ประธานสาวโหดมว๊าก – บทที่ 86 ผมไม่ได้เกลียดคุณแล้ว
ผมเคยเอาการแก้แค้นไป๋เวยเป็นเป้าหมาย สิ่งนี้ทำให้ผมมีแรงผลักดัน รู้ว่าตัวเองต้องทำอย่างไร ควรจะทำอย่างไร
แต่หลังจากที่ระบายความแค้นเสร็จแล้ว ผมพบว่าตัวเองสูญเสียเป้าหมายไป กระทั่งผมไม่สามารถหาความหมายของการมีอยู่ของผมได้
การอยู่เคียงข้างไป๋เวยแทบจะไม่มีความหมายอะไรแล้ว
แต่ผมเหมือนจะชอบเธอเข้าแล้วล่ะ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคิดถึงความสวยของเธอ หรือเป็นเพราะหวั่นไหว หรือเป็นเพราะทั้งสองอย่าง
ดังนั้นความจริงแล้วผมไม่อยากไปเลย
อีกทั้ง ผมก่อปัญหาขึ้นมา ผมก็ต้องแก้ปัญหาเอง นี่เป็นความรับผิดชอบผู้ชายคนหนึ่ง
เพราะฉะนั้นผมจะต้องหน้าด้านอยู่ต่อไปอีกสองสามวัน รอจนเรื่องนี้คลี่คลาย……แล้วค่อยไปดีกว่า
พอคิดถึงตรงนี้ ผมก็ก้มหน้าแล้วยิ้ม แล้วพูดกับไป๋เวยที่ทำหน้าบูดบึ้ง”ประธานไป๋ครับ พูดตามตรง……เมื่อก่อนผมคิดแบบนั้นจริงๆ อยากจะแก้แค้นคุณจริงๆนั่นแหละ และอยากแก้แค้นกงเจิ้งเหวินด้วย แต่ตอนนี้ผมกลับไม่เกลียดคุณแล้ว และไม่คิดจะทำอะไรกับคุณแล้ว ระหว่างเราไม่มีใครติดค้างใครอีกต่อไป”
“คุณวางใจเถอะ ผมบอกแล้วว่าหลังจากที่จัดการเรื่องคลิปเสร็จปมก็จะไป จากนี้ไปจะไม่มาวุ่นวายกับคุณอีก และจะไม่พูดในเรื่องที่คุณไม่อยากได้ยิน อืม……แค่นี้แหละ”
“จริงสิ มีเรื่องหนึ่งผมลืมบอกคุณเลย การบันทึกเสียงของประชุมเมื่อกี้ คุณคิดหาวิธีอัปโหลดเพื่อเก็บถาวรก็ได้ หรือทางที่ดีที่สุดจะลบทิ้ง?ยังมีการวิจารณ์ในบริษัท สามารถหาวิธีควบคุมหน่อยได้ไหมครับ?”
ท่าทีของไป๋เวยผ่อนคลายลงมา แล้วพยักหน้า”อืม เสียงบันทึกการประชุมฉันจะหาวิธีจัดการเอง ประธานโจวจะหาวิธีควบคุมการวิจารณ์นี้”
“ขอบคุณครับ งั้น……ไม่มีเรื่องอะไรแล้วผมขอตัวก่อนนะครับ”
ผมยืนรออยู่กับที่ประมาณสองสามวินาที หลังจากเห็นเธอไม่มีอะไรมอบหมายแล้ว จึงหันหลังเดินออกไป
เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จากนั้นก็หันกลับไป มองดูดอกกุหลาบที่ยังคงสดในแจกัน แล้วพูดขึ้นมาว่า”ขอโทษนะครับ ก่อนหน้านี้ที่โยนดอกไม้ปลอมของคุณทิ้งไป รอผมกลับมาจากประเทศไทยแล้ว ผมค่อยซื้อให้คุณใหม่นะครับ แบบนี้จะได้ไม่ต้องกลัวดอกไม้เหี่ยวเฉาอีก ”
ไป๋เวยไม่ได้ตอบกลับ และไม่ได้มองผม เธอเพียงแค่ก้มหน้า สีหน้ายังคงมึนงงเล็กน้อย กระทั่งดูเหมือนจะผิดหวังเล็กน้อย
อาจจะเป็นเพราะเธอเคยหวั่นไหวกับผมนิดหน่อย เพราะฉะนั้นถึงได้ผิดหวัง
และอาจจะเป็นไปได้ว่าเพราะเธอกำลังจะสูญเสียคนที่สามารถช่วยเหลือเธอไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็ตาม และผู้ช่วยที่ทำซุปน้ำขิงอินทผลัมแดงให้เธอได้ ก็อาจจะเป็นเช่นนี้
ผมจำได้ว่าในลิฟต์ หลังจากที่เธอได้ยินว่าผมแค่อยากจะแก้แค้นเธอ ในแววตาของเธอมีความเหลือเชื่อและผิดหวังมาก
ผมไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงผิดหวัง อาจจะเป็นเพราะว่าผมไม่จริงใจกับเธอ
และอาจจะเป็นเพราะว่าผมไม่แคร์งานนี้ ไม่แคร์ออเดอร์ของBTTกรุ๊ป เธอคิดว่าผมเป็นคนตักน้ำรดหัวตอ คิดว่าผมเอาอาชีพการงานทำเป็นเรื่องเล่นๆ ดังนั้นเลยผิดหวัง
อาจจะเป็นแบบนี้ก็ได้
ถึงอย่างไรซะผมไม่สามารถเดาได้ และผมไม่อยากใช้สมองคิดเรื่องไร้สาระแบบนี้
ออกจากห้องทำงานของไป๋เวยมา ผมก็นั่งทำงานอย่างสงบเงียบ
ในเวลาประมาณสี่โมงเย็น ไป๋เวยออกมาจากห้องทำงาน แล้วพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย”ตอนนี้เลิกงานได้แล้ว กลับไปเก็บสัมภาระเถอะ อย่าตกเครื่องล่ะ”
ผมยกกระเป๋าที่อยู่ตรงเท้าขึ้นมา แล้วพูดว่า”เก็บเรียบร้อยแล้วครับ เดี๋ยวผมจะตรงจากบริษัทไปสนามบินเลย”
“งั้นคุณดูเวลาเองนะ”
พูดจบ ไป๋เวยก็เดินไปตรงทางเดินโดยไม่ชายตามองอีก
หลังจากที่ผมเก็บของที่อยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ก็มองดูเวลา เห็นว่ายังเช้าอยู่ จึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วโทรหาฉินโหย่วหยิน
สมัยมัธยมต้น ผมจากบ้านนอกมาเรียนในเมือง ได้รู้จักเพื่อนที่ดีที่สุดสองคน คนหนึ่งคือสวีเจ๋อ อีกคนคือฉินโหย่วหยินสมัยเรียนมัธยมต้นเราเรียนโรงเรียนเดียวกัน ในบรรดาเพื่อนักเรียนทั้งหมด คนที่ติดต่อมาตลอดก็มีแต่พวกเขา ในตอนที่ติดคุกมีเพียงแค่พวกเขาที่ไปเยี่ยมผม
หลังจากนั้น ผมกับสวีเจ๋อก็สอบเข้าคนละมหาวิทยาลัย หลังจากที่เรียนจบก็นัดกันมาเติบโตที่เมืองเซิ่งไห่ มีเพียงแค่ฉินโหย่วหยินที่ยังอยู่ที่กุ้ยหนิง เพราะสมัยที่เรียนม.6 พ่อของเขาประสบอุบัติเหตุ แล้วเสียชีวิตไป
เรื่องนั้นมีผลกระทบต่อฉินโหย่วหยินมาก หลังจากที่พ่อของเขาเกษียณจากกองทัพเขาก็กลายเป็นหนึ่งในกลุ่มคนแรกๆที่ออกทะเล เขาได้รับเงินจำนวนมากจากการขนส่งผู้โดยสาร ต่อมาก็ได้กู้ยืมเงินจากธนาคารเพื่อซื้อรถโดยสารนับสิบคัน แล้วจัดตั้งบริษัทขนส่งรายแรกในเขตมณฑลของเรา
แต่อย่างไรก็ตามภายใต้สภาพแวดล้อมทางสังคมในขณะนั้น ยังไม่มีเงินอุดหนุนหรือรายได้จากโฆษณาเหมือนในปัจจุบัน นอกจากนั้นการทำผิดต่อพวกอันธพาล เผชิญหน้ากับรถโดยสารขนาดเล็กและอื่นๆรวมถึงการต้องถูกล้อมทุบตีจากการละเมิดผลประโยชน์ของหลายๆกลุ่ม ทำให้บริษัทพ่อของฉินโหย่วหยิน ตกอยู่ในสภาวะขาดทุนมาโดยตลอด
วันหนึ่งในตอนที่เรียนม.6 จู่ๆพ่อของเขาก็เสียชีวิตจากแก๊สพิษ ธนาคารกับเจ้าหนี้หลายรายจึงมาถึงบ้านทันที
ฉินโหย่วหยินเคยเป็นคนรอบตัวที่ใจกว้างที่สุด ผมยังคงจำได้ดีตอนสมัยที่เรียนมัธยมต้นนั้น เขาพาพวกผมไปเที่ยวบาร์หนึ่งในเมือง ทุกคนดื่มเบียร์ไปคนละขวดสองขวดก็เมาจนไม่ไหวกันแล้ว หลังจากนั้นเขาก็เอาเงินออกมาเป็นฟ่อนให้ผม คนละใบ
แต่หลังจากที่พ่อของเขาเสียชีวิต ก็ไม่มีใครกล้าดูแลบริษัทต่อ แม่ของเขาก็ไม่สามารถประคับประคองได้ สุดท้ายบริษัทกับทรัพย์ทั้งหมดของครอบครัวเขาก็ถูกระงับ ผ่านไปไม่นานก็ถูกนำไปประมูลเพื่อชดใช้หนี้สิน
ฉินโหย่วหยินกับแม่ของเขากลายเป็นคนสูญเสียทุกอย่างในชีวิตภายในชั่วค่ำคืนเดียว แม้แต่ที่ซุกหัวนอนก็ไม่มี
ในฤดูใบไม้ร่วงในปีนั้น แม่ของเขายืมเงินจากญาติมาสามพันหยวน เพื่อลงไปที่มณฑลกวางตุ้ง เพื่อไปลงทุนตั้งแผงขายอาหารมื้อดึกที่บนถนนตรงข้ามโรงงานเครื่องใช้ไฟฟ้า ผัดบะหมี่ ขายปิ้งย่าง จนกระทั่งมีการจัดวางแผนผังพัฒนาเมืองขนาดใหญ่ แผงขายอาหารมื้อดึกจึงไม่สามารถทำได้ต่อไป
ในช่วยหลายปีที่ผ่านมา ฉินโหย่วหยินกับแม่ของเขาเก็บเงินได้ไม่น้อย หลังจากที่กลับไปยังบ้านเกิด ซื้อบ้านที่อยู่ในตึกอสังหาริมทรัพย์ที่มีเพียงไม่กี่แห่ง ในที่สุดก็มีบ้านสักที
ในช่วงนั้น พี่สาวของเขาได้เป็นครู และแต่งงานกับตำรวจท้องที่คนหนึ่ง ในที่สุดชีวิตของเขาก็ดีขึ้น
ช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย ในทุกการปิดภาคเรียนผมมักจะไปเที่ยวหาเขาที่มณฑลกวางตุ้ง ไปช่วยเขาปิ้งย่าง รอจนคนในโรงงานเครื่องใช้ไฟฟ้าไปพักผ่อนกันหมดแล้ว ผมก็ไปดื่มเหล้ากับเขาที่ถนน แล้วคุยกันไปด้วย
มีเพียงครั้งเดียวที่พูดถึงพ่อของเขา เขาส่ายหัว บอกว่าสหายเก่าของพ่อคนหนึ่งที่ทำงานในสำนักงานอัยการ ได้นำผู้สอบสวนคดีอาญาเก่าหลายคนไปตรวจสอบด้วยตัวเอง แต่สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่าเป็นการเสียชีวิตด้วยเหตุสุดวิสัย
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พวกเราก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กันอีกเลย
หลังจากที่กลับมาแล้ว ฉินโหย่วหยินเคยลองเริ่มทำธุรกิจอยู่หลายครั้ง แต่ล้มเหลวมาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้แฟนสาวที่คบกันมานานหลายปียังบอกเลิกด้วย
ในตอนนั้นหน้าที่การงานของผมที่เมืองเซิ่งไห่ค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ ผมเคยชวนให้เขามาเติบโตที่เมืองเซิ่งไห่ แต่เขาปฏิเสธ บอกว่าอยากลองดูอีกครั้ง
ผมรู้ว่าเขาจะหาของบางอย่างกลับคืนมา อยากจะพิสูจน์ว่าชื่อที่พ่อของเขาเป็นคนตั้งให้(โหย่วหยินแปลว่ามีเงิน ร่ำรวย)
แต่มาวันนี้สภาพแวดล้อมโดยรวมซบเซาลงมาก คนที่ไม่เคยเรียนมหาวิทยาลัยมาก่อน คนที่ไม่มีเงินทุน เป็นการยากมากถ้าอยากจะทำธุรกิจ
ชีวิตบังคับ ให้ตอนนี้เขาต้องทำงานในสถานฝากเลี้ยงเด็กชั่วคราวในช่วงเที่ยง เพราะคนทั่วไปไม่สามารถทำงานเลี้ยงเด็กได้ เขาหาคนไม่ได้ จึงทำได้เพียงแค่ดูแลเด็กสามสิบถึงสี่สิบคนกับแม่ของเขาสองคน ไม่กล้ารับมาเยอะ เพราะกลัวดูแลไม่ไหว งานฝากเลี้ยงเด็กในช่วงเที่ยงบวกกับดูแลเด็กเต็มวัน ในหนึ่งเดือนสามารถหาเงินได้หลายพันหยวน ในท้องที่ถือว่าเป็นรายได้ที่ไม่เลวเลย
เพียงแต่ ความแหลมคมของเขาเหมือนจะถูกเด็กทำลายทิ้งไปหมดแล้ว
คอมเม้นต์