ประธานสาวโหดมว๊าก – บทที่82 ติดค้างน้ำใจ
“เขาไม่ได้มีความแค้นอะไรกับผม แต่ก่อนหน้านี้ผมทำผิดกับคนรวยคนหนึ่งไว้ เขาน่าจะถูกคนรวยคนนั้นเอาเงินฟาดหัวแล้วล่ะ มิเช่นนั้นทำไมถึงได้ยอมทิ้งห้องเช่าและค่ามัดจำแล้วไปอย่างกะทันหันได้ล่ะ”
“เขาทำแบบนี้ได้ไง ทำไมเมื่อก่อนฉันดูไม่ออกนะว่าเขากับโจวเมี่ยวเป็นคนแบบนี้ น่ารังเกียจจริงๆ คุณรอก่อนนะ ฉันจะเอาสัญญาให้คุณเดี๋ยวนี้”
โจวหลินพูดอย่างโมโห พลางหันหลังเข้าห้องไป
ไม่นาน เธอเอาสัญญาและใบเสร็จหลายใบมอบให้ผม
ผมเปิดดู อู๋เฉิงจื้อเป็นคนเซ็นสัญญา มีชื่อสกุลเบอร์โทรเลขบัตรประชาชน แต่ตรงเลขบัตรประชาชนได้ใช้ปากกาหมึกซึมขีดฆ่าไปหมดแล้ว สีน้ำหมึกยังใหม่ๆอยู่เลย เห็นได้ชัดว่าเพิ่งจะขีดฆ่าไปตอนเช้า เขากลัวว่าผมจะใช้เลขบัตรประชาชนค้นหาข้อมูลของเขา
ใบเสร็จพวกนั้นเป็นใบมัดจำที่เจ้าของบ้านออกให้ ยังมีค่ามัดจำที่จ่ายแยกของผมและโจวหลิน หลี่ฟางเฟยให้เขา ในเอกสารนั้นไม่ได้มีข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์
ดูๆแล้วต้องคิดหาวิธีอื่นแล้วล่ะ
เรื่องนี้ไม่ต้องถึงมือนักสืบ เพราะไม่ต้องหาข้อมูลอะไรที่ซับซ้อนขนาดนั้น ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินเยอะขนาดนี้ ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนก็ได้แล้ว
แว็บเดียวในหัวของผมก็นึกถึงคนคนหนึ่งที่รู้จักกันตอนมัธยมต้น เป็นเพื่อนที่ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกันโดยตลอด ชื่อฉินโหย่วหยิน ไม่ได้อยู่ที่เซี่ยงไฮ้ แต่อยู่ที่บ้านเกิดกุ้ยหนิง พี่เขยของเขาทำงานในสำนักงานสันติบาลส่วนท้องถิ่น
เดี๋ยวโทรหาเขา ให้เขาช่วยก็ได้แล้ว
เมื่อนึกถึงจุดนี้ ผมเอาสัญญาและใบเสร็จต่างๆคืนให้โจงหลิง แล้วถามอีกว่า “คุณรู้มั้ยว่าอู๋เฉิงจื้อและโจวเมี่ยวเป็นคนที่ไหน?”
โจงหลิงพยักหน้า “รู้ค่ะ เป็นคนกุ้ยหนิง พวกเขาทั้งคู่เป็นคนที่นั่น”
ผมชะงักไป นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะเป็นคนบ้านเดียวกับผม
เมื่อก่อนตอนย้ายเข้ามาโจวเมี่ยวไม่ได้ขอสำเนาบัตรประชาชน เพราะเพิ่งเข้ามาอยู่ได้สองวัน เวลาพบปะกันก็น้อย ตอนที่พูดคุยกันก็ไม่ได้ถามถึงบ้านเกิดของกันและกัน พวกเขาน่าจะไม่รู้ว่าผมก็เป็นคนกุ้ยหนิงเหมือนกัน
ดูๆแล้ว จัดการได้ง่ายแล้วล่ะ
“อ้อ ฟางหยาง เมื่อกี๊คุณพูดว่าอาจจะโดนบริษัทไล่ออก มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ?” จู่ๆโจงหลิงก็ถามขึ้นมา
“อืม เดิมมันก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไร แต่เพราะผมทำผิดต่อคนรวยคนนั้น เขาต้องเอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็นแน่นอน น่าจะถูกไล่ออกแหละ”
“งั้นทำไงดีล่ะ?”
“ไม่เป็นไร ไล่ออกก็ไล่ออกสิ หนักสุดก็แค่หางานใหม่ เอาล่ะ ผมเก็บของก่อนนะ เพราะช่วงบ่ายต้องไปทำงานต่างถิ่น”
“อืม……อ้อ ฉันไปอธิบายเหตุการณ์ที่บริษัทคุณได้นะ ฉันเห็นอู๋เฉิงจื้อขโมยคลิปกับตา บริษัทที่คุณทำงานคือบริษัทจื้อเหวินซอฟต์แวร์ใช่มั้ยคะ?”
“ขอบคุณนะ ขอบคุณสำหรับความหวังดี แต่เรื่องนี้มันซับซ้อน ต่อให้คุณไปอธิบายเหตุการณ์อาจจะไร้ประโยชน์”
“งั้นฉันช่วยคุณถามว่าพวกเขาลาออกแล้วยัง พวกเขาทำงานที่เดียวกัน เมื่อก่อนพาเพื่อนร่วมงานกลับมากินข้าว ฉันสนิทกับหญิงสาวหนึ่งในกลุ่มนั้น ฉันจะถามเธอว่าเธอรู้อะไรมากกว่านี้มั้ย”
“แบบนี้ได้อยู่ ขอบคุณนะครับ ผมไปเก็บของก่อนก็แล้วกัน”
พูดจบ ผมยิ้มให้โจงหลิงอย่างซาบซึ้งใจ จากนั้นก็เดินเข้าห้องเก็บข้าวของ โจงหลิงหยิบมือถือขึ้นมาทันที แต่เพื่อนร่วมงานของอู๋เฉิงจื้อที่เธอพูดถึงนั้นไม่รับสาย จึงบอกว่าเดี๋ยวค่อยโทรไปใหม่
เก็บเสื้อผ้าเสร็จ ผมบอกลาโจงหลิง ถือกระเป๋าออกไปจากห้องเช่าร่วม เดินออกจากหมู่บ้านเพื่อหาร้านทานอาหารกลางวัน
เพิ่งมาถึงประตูของหมู่บ้าน ก็ได้เห็นรถมาเซราติที่คุ้นตาคันหนึ่งจอดอยู่ข้างถนน ข้างๆรถมีชายชุดดำที่นิ่งสงบสูงยาวที่คุ้นเคยกันยืนอยู่
เมื่อเห็นผมออกมา คนขับรถพูดกับในรถเสียงเบาๆ จากนั้นก็เปิดประตูรถออกมา กงเจิ้งเหวินลงมาจากรถ มองมาที่ผมด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม
ผมเดินไปที่เขา ยิ้มอย่างเบาๆแล้วกล่าว “กงเจิ้งเหวิน ใช้อุบายเก่งดีนะ อ้อ ใช้เงินไปเท่าไหร่ถึงจัดการอู๋เฉิงจื้อได้ล่ะ?”
กงเจิ้งเหวินแบบมือออก กล่าวอย่างเย้ยหยันว่า “ก็แค่ห้าแสนเอง ตอนแรกบอกจะให้แกสองล้านแกไม่เอา ตอนนี้ฉันใช้แค่ห้าแสนก็จัดการแกได้แล้ว รู้สึกเสียดแทงดีมั้ย?”
“เหอะๆ ไม่ใช่แค่ไหนหรอกมั้ง ตอนอยู่ที่ประเทศไทยจ่ายไปเท่าไหร่ล่ะ?รวมๆกันก็หลายล้านแล้วป่ะ”
“เหอะ!ที่ประเทศไทยครั้งนั้นอยากจะสั่งสอนแก ถือว่าแกโชคดีไป”
ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดนั้น “แหงสิ ครั้งนี้โชคไม่ดี ปล่อยโอกาสให้แก แต่ฉันไม่เข้าใจ แกจ่ายเงินมากขนาดนั้นทำทุกทาง ก็แค่อยากจะให้ฉันออกจากบริษัทจื้อเหวินซอฟต์แวร์ คุ้มกันมั้ย?”
“มีอะไรไม่คุ้มล่ะ?เงินจำนวนนี้สำหรับฉันแล้วไม่สำคัญเลย ให้แกออกห่างจากไป๋เวยได้ ให้แกโมโหแต่ทำอะไรฉันไม่ได้ ใช้เงินเท่าไหร่ก็คุ้มหมดแหละ”
พูดจบ กงเจิ้งเหวินเชิดค้างของผมด้วยความยั่ยยุ “ไง?แย่มากใช่มั้ย?อยากต่อยฉันมากใช่มั้ย?”
ผมอยากต่อยกงเจิ้งเหวินมากจริงๆ ต่อยจนเขาฉี่ราดแบบนั้น โดยเฉพาะท่าทีที่เขากวนบาทาโอหังในตอนนี้
แต่ผมไม่ได้ลงมือ ไม่ใช่กลัวคนขับรถคนนั้นของเขา แต่ไม่อยากเข้าแดนคุมขัง เพียงแค่ผมลงมือ เขาต้องแจ้งตำรวจเอาผมเข้าไปแน่นอน แล้วคิดหาวิธีให้ผมอยู่ด้านในสักหลายๆ วัน
ผมเพียงยิ้มเบาๆ แล้วกล่าว “ประธานกง บอกแกตรงๆนะ แกไม่มีหวังแล้วล่ะ ไป๋เวยรู้เรื่องบ้าๆที่แกทำที่ประเทศไทยแล้วล่ะ และก็รู้แล้วว่าแกเป็นคนอัปคลิปลงบนเว็บไซต์ ภาพพจน์ของแกถูกทำลายในสายตาเธอแล้วล่ะ ต่อให้ไล่ฉันไป แกคิดว่าแกจะจีบเธอได้หรือไง?”
“ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ฉันไม่ได้ทำงานที่บริษัทจื้อเหวินซอฟต์แวร์แล้ว ก็ยังคงจีบเธอต่อไปเช่นเคย ฉันมีเบอร์เธอ รู้ว่าเธอทำงานที่ไหน รู้ว่าเธอพักที่ไหน ถึงขั้นเมื่อคืนฉันยังทำอาหารให้เธอกินที่บ้านของเธอเลย ท่าทีของเธอในเวลาปกติทั่วไปมันช่างน่าหลงใหลเสียเหลือเกิน รสชาติของริมฝีปากเธอทำให้ฉันอดหวนคำนึงไม่ได้”
กงเจิ้งเหวินไม่โกรธ แต่ยังคงมองผมด้วยความโอหังและยิ้มกรุ้มกริ่ม แล้วกล่าว “ฟางหยาง แกยังไม่รู้ความสัมพันธ์ของตระกูลกงและตระกูลไป๋ว่าเป็นยังไงสินะ?แกคิดว่าแกเข้าถึงเธอในตอนนี้ แล้วจะได้เธอมางั้นเหรอ?เหอะๆ ช่างไร้เดียงสาเสียจริง”
พูดจบ กงเจิ้งเหวินยิ้มเลศนัย จากนั้นหันหลังเข้าไปนั่งในรถมาเซราติ
ก่อนที่จะปิดประตูรถ จู่ๆเขาได้พูดขึ้นมาอีกว่า “ฟางหยาง เรื่องคลิปเป็นแค่เริ่มต้นเท่านั้น ระหว่างฉันกับแกยังไม่จบ เพียงแค่แกไม่ตาย ฉันจะเล่นงานแกไปตลอด เล่นงานแกจนแกคุกเข่าอ้อนวอนต่อหน้าฉัน”
“เหอะๆ เชิญเล่นงานได้ตามสบาย”
หลังจากที่คนขับรถคนนั้นปิดประตูรถแล้ว เชิดคางขึ้นอย่างท้าทายผม แล้วจึงได้อ้อมไปนั่งฝั่งคนขับ
เมื่อเห็นรถมาเซราติขับออกไปอย่างเร็ว ผมส่ายหน้าหัวเราะ มีลูกเศรษฐีบางคนก็ปัญญาอ่อน คิดว่าตัวเองมีเงินหน่อยแล้วจะไร้คู่ต่อกร ถ้าถึงขั้นไม่จบไม่สิ้นล่ะก็ ต่อให้จ้างการ์ดมามากขนาดไหนก็รักษาชีวิตของเขาไม่ได้หรอก
ทานอาหารเที่ยงแถวๆหมู่บ้านเสร็จก็เกือบจะถึงเวลาทำงานแล้ว ผมสะพายกระเป๋ามาที่บริษัท ทำงานต่ออีกครึ่งวัน หลังจากที่เลิกงานช่วงบ่ายแล้วค่อยไปสนามบินก็ยังทัน
มานั่งที่ทำงานของตัวเองได้ไม่นาน ก็ได้ยินที่ทางเดินมีเสียงรองเท้าส้นสูงที่คุ้นหูดังขึ้นมา
ไป๋เวยเดินมาจากทางเดิน มองผมอย่างนิ่งสงบ แล้วกล่าว “ลบคลิปในเว็บไซต์ออกแล้วนะ”
ผมพยักหน้า “ขอบคุณครับ ครั้งนี้ผมติดค้างน้ำใจคุณ”
คอมเม้นต์