื้อเชิ้ตสีขาว แต่เธอสวมชุดสูททำงาน ใบหน้าของเธอไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆออกมา ปราศจากความนิ่งสงบและน่ารักของเมื่อวาน
“อรุณสวัสดิ์”เธอทักทายผมด้วยสีหน้าปกติ จากนั้นเธอก็เดินไปที่ลิฟต์ และมีเสียงรองเท้าส้นสูงดังออกมาเป็นจังหวะ ขณะเดินไปที่ลิฟต์เธอก็พูดกับผมโดยไม่ได้หันหน้ากลับมามอง “คุณพักผ่อนต่ออีกสองวันแล้วกัน รอให้ฉันจัดการเรื่องของBTTให้เสร็จ พวกเราค่อยกลับประเทศ”
“โอเคครับ”
ผมมองแผ่นหลังของเธอ และตอบแบบเบาๆ
ดูเหมือนความสัมพันธ์ของพวกเราจะกลับไปเหมือนเดิมอีกแล้ว
ความจริงเป็นอย่างที่ผมคิด ไป๋เวยไม่ยอมกินข้าวกับผมสองต่อสอง เพราะเป็นวันทำงาน คนของทีมโปรเจ็กต์ก็จะทานอาหารร่วมกัน
สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกสบายใจนิดหน่อยคือ เวลาทานอาหารเย็นไป๋เวยจะเรียกผมไปทานอาหารด้วย ผมก็ไม่ได้ปฏิเสธ และคนในทีมโปรเจ็กต์ย่อมเหลือที่ว่างข้างๆเธอให้ผมทุกครั้ง เพราะทุกคนต่างก็รู้ว่าผมกำลังตามจีบไป๋เวย
ผมไม่ได้ทำตัวกำเริบเสิบสานเหมือนเมื่อก่อน ขณะทานอาหารก็จะคุยโปรเจ็กต์ของBTTกับเพื่อนร่วมงาน ค่อยเป็นค่อยไปเมื่อเพื่อนร่วมงานเจอปัญหาในโปรเจ็กต์ที่ไม่เข้าใจก็จะถามผม
มันเป็นเรื่องดี มันพิสูจน์ให้เห็นว่าผมเป็นส่วนหนึ่งของทีมโปรเจ็กต์ และพวกเขาก็ยอมรับในตัวผม
หลังจากผ่านไปสามวัน ผมไปโรงพยาบาลเพื่อตัดไหมที่ศีรษะ บาดแผลสมานกันดีมาก ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
ไป๋เวยก็จัดการเรื่องสำคัญต่างๆจนเสร็จ จากนั้นก็จองตั๋วเครื่องบินเพื่อกลับประเทศ มีเพียงผมกับเธอที่กลับไป คนที่เหลือก็อยู่เชียงใหม่ต่อเพื่อรอส่งมอบโปรเจ็กต์ให้เสร็จ นอกจากนี้ยังสั่งส่งวิศวกรจากประเทศจีนหลายคนมาที่เชียงใหม่เพื่อทำการอัพเดทและปรับปรุงซอฟต์แวร์
ช่วงบ่ายของวันพฤหัสบดี ผมกับไป๋เวยมาถึงท่าอากาศยานนานาชาติเซิ่งไห่ ที่ประตูทางออก ผมเห็นผู้ชายหน้าตาธรรมดาอายุห้าสิบเศษๆมารอรับไป๋เวยโดยเฉพาะ
“คุณหนู คุณกลับมาแล้ว”ชายชราโค้งคำนับไป๋เวยด้วยท่าทางสุภาพและดีใจ
“ลุงเฉิง คุณอยู่ยานจิงไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงมาอยู่เซิ่งไห่ละ?”ไป๋เวยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“ฉันควรมารับคุณหนู เพราะคุณหนูเดินทางไปทำธุรกิจตั้งนาน คงเหนื่อยแน่นอน ผมมาที่นี่เพื่อรับคุณหนูกลับบ้านโดยเฉพาะ”
เมื่อชายชราพูดจบ เขามองผมที่ยืนอยู่ข้างๆเธอด้วยรอยยิ้ม
“ลำบากคุณจริงๆ”
ไป๋เวยไม่ได้สนใจเรื่องนี้ หันหน้ามาพูดกับผม “ลุงเฉิง ฉันจะแนะนำให้คุณรู้จัก เขาชื่อฟางหยาง เป็นเลขาคนใหม่ของฉัน”
“เขาคือลุงเฉิง เป็นคนในครอบครัวของฉัน”เธอชี้ไปที่ชายชราคนนั้น
“สวัสดี ผมแซ่เหอ ชื่อเหอไคเฉิง”ชายชรายื่นมือมาหาผม
ผมก็กล่าวทักทายและจับมือทักทายกับเขา
ในขณะนี้ ผมรู้สึกสายตาของเขามีนัยบางอย่าง ดูเหมือนเขาอยากจะพูดอะไรบางอย่างกับผม
แต่ความรู้สึกนี้มันหายวับไปทันที ชายชราที่ชื่อเหอไคเฉิงก็กลับมามีท่าทางที่ใจดีและสุภาพ
ดูจากท่าทางที่เขาเรียกไป๋เวย เขาน่าจะเป็นพ่อบ้านของครอบครัวไป๋เวย ทำไมสายตาของเขาต้องมีนัยลึกซึ้งแบบนั้นด้วย?
ไป๋เวยไม่ได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของเหอไคเฉิง เธอถามผมว่า “ฟางหยาง คุณพักอยู่ที่ไหน? ฉันจะให้ลุงเฉิงไปส่งคุณด้วย”
“ไม่เป็นไร ผมกลับเองได้”ผมปฏิเสธโดยไม่ลังเล
“เสี่ยวฟาง คุณไม่ต้องเกรงใจ ฉันขับรถมา พวกเรากลับด้วยกันเถอะ” เหอไคเฉิงพูดด้วยรอยยิ้มที่สุภาพ หลังจากนั้นเขาก็แย่งกระเป๋าสัมภาระที่อยู่ในมือผม
ไป๋เวยรีบพูดทันที “ใช่ ไปด้วยกันเถอะ คุณจะหารถแท็กซี่ก็ลำบาก”
ผมถามที่อยู่ของไป๋เวย พบว่าที่อยู่ของเธอกับที่พักของผมไม่ได้ไกลกันมาก ผมก็เลยพยักหน้าและรับปาก
หลังจากขึ้นรถเบนซ์ S320 ที่เหอไคเฉิงขับมา ไป๋เวยก็ถามเรื่องในครอบครัวตัวเองกับเขาตลอด อย่างเช่นสุขภาพของคุณปู่เป็นยังไงบ้าง ช่วงนี้แม่ของเธอกำลังทำอะไรอยู่ แต่เธอไม่ได้ถามถึงพ่อของตัวเองเลย
ผมไม่ได้พูดแทรก นั่งฟังอย่างเงียบๆและวิเคราะห์สถานการณ์ในครอบครัวของไป๋เวยจากการสนทนาของเธอ
ไป๋เวยพักอาศัยอยู่ในคอนโดระดับไฮเอนด์ริมฝั่งแม่น้ำภู่เจียง ดูเหมือนเธอจะอยู่คนเดียว เพราะผมกับเหอไคเฉิงช่วยเธอขนสัมภาระขึ้นไปชั้นบน แต่เธอไม่ให้พวกเราเข้าไปในห้องของเธอ และบอกลาพวกเราที่หน้าประตู
เธอยังบอกผมว่าพรุ่งนี้ให้พักผ่อนอีกหนึ่งวัน วันมะรืนค่อยไปทำงานตามปกติ
ออกจากที่พักของไป๋เวย ผมกับเหอไคเฉิงนั่งลิฟต์ลงไปชั้นล่าง ผมรอให้เขาพูดตลอดทางที่ลงมา เพราะผมรู้ว่าเขาต้องมีอะไรจะคุยกับผมแน่นอน
เหอไคเฉิงให้ผมขึ้นมานั่งเบาะข้างคนขับ หลังจากขึ้นรถแล้วเขาก็สตาร์ทเครื่องยนต์ พูดกับผมด้วยรอยยิ้ม “ฟางหยาง มีเรื่องหนึ่งที่ผมต้องขอโทษคุณ”
ผมเดาออกว่าเขาต้องการจะพูดอะไรและยิ้ม “ลุงเฉิงจะขอโทษเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีที่แล้วใช่ไหม?”
เหอไคเฉิงอึ้งไปชั่วครู่ หันหน้ามาเหลือบมองผม “คุณหนูบอกเรื่องนี้กับคุณแล้วเหรอ?”
“เธอไม่ได้พูดรายละเอียดทั้งหมด แต่ผมพอจะเดาออก”
เหอไคเฉิงยิ้มอย่างขมขื่น “คุณฉลาดมากๆ คนที่ทำให้คุณต้องติดคุกเมื่อสามปีที่แล้ว ไม่ใช่คุณหนู แต่เป็นฉัน ฉันต้องขอโทษคุณจริงๆ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเหอไคเฉิง ผมไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลย เพราะไป๋เวยเคยพูด เมื่อสามปีก่อนเธอให้คนที่บ้านไปจัดการเรื่องของเหลยหยุนเป่า แต่คนที่บ้านไม่ได้บอกความจริงทั้งหมดกับเธอ
ส่วนคนที่บ้านที่เธอพูด น่าจะเป็นเหอไคเฉิง
จุดประสงค์ที่เขามาถึงยังเซิ่งไห่จากยานจิง นอกจากมารับไป๋เวยแล้ว อีกจุดประสงค์หนึ่งก็คือมาคุยเรื่องนี้กับผม
สำหรับคำขอโทษของเขา ผมไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรออกมา แต่พูดเบาๆว่า “ผมอยากรู้ว่าเมื่อสามปีที่แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เหอไคเฉิงครุ่นคิดสักครู่และพูด “ตอนนั้นคุณหนูโทรหาผม ผมก็รีบออกเดินทางจากยานจิง แต่เมื่อฉันไปถึงก็พบว่าคุณโดนจับเข้าสถานีตำรวจแล้ว เหลยหยุนเป่าไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับคุณหนูเลย ดังนั้น……ฉันก็เลยตัดสินใจรักษาชื่อเสียงของคุณหนูไว้”
“เพราะว่าคุณหนูเป็นคนที่ฉันและภรรยาเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก ภรรยาของฉันรักคุณหนูมากกว่าลูกตัวเองด้วยซ้ำ เธอเหมือนนางฟ้าที่บริสุทธิ์และไร้เดียงสา พวกเราไม่อยากให้ชีวิตของเธอต้องมีมลทิน ตอนนั้นฉันก็เลยเลือกที่จะเสียสละคุณ”
“เหอะๆ”ผมส่ายหัวและหัวเราะ ผมทายไม่ผิดจริงๆ เพื่อรักษาชื่อเสียงของไป๋เวย ชีวิตของผมมันดูไร้ค่าจริงๆ
คอมเม้นต์