Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร – บทที่ 1373 รับทัณฑ์สวรรค์

อ่านนิยายจีนเรื่อง Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร ตอนที่ 1373 รับทัณฑ์สวรรค์ อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

  ด้วยเหตุนี้ผู้คนในเมืองจิงฉูไม่ว่าจะเป็นเด็ก คนแก่ ชาย หรือหญิง ต่างก็พากันไม่หลับไม่นอน และออกมายืนมองท้องฟ้าที่มีกลุ่มเมฆทะมึนอยู่เหนือศรีษะของตนเอง พร้อมกับพากันวิพากษ์วิจารณ์ราวกับว่าวันนี้จะเป็นวันสิ้นโลก
  แต่จะตำหนิผู้คนในเมืองจิงฉูที่มีอาการตื่นตระหนกตกใจเช่นนี้ก็ไม่ถูกนักเพราะตลอดระยะเวลาครึ่งปีที่ผ่านมานั้น ปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในเมืองจิงฉูล้วนแล้วแต่ไม่ธรรมดาเลย
  เริ่มจากปรากฏการณ์มังกรเล่นน้ำในทะเลสาบจิงฉูซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนจากนั้นก็ตามมาด้วยฝนที่ตกหนักอย่างหาสาเหตุไม่ได้ จนทำให้เมืองจิงฉูกลายเป็นมหาสมุทรใหญ่ภายในคืนเดียว และเพียงแค่หนึ่งอาทิตย์ถัดมา ก็เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งผืนดินและขุนเขาในจิงฉู เป็นเหตุให้เกิดหลุมยักษ์จนถึงทุกวันนี้
  ครั้งนี้เมฆสีดำทะมึนก็ปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้าเมืองจิงฉูอีกครั้งและน่าสะพรึงกลัวกว่าครั้งก่อนมาก ทำให้ผู้คนทั่วทั้งเมืองต่างก็พากันไม่หลับไม่นอน..
  “เกิดเมฆสีดำทะมึนแบบนี้ไม่รู้ว่าจะมีมังกรเล่นน้ำเกิดขึ้นอีกรึเปล่า”
  “ไม่น่าจะมีนะเพราะเมฆสีดำนั่นลอยอยู่เหนือบริเวณหลุมยักษ์ ไม่ใช่ทะเลสาบจิงฉูเหมือนครั้งก่อน!”
  “นั่นสิ..แล้วครั้งนี้จะมีฝนตกหนักเหมือนครั้งก่อนหรือเปล่านะ”
  “ไม่รู้อะไรก็เงียบไปดีกว่า!จะมีฝนตกได้ยังไงกัน เท่าที่ฉันเคยได้ยินได้ฟังมา เมฆแบบนี้บ่งบอกว่าจะมีคนรับทัณฑ์สวรรค์เกิดขึ้นต่างหากเล่า..”
  เหตุการณ์ที่ผู้คนทั่วทั้งเมืองจิงฉูพากันออกมาดูและวิพากษ์วิจารณ์นั้น จบลงเมื่อเวลาประมาณตีสองครึ่ง..   “ดูนั่นสิ!กลุ่มเมฆสีดำเคลื่อนตัวแล้ว!”
  “เห้ย..จริงด้วย! เคลื่อนที่ไปทางทิศตะวันออก..”
  และเมื่อเมฆดำทะมึนเคลื่อนผ่านไปแสงจันทร์ที่สว่างไสวจึงสาดส่องลงมา ผู้คนจึงสามารถมองเห็นเมฆที่เคลื่อนไปทางทิศตะวันออกด้วยความเร็ว..
  “เมฆสีดำนั่นจะลอยไปที่ไหนกันแน่”
  “รีบตามไปดูกันดีกว่า..”
  ผู้คนในเมืองจิงฉูมากมายที่ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวพวกเขาต่างก็พากันวิ่งไปที่รถของตนเอง และคิดที่จะขับรถไล่ตามกลุ่มเมฆสีดำเหล่านั้นไป..
  ในขณะที่กลุ่มคนซึ่งอยู่บนเขามังกรก็ได้วิ่งตามกลุ่มเมฆสีดำไปด้วยเช่นกันและแน่นอนว่าคนกลุ่มนั้นก็คือไป๋เซียนเอ๋อ ตี้เสี่ยวอู๋ เฉิงเม่ยเฟิง เสี่ยวเม่ยเม่ย จินเหยียว เหมี่ยวเสี่ยวเหมา และคนอื่นๆอีกหลายคน นั่นเพราะพวกเขาต่างก็รู้ดีว่า เพราะเหตุใดจึงเกิดกลุ่มเมฆสีดำนี้ขึ้น..
  ……
  “ยังอีกไกลกว่าจะถึงเขตทะเลจีนตะวันออก..”
  หลังจากที่เหาะมาด้วยความเร็วราวสองสามนาทีหลิงหยุนและเย่ซิงเฉินก็มาหยุดอยู่ที่ปลายแม่น้ำใต้หลุมยักษ์ พร้อมกับคาดคะเนทิศทาง..
  ภายในเวลาเพียงแค่สองสามนาทีแต่หลิงหยุนกับเย่ซิงเฉินสามารถเหาะมาได้ไกลกว่าเจ็ดสิบกิโลเมตรเลยทีเดียว ด้วยสภาพพื้นที่ซึ่งคดเคี้ยวทำให้ทั้งคู่ไม่สามารถเหาะไปได้เร็วกว่านี้
  หลิงหยุนอาศัยอยู่ในจิงฉูมานานจึงรู้ตำแหน่งต่างๆของเมืองจิงฉูเป็นอย่างดี และจากหลุมยักษ์มุ่งหน้าไปทางตะวันออกราวเจ็ดสิบกิโลเมตรนี้ พวกเขาทั้งคู่น่าจะอยู่บริเวณด้านใต้ของอ่าวจิงฉู..
  และหากมุ่งหน้าไปทางตะวันออกอีกสักระยะก็จะเข้าสู่เขตทะเลจีนตะวันออกแล้ว..
  แต่เมื่อเหาะมาถึงจุดนี้แม่น้ำสายนี้กลับเปลี่ยนทิศทางไปด้านใต้ แทนที่จะมุ่งหน้าสู่ทะเลทางด้านตะวันออก..
  “สภาพภูมิประเทศแถบนี้ค่อยๆต่ำลงเรื่อยๆเวลานี้พวกเราอยู่ลึกลงจากผืนดินเกือบสามร้อยเมตรแล้ว..”
  เย่ซิงเฉินพยักหน้าเห็นด้วยเพราะตั้งแต่เหาะมาตามเส้นทางของแม่น้ำ ดูเหมือนแม่น้ำสายนี้จะไหลต่ำลงไปเรื่อยๆ
  และหลังจากที่ทั้งคู่เหาะไปอีกราวเจ็ดสิบกิโลเมตรก็ได้เข้าใกล้ชายฝั่งของทะเลจีนตะวันออกแล้ว ทำให้ปริมาณน้ำใต้ดินยิ่งเพิ่มสูงขึ้นอีกเท่าตัว!
  “เส้นเลือดมังกรใหญ่ทั้งสองเส้นนี้เปรียบเสมือนมังกรคู่ที่คอยโอบอุ้มเมืองจิงฉูไว้!” หลิงหยุนได้แต่เอ่ยออกมาด้วยความชื่นชม
  “มังกรคู่โอบอุ้มจิงฉู..หมายความเช่นใดงั้นรึ” เย่ซิงเฉินเอ่ยถามหลิงหยุนด้วยความไม่เข้าใจ
  หลิงหยุนยกมือขึ้นชี้ไปทางทิศเหนือพร้อมกับอธิบายว่า“จากจุดที่เรายืนอยู่ไปทางทิศเหนือราวสามสิบกิโลเมตรนี้ เป็นบริเวณของอ่าวจิงฉูซึ่งเป็นผืนน้ำขนาดใหญ่ ส่วนแม่น้ำใต้หลุมยักษ์นี้ก็อยู่ทางด้านใต้ของจิงฉูพอดี จึงเสมือนเส้นเลือดมังกรขนาดใหญ่สองเส้นที่ไหลมาบรรจบกัน เปรียบเสมือนการหลอมรวมหยินกับหยางเข้าด้วยกัน ก่อนจะไหลออกสู่ทะเลจีนตะวันออก..”
  “นี่จึงเรียกมังกรโอบอุ้มในขณะที่ลมทะเลตะวันออกซึ่งพัดเข้าสู่เมืองจิงฉูนั้น ก็จะถูกภูเขาทางด้านตะวันตกขวางกั้นไว้ เช่นนี้แล้วหากจะพูดว่าเมืองจิงฉูเป็นสถานที่ที่มีฮวงจุ้ยล้ำเลิศยิ่งนักก็คงจะไม่ผิดอะไร..”
  หลิงหยุนอธิบายให้เย่ซิงเฉินฟังอย่างละเอียดในขณะเดียวกันก็อดที่จะนึกอัศจรรย์ใจในความเก่งกาจของปรมาจารย์ที่สร้างค่ายกลมังกรหยิน–หยางไว้ใต้หุบเขาที่อยู่ระหว่างเขามังกรกับเขาหยกด้านใต้แห่งนี้ไม่ได้!   ปรมาจารย์ผู้นี้ช่างล้ำเลิศและเฉลียวฉลาดยิ่งนัก!
  เวลานี้หลิงหยุนไม่จำเป็นต้องคาดเดาถึงความเก่งกาจของปรมาจารย์ในอดีตผู้นี้อีกแล้วเขารู้ว่าปรมาจารย์ผู้นี้จะต้องเก่งกาจถึงขั้นรอบรู้และล่วงรู้ในทุกๆด้าน และที่สำคัญยังจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้เรื่องฮวงจุ้ยในระดับปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่อีกด้วย!
  “ผู้ที่สร้างค่ายกลสังหารและค่ายกลจักรวาลไว้ภายในค่ายกลมังกรหยิน–หยางอีกที จะต้องเป็นยอดฝีมือระดับปรมาจารย์ที่ล้ำเลิศเป็นแน่!”
  หลิงหยุนเอ่ยขึ้น..ดวงตาของเขาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น และได้แต่แอบคิดอยู่ในใจว่า เขาไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้เพียงลำพังแล้ว!
  หลิงหยุนจึงพูดขึ้นด้วยความภาคภูมิใจว่า“การที่ข้านำมังกรสองตัวมาไว้ที่นี่ ในวันข้างหน้าเมืองจิงฉูจะต้องกลายเป็นที่โจษจันกันไปทั่ว..”   เย่ซิงเฉินจ้องมองหลิงหยุนด้วยความตกใจไม่น้อยเพราะหลิงหยุนสามารถอธิบายภูมิทัศน์ของเมืองจิงฉูได้อย่างละเอียด ราวกับว่าเขาคือยอดปรมาจารย์ที่รอบรู้เรื่องฮวงจุ้ยเป็นอย่างดี!
  “ซิงเฉินพวกเราไปตามเส้นทางของแม่น้ำกันดีกว่า..”
  หลิงหยุนร้องบอกพร้อมกับดึงมือของเย่ซิงเฉินที่ยังคงอยู่ในอาการตกตะลึงเหาะไปตามเส้นทางของแม่น้ำที่มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ทันที
  ทั้งคู่เหาะไปด้วยความเร็วและภายในเวลาเพียงแค่สามนาทีทั้งสองคนก็เหาะไปได้ไกลกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบเมตร ในที่สุดหลิงหยุนก็หยุดลงอีกครั้ง
  เพราะเวลานี้ทั้งคู่ต่างก็อยู่ลึกลงไปใต้พื้นดินราวสี่ร้อยห้าสิบเมตรได้ซึ่งนับว่าเป็นระดับที่ลึกมากทีเดียว
  “หลิงหยุนตอนนี้พวกเราอยู่ที่ใดงั้นรึ”   เย่ซิงเฉินถามขึ้นด้วยความกังวลใจเพราะดูเหมือนแม่น้ำสายนี้จะยังหาที่สิ้นสุดไม่ได้ และยิ่งตามไปก็ยิ่งลึกลงเรื่อยๆ
  “ซิงเฉินเจ้าไม่ต้องหวาดกลัวไป!”
  หลิงหยุนได้แต่นึกขันอยู่ในใจพร้อมกับเอื้อมมือไปจับแขนเย่ซิงเฉินไว้แน่นไม่บ่อยนักหรือแทบไม่เคยมีเลยที่เขาจะเห็นเย่ซิงเฉินหวาดกลัวสิ่งใด..
  “หากข้าเดาไม่ผิดที่นี่น่าจะเป็นเขตมณฑลเจียงหนานเพราะข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอทะเล..”
  จากนั้นหลิงหยุนจึงยกมือขึ้นชี้ไปเหนือศรีษะของตนเองพร้อมกับพูดต่อ “บริเวณนี้ก็น่าจะเป็นบริเวณหมู่เกาะโจวซาน ส่วนตรงศรีษะของข้าก็คือเขาผู่โถวซานที่โด่งดัง..”
  เย่ซิงเฉินอึ้งไปครู่หนึ่งพร้อมกับอ้าปากกว้างในที่สุดก็เอ่ยออกมาว่า “ผู่โถวซานงั้นรึ นี่พวกเราอยู่ใต้ภูเขาผู่โถวซานงั้นรึ?!”
  …..  ทัณฑ์เมฆาสีดำทะมึนที่อยู่บนท้องฟ้าเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วระดับเดียวกับหลิงหยุน และเวลานี้มันก็ลอยมาปกคลุมท้องฟ้าเหนือภูเขาผู่โถวซานจนมืดทะมึนไปหมด
  เวลานี้ผู้คนที่ขับรถไล่ตามทัณฑ์เมฆาไปนั้นต่างก็ไม่สามารถขับไล่ตามได้ทัน เพราะความเร็วในการเหาะของหลิงหยุนนั้น เร็วเกินกว่าที่รถจะขับตามได้ทันเป็นแน่..
  เรียกได้ว่าเพียงแค่คนเหล่านั้นสตาร์ทรถกลุ่มเมฆสีดำก็ได้ลอยฟิ้วหายวับไปกับตาแล้ว และคงจะเห็นเป็นเพียงเส้นสีดำอยู่บนท้องฟ้าเท่านั้น
  หลิงหยุนชวนเย่ซิงเฉินคุยเพื่อให้นางคลายจากอาการหวาดวิตกเพราะความจริงแล้วเวลานี้พวกเขาอยู่ลึกลงไปใต้ดินถึงห้าร้อยเมตรต่างหากเล่า..
  หลิงหยุนยกมือขึ้นชี้ไปด้านหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ซิงเฉินเจ้าดูสิ แม่น้ำสายนี้เปลี่ยนทิศทางไปยังทิศตะวันออกอีกแล้ว และดูเหมือนจะมุ่งหน้าไปทางหมู่เกาะโจวซานในทะเลจีนตะวันออก หากแม่น้ำสายนี้ไม่ไหลย้อนขึ้นสู่ฝั่ง ก็คงพาเราสองคนไปโผล่ใต้ท้องทะเลจีนตะวันออกเป็นแน่.”
  “รีบไปกันดีกว่าข้าจะได้รีบๆรับทัณฑ์สวรรค์ให้จบๆไป!”
  หลังจากเดินทางต่อมาจนใกล้ที่จะถึงทางออกของแม่น้ำที่มืดมิดสายนี้หลิงหยุนก็เริ่มรับรู้ได้ถึงแรงกดดันจากเบื้องบน และเวลานี้ทัณฑ์เมฆาดำทะมึนก็กำลังรอคอยเขาอยู่ที่ปากทางออก..
  “ด้านหน้าเป็นทางออกของแม่น้ำสายนี้แล้ว!”
  หลิงหยุนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเขารู้ดีว่าเมื่อใดก็ตามที่ตนเองออกจากใต้ดินนี้ไปโผล่ที่ทะเลจีนตะวันออก ทัณฑ์สวรรค์ก็จะปรากฏขึ้นทันที!
  “ความจริงแล้วข้าควรต้องรับทัณฑ์สวรรค์ตั้งแต่เมื่อสิบกว่าชั่วโมงก่อนที่เข้าสู่ขั้นซื่อเฉิงชี่(ขั้นพลังชี่-4) ได้แล้ว แต่เพราะข้าไม่ต้องการให้ชาวบ้านต้องได้รับความเดือดร้อนจึงตั้งใจหลบซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน และหลบมารับทัณฑ์สวรรค์ที่นี่แทน..”
  “เวลานี้ทัณฑ์เมฆาก็กำลังลอยอยู่เหนือศรีษะของพวกเรามันเฝ้าติดตามข้ามานานนับสิบชั่วโมงเช่นนี้ ฉะนั้น ทันทีที่ข้าปรากฏตัว มันคงไม่รอให้ข้าโผล่หัวขึ้นจากน้ำด้วยซ้ำ ดูเหมือนข้าคงต้องรับทัณฑ์สวรรค์เทียนเจี๋ยทั้งที่อยู่ในน้ำก็เป็นได้..”
  หลิงหยุนผ่านประสบการณ์การรับทัณฑ์สวรรค์มามากมายเขาจึงสามารถวิเคราะห์ได้อย่างละเอียด พร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างนึกขัน
  “หลิงหยุน..มันรุนแรงถึงเพียงนั้นเชียวรึ” เย่ซิงเฉินเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
  หลิงหยุนอธิบายให้เย่ซิงเฉินฟังต่อว่า“ปกติแล้วผู้ที่สามารถบ่มเพาะพลังจนเข้าสู่ด่านกลางขั้นพลังชี่ได้แล้วนั้น จะต้องเผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่ว ซึ่งเป็นทัณฑ์สวรรค์เล็กๆเท่านั้น”
  “ส่วนทัณฑ์สวรรค์เทียนเจี๋ยนั้นนอกจากจะเป็นการชำระกายใจโดยสวรรค์แล้ว ยังนับเป็นบททดสอบที่สวรรค์ใช้ทดสอบผู้บ่มเพาะพลังที่เข้าสู่ขั้นใดขั้นหนึ่งเท่านั้น และหากสามารถผ่านบททดสอบไปได้ ผู้บ่มเพาะก็สามารถฝึกฝนเพื่อเข้าสู่ขั้นต่อไปได้ แต่หากไม่ผ่านบททดสอบ.. ร่างกายก็จะถูกทำลายแตกสลาย!”
  “ในเมื่อทัณฑ์สวรรค์เทียนเจี๋ยคือบททดสอบย่อมต้องมีรางวัลให้กับผู้บ่มเพาะที่สามารถผ่านการทดสอบไปได้ และประโยชน์ที่จะได้รับก็มากมายมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นจุดซือไห่ หรือจุดตันเถียนที่จะแข็งแกร่งขึ้น แม้แต่กายเนื้อ เส้นลมปราณ และจุดฝังเข็มทั่วร่าง ก็จะแข็งแกร่งมากยิ่งๆขึ้นด้วย”
  “ด้วยเหตุนี้แม้ทัณฑ์สวรรค์เทียนเจี๋ยจะน่าเกรงขามและน่าสะพรึงกลัวมากเพียงใด แต่หากผู้บ่มเพาะมั่นใจว่าตนเองแข็งแกร่งมากพอที่จะรับทัณฑ์สวรรค์เทียนเจี๋ยนี้ได้ พวกเขาย่อมยินดีที่จะให้สวรรค์ชำระกายใจให้ เพื่อจะได้อาศัยทัณฑ์สวรรค์เทียนเจี๋ยสร้างความแข็งแกร่งให้กับตนเอง..”
  “ไม่ว่าจะเป็นด่านกลางขั้นพลังชี่ขั้นแก่นเต๋าทองคำ ขั้นก่อตั้งวิญญาณ หรือแม้แต่ขั้นเผชิญความทุกข์ยากก่อนเข้าสู่ความเป็นเซียนนั้น ผู้บ่มเพาะตนเพื่อมุ่งสู่ความเป็นเซียน ย่อมต้องผ่านบททดสอบของสวรรค์ทั้งสิ้น และผู้ที่ทำหน้าที่ส่งอสุนีบาตผ่านทัณฑ์สวรรค์เทียนเจี๋ยลงมาให้ผู้ฝึกบ่มเพาะตนทั้งหลาย ก็หาใช่ผู้ใดไม่.. ล้วนแล้วแต่เป็นเหล่าเทพและเซียนบนสวรรค์นั่นเอง.. แต่ถึงแม้จะเป็นเทพและเซียนอยู่บนสวรรค์ แต่พวกเขาก็ยังมีดีใจ เสียใจ โกรธ สุข และทุกข์”
  “ซิงเฉิน..เจ้าลองคิดดูว่าข้าเป็นผู้บ่มเพาะตนที่เพิ่งเข้าสู่ด่านกลางขั้นพลังชี่เท่านั้น แต่กลับปล่อยให้เหล่าเทพและเซียนรอคอยที่จะส่งทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่วลงมานานนับสิบกว่าชั่วโมงเช่นนี้ พวกเขาจะไม่โกรธหรืออย่างไรกัน”
  “…….”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด