ประธานสาวโหดมว๊าก – บทที่81 ชาตินี้ผมจะไม่รั้งคุณไว้อีก
ไป๋เวยกัดฟัน “แล้วเรื่องคลิปนั่นล่ะ? คุณไม่จัดการเรื่องที่คุณก่อไว้แล้วเหรอ? เกิดอนุรักษ์โมโหแล้วทำลายสัญญา ยอมจ่ายเงินสักหน่อยเพื่อจะบอกเลิกสัญญากับเราล่ะ จะทำยังไง?”
“เกี่ยวเชี่ยไรกับกู โปรเจ็กต์นั้นกูก็เป็นคนคุยสำเร็จ พังก็พังไปสิ”
“คุณ!” ไป๋เวยโมโห แล้วส่ายหน้า “ตอนแรกฉันคิดว่าคุณเป็นคนมีความสามารถมีความรับผิดชอบ ไม่คาดคิด……ว่าฉันจะมองผิดไป คุณก็เป็นแค่ไอ้ขี้ขลาดเท่านั้นแหละ”
“กูขี้ขลาด?” ผมโมโหสุดๆแต่กลับหัวเราะออกมา “เหอะๆ ไป๋เวย จะบอกมึงให้นะ กูไม่สนงานนี้แม้แต่น้อย อย่าว่าแต่โปรเจ็กต์ของBTTอะไรนั่นเลย ที่กูอยู่ ก็เพราะกูอยากจีบมึง อยากล้างแค้นมึง……”
พูดไปได้ครึ่งทาง ผมจึงรีบหยุดไว้ เพราะผมเห็นความงงงันของไป๋เวย แล้วก็ความไม่เชื่อและความสิ้นหวังในแววตาของเธอ
ผมรู้สึกค่อนข้างเสียใจ แล้วเปลี่ยนคำพูดใหม่ “ที่ผมอยากจีบคุณก็แค่อยากล้างแค้นกงเจิ้งเหวินเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุนี้ คุณคิดว่าผมชอบปรนนิบัติคุณ ชอบมองคุณทำหน้าตาสูงส่งบอกบุญไม่รับหรือไง?”
ไป๋เวยจ้องผมไม่ละสายตา สักพักก็หลับตาลง สีหน้าค่อยๆเย็นชา
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นตอนนี้คุณก็ไปได้แล้วล่ะ”
เมื่อพูดจบ เธอหันหลังเดินออกไปจากห้องบันได
มีแว็บหนึ่ง ที่ผมอยากตามไปมาก อยากบอกเธอว่า เมื่อกี๊เป็นเพียงคำพูดที่พูดด้วยอารมณ์ ความจริงผมชอบเธอเข้าแล้ว ที่จีบเธอไม่ใช่เพื่อล้างแค้นกงเจิ้งเหวิน และยิ่งไม่ใช่เพื่อล้างแค้นเธอ เพียงแต่เพราะความชอบเท่านั้น
แต่ผมไม่กล้าพอ และความคิดนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นผมกลับไปนั่งที่บันไดอย่างเหี่ยวเฉา หยิบบุหรี่มาจุด ดูดอย่างเร็ว ก้มหน้าลงแล้วดึงผมของตัวเองโดยไม่รู้ตัว
ชีวิตของผมราวกับยิ่งอยู่ยิ่งเหี้ยลงทุกที
ดูดบุหรี่ไปหลายมวนติดกัน จนกระทั่งตัวเองสงบนิ่งลง หลังจากที่คิดอยู่นาน ผมยืนขึ้น เดินไปที่ห้องทำงานของไป๋เวยอย่างเร็ว
เคาะประตูไปสองครั้ง หลังจากที่ได้ยินเสียงไป๋เวยดังออกมาแล้ว ผมจึงผลักประตูเข้าไป
ไป๋เวยกำลังนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานที่กว้างใหญ่ เงยหน้ามองผม จากนั้นก็ก้มหน้าดูเอกสารต่อ
ผมเดินไปด้านหน้าโต๊ะทำงาน กล่าวอย่างสงบว่า “ประธานไป๋ ผมจะจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จก่อน ตามที่ได้พูดไว้ก่อนหน้านี้ รบกวนคุณคิดหาวิธีทำให้เว็บไซต์ลบคลิปก่อน ผมจะไปหาจางอี้หลินเดี๋ยวนี้ จากนั้นจองตั๋วเครื่องบินไปเชียงใหม่ ในช่วงเวลานี้ผมหวังว่ายังสามารถใช้สถานะพนักงานของบริษัทจื้อเหวินซอฟต์แวร์คุยกับอนุรักษ์ได้อยู่ เดี๋ยวผมจะไปหาจางอี้หลิน ขอให้เขาให้เวลาผมหน่อย”
“หลังจากจัดการปัญหาเสร็จแล้ว ผมจะออกไปเอง ชาตินี้จะไม่มีทางรั้งคุณไว้อีกแล้ว”
เมื่อพูดจบ ผมหันหลังเดินออกจากห้องทำงานไป
ตั้งแต่ต้นจนจบไป๋เวยไม่พูดเลยแม้แต่สักคำเดียว
เมื่อมาถึงห้องทำงานของจางอี้หลิน เห็นผู้ช่วยสาวสวยงามที่ใส่แว่นกรอบสีดำคนนั้นอยู่นอกประตู เธอไม่ได้รายงานให้ผม เพียงดูแคลนออกมา
ผมขี้เกียจสนใจเธอ เข้าไปเคาะประตูของจางอี้หลินโดยตรง
“ฟางหยาง คุณกล้ามากจริงๆนะ” พอเข้าไป จางอี่หลินก็พูดอย่างเย็นชา
ผมไม่อ้อมค้อม “ประธานจาง ผมรู้ว่าคุณอยากไล่ผมออก ตอนนี้คุณไม่ต้องลำบากแล้วล่ะ คุณเพียงให้เวลาผมสักกี่วัน หลังจากที่ผมจัดการกับเรื่องคลิปนั้นเสร็จแล้ว ผมจะไปเอง”
“เหอะๆ” จางอี้หลินดูแคลน “คุณคิดว่าคุณมีสิทธิ์เรียกร้องอะไรได้?”
“ความหมายของประธานจางคือ ผมจำเป็นต้องไสหัวไปเดี๋ยวนี้?”
“ใช่ ผมเห็นคุณแล้วรำคาญลูกตา”
“อยากได้ความดีความชอบจากนายคุณเร็วขึ้นว่างั้น?”
“เหอะ! ปากจัดนักนะ!”
ผมหัวเราะเบาๆ “ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นประธานจางก็ไปให้ประธานไป๋เซ็นชื่อ ถ้าเธอยินยอม ผมก็จะออกเดี๋ยวนี้”
พูดจบ ผมหันหลังแล้วจากไป
กลับมาที่โต๊ะทำงานของตัวเอง ผมเปิดคอมพิวเตอร์ จองตั๋วบินไปเชียงใหม่ตอนกลางคืน
นั่งต่อสักพักจนถึงช่วงเวลาเลิกงาน ผมกลับไปที่บ้านเช่า ตอนขากลับยังแยกกันโทรหาอู๋เฉิงจื้อและโจวเมี่ยว แต่มือถือของทั้งสองคนปิดเครื่องไปแล้ว
ถ้าเดาไม่ผิดล่ะก็ อู๋เฉิงจื้อและโจวเมี่ยวหนีไปแล้ว กลัวจะเจอผม บางทีอาจจะลาออกแล้วออกจากเมืองเซิงไห่ไปแล้วก็ได้
เงินที่กงเจิ้งเหวินให้อย่างน้อยก็หลายแสน หรือมากกว่านี้ก็เป็นได้ เพียงพอชดเชยความเสียหายในการลาออกจากงาน แล้วยังเพียงพอที่จะให้พวกเขาใช้ชีวิตที่เมืองอื่นได้อย่างสุขสบาย
แต่ผมไม่ปล่อยพวกเขาไว้แน่ นอกเสียจากต่อไปพวกเขาจะใช้บัตรประชาชนปลอม และไม่ใช้บัตรธนาคารเมื่อก่อนอะไรจำพวกนี้แล้ว มิเช่นนั้นผมหาพวกเขาเจอได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ รอให้เสร็จเรื่องของอนุรักษ์ก่อน แล้วค่อยมาคิดบัญชีกับพวกเขา
เมื่อกลับมาถึงบ้านเช่า ประตูห้องของอู๋เฉิงจื้อและโจวเมี่ยวเปิดไว้ ด้านในเกะกะไปหมด ชุดเครื่องนอนเสื้อผ้าเต็มพื้นไปหมด
ที่แท้ก็หนีไปแล้วจริงๆ แล้วยังหนีไปแบบเร่งด่วนอีกด้วย เอาไปแต่ของที่เอาไปง่ายๆ
ตอนที่ผมกำลังหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในห้องของพวกเขาอยู่นั้น ประตูห้องข้างๆเปิดออก โจงหลิงแง้มมองอยู่ที่ประตู หลังจากที่เห็นว่าเป็นผมก็ยิ้มหวานให้ “ฟางหยาง คุณนี่เอง ที่แท้คุณก็กลับมาพักผ่อนที่บ้านช่วงเที่ยง”
ผมจ้องแววตาของเธออย่างไม่ละสายตา แล้วกล่าว “ช่วงบ่ายต้องไปทำงานต่างถิ่น ดังนั้นจึงกลับมาเก็บข้าวของ อ้อ อู๋เฉิงจื้อกับโจวเมี่ยวล่ะ? เกิดอะไรขึ้นกับห้องของพวกเขา?”
สีหน้าของโจงหลิงค่อนข้างโศกเศร้า “พวกเขาย้ายออกไปแล้วล่ะ วันนี้ฉันพักผ่อนอยู่บ้าน ตอนเช้าเห็นพวกเขาเก็บของอย่างวุ่นวาย บอกว่าพวกเขามีเพื่อนแนะนำงานที่ดีกว่าที่เมืองอื่นให้ ดังนั้นจึงได้ย้ายออก”
ผมไม่รีบพูด เพียงแต่จ้องมองโจงหลิง
“ฟางหยาง ทำไมเหรอ? ทำไมมองฉันแบบนี้?” โจงหลิงเริ่มซีเรียส
หลังจากที่ผมแน่ใจแล้วว่าเธอไม่โกหก จึงได้ยิ้มอย่างละอายใจ “ไม่มีอะไร ก็แค่รู้สึกอาลัยอาวรณ์ อ้อ พวกเขาได้เอาสัญญาเช่าห้องให้คุณมั้ย?”
“มีค่ะ ใบมัดจำก็ให้ฉันมาแล้ว”
“ให้ผมดูสัญญาหน่อยได้มั้ย?”
เห็นได้ชัดว่าโจงหลิงค่อนข้างลำบากใจ “เอิ่ม……ขอโทษนะคะ พวกเขาเคยพูดไว้ว่าห้ามให้ใครดูเป็นอันขาด”
ผมค่อนข้างเซ็ง คิดไปคิดมา แล้วกล่าว “โจงหลิง เหตุผลที่พวกเขาย้ายออก ไม่ใช่เพราะได้งานที่ดีกว่าที่เมืองอื่น แต่เป็นเพราะผม พวกเขาทำเรื่องไม่ดีกับผมไว้ กลัวผมจะเอาคืน ดังนั้นจึงได้ย้ายออกกะทันหัน ผมอยากหาพวกเขา ในสัญญาน่าจะมีข้อมูลส่วนตัวของพวกเขา ดังนั้น ให้ผมดู ได้มั้ย?”
เมื่อฟังคำพูดของผมจบ โจวหลินคาดไม่ถึง “คุณบอกว่า……พี่โจวเมี่ยวกับอู๋เฉิงจื้อทำผิดกับคุณไว้ จากนั้นจึงได้ย้ายออก?”
ผมพยักหน้า “อืม ผมมีคลิปที่เกี่ยวพันกับความเป็นส่วนตัวของลูกค้าในมือถือ เมื่อคืนอู๋เฉิงจื้อยืมมือถือผมไปโทร ฉวยโอกาสตอนผมไปอาบน้ำแล้วก๊อบปี้คลิปไป จากนั้นก็อัปโหลดขึ้นอินเทอร์เน็ตแฉความลับลูกค้าของผม ตอนนี้เรื่องค่อนข้างใหญ่ บางทีผมอาจจะโดนบริษัทไล่ออกเพราะเหตุนี้ ดังนั้นผมต้องหาพวกเขา”
โจงหลิงชะงักไปก่อน จากนั้นก็รู้ได้ทันที “มิน่าล่ะเมื่อคืนตอนที่ฉันออกมาเอาน้ำ เห็นอู๋เฉิงจื้อเอาUSBและสายเชื่อมเข้ากับมือถือ ตอนนั้นฉันคิดว่าเป็นมือถือของเขาเอง จึงไม่ได้ถามอะไร ที่แท้เขาก็ขโมยคลิปของคุณ”
เมื่อพูดถึงจุดนี้ โจวหลินก็เปลี่ยนน้ำเสียงไป “แต่ ทำไมเขาต้องทำแบบนี้? มีประโยชน์อะไรกับเขา? หรือเมื่อก่อนเขามีความแค้นกับคุณ?”
คอมเม้นต์