Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร – บทที่ 1401 คำนวณดวงชะตา

อ่านนิยายจีนเรื่อง Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร ตอนที่ 1401 คำนวณดวงชะตา อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

บทที่ 1401 : คำนวณดวงชะตา
  การเกิดลมปราณแตกซ่านและธาตุไฟเข้าแทรกในระหว่างที่ฝึกฝนนั้น หากไม่กลายเป็นคนเสียสติ ก็ต้องตายในทันที หรือไม่ก็ในเวลาต่อมา ช่วงเวลาที่รอคอยความตายนี้ จึงเป็นช่วงเวลาวิกฤติแห่งชีวิตของคนผู้นั้น
  ช่วงเวลาวิกฤติแห่งชีวิตของแต่ละคนนั้นสั้นยาวไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับวิชาที่คนผู้นั้นฝึกฝนด้วย แต่ไม่ว่าจะฝึกฝนวิชาใดก็ตาม ตราบใดที่ลมปราณแตกซ่าน ธาตุไฟเข้าแทรก แน่นอนว่าหากไม่เสียสติ ก็ต้องประสบกับช่วงเวลาวิกฤติแห่งชีวิตที่ว่านี้กันทุกคน
  สำหรับผู้ที่เสียสติไปนั้นแม้จะสามารถรักษาชีวิตให้ยืนยาวได้ แต่ก็จะอยู่อย่างคนที่จดจำอะไรไม่ได้ และสุดท้ายเมื่อถึงจุดหนึ่งก็ต้องตายอยู่ดี
  ในคืนวันเชงเม้งที่หลิงหยุนไปช่วยเฉิงเม่ยเฟิงนั้นเป็นช่วงเวลาที่เขาเพิ่งขึ้นมาจากก้นหลุมยักษ์ และได้รับข่าวว่าฉินจิวยื่อเดินทางไปสำนักกระบี่เทียนซาน!
  แต่ช่วงที่ฉินจิวยื่อได้รับข่าวเรื่องหนิงเทียนหยานั้นก็หาใช่เป็นการได้รับข่าวทันทีที่หนิงเทียนหยาประสบเหตุร้ายครั้งนี้ไม่
  จากเขาเทียนซานซึ่งตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีนมาถึงเมืองจิงฉูซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้นั้น ห่างกันนับหลายพันไมล์ อีกทั้งคนของสำนักกระบี่เทียนซานที่มาส่งข่าวก็ต้องใช้เวลาตามหาฉินจิวยื่อด้วย อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสี่หรือห้าวันกว่าจะพบ..
  ฉะนั้นแล้วตี๋เสี่ยวเจินน่าจะส่งคนของสำนักกระบี่เทียนซานลงเขามาในช่วงปลายเดือนมีนาคม และก่อนหน้านั้นกว่าที่คนของสำนักกระบี่เทียนซานจะไปพบร่างของหนิงเทียนหยาที่ถูกธาตุไฟเข้าแทรก และลมปราณแตกซ่านจนนอนไร้เรี่ยวแรงอยู่นั้น ก็คงไม่ใช่ทันทีเช่นกัน อีกทั้งกว่าที่ตี๋เสี่ยวเจินจะตัดสินใจส่งข่าวบอกฉินจิวยื่อ ก็คงต้องใช้ระยะเวลาประมาณหนึ่งด้วยเช่นกัน  ด้วยเหตุนี้หลิงหยุนจึงไม่สามารถระบุวันเวลาแน่นอน ที่หนิงเทียนหยาเกิดลมปราณแตกซ่านจากการฝึกฝนวิชาได้!
  แต่หากประเมินจากข้อมูลที่มีอยู่ในเวลานี้หลิงหยุนก็จำเป็นต้องคาดเดาเอาว่า หนิงเทียนหยาน่าจะประสบเหตุร้ายในช่วงวันที่ 26 หรือ 27 เดือนมีนาคมตามปฏิทินสุริยคติ..
  และเมื่อเป็นเช่นนี้ช่วงเวลาวิกฤติแห่งชีวิตของหนิงเทียนหยาก็ล่วงเลยมานานแล้ว และน่าจะเหลือเวลาที่จะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกินสองวันเท่านั้น!
  ….
  ฉินฉางชิงเห็นหลิงหยุนที่จู่ๆก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันเช่นนี้ จึงได้แต่นึกประหลาดใจ และรีบร้องถามขึ้นว่า
  “หลิงหยุนเกิดอะไรขึ้นงั้นรึ”
  คิ้วทั้งสองของหลิงหยุนขมวดเข้าหากันแน่นและรีบบอกเล่าปัญหาใหญ่ให้กับฉินฉางชิงรู้ทันที  “หากข้าคาดการไม่ผิดช่วงเวลาวิกฤติแห่งชีวิตของหนิงเทียนหยาคงจะเหลืออีกเพียงแค่สองวันเท่านั้น หรือไม่ก็เป็นไปได้ว่าฝ่ายนั้นอาจจะลงมือในวันนี้แล้วก็เป็นได้..”
  หลิงหยุนถึงกับต้องแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตนเองและไม่พูดอะไรต่ออีก เพราะในเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ฉินจิวยื่อ และหนิงเทียนหยากำลังตกอยู่ในอันตรายอย่างที่สุด!
  แม้ว่าหลิงหยุนจะไม่เคยพบเจอหนิงเทียนหยามาก่อนแต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องช่วยหนิงเทียนหยาให้ได้ เพราะหนิงเทียนหยาคือบิดาของหนิงหลิงยู่
  และต่อให้เขาไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างหนิงเทียนหยากับหนิงหลิงยู่ในฐานะบิดากับบุตรสาวแต่หลิงหยุนก็ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของฉินจิวยื่อ เพราะหากเป็นเช่นนี้ ไม่เพียงที่ตี๋เสี่ยวเจินจะคิดสังหารแม่บุญธรรมของเขา แต่หากหนิงเทียนหยาเสียชีวิตขึ้นมาจริงๆนั้น หลิงหยุนก็ไม่รู้ว่านางฉินจิวยื่อจะคิดกระทำการเช่นใดกับตนเอง..
  ฉินจิวยื่อเป็นผู้ที่มีจิตใจแน่วแน่มั่นคงแต่ก็ดื้อรั้นยิ่งนัก!
  ไม่เช่นนั้นในสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างมากเมื่อสิบแปดปีก่อนฉินจิวยื่อคงไม่ยืนกรานที่จะให้กำเนิดหนิงหลิงยู่ให้ได้ จนเป็นเหตุให้ตระกูลฉินต้องสูญเสียอย่างมากมาย อีกทั้งยังยอมเก็บตัวอยู่ในจิงฉูอย่างเงียบเชียบมานานถึงสิบแปดปี และเมื่อได้ข่าวคราวเรื่องหนิงเทียนหยา นางก็ไม่คิดที่จะสืบหาความจริง แต่กลับรีบเดินทางไปยังสำนักกระบี่เทียนซานเพียงลำพัง อีกทั้งยังยอมอดทนอดกลั้นต่อการถูกดูถูกดูแคลน เพื่อให้ตนเองได้มีโอกาสดูแลหนิงเทียนหยา!
  หากหนิงเทียนหยาเสียชีวิตฉินจิวยื่อคงต้องรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง หลิงหยุนไม่กล้าคาดเดาว่าแม่บุญธรรมของตนจะตัดสินใจเช่นใดต่อไป
  เมื่อคิดมาถึงตรงนี้หลิงหยุนก็ยิ่งรู้สึกกังวลใจมากขึ้นไปอีก!   “นี่เจ้าคิดว่าจิวยื่อนางจะ…”
  ฉินฉางชิงเองก็ครุ่นคิดตามไปด้วยเช่นกันและเมื่อคิดได้เช่นนั้น ฉินฉางชิงก็ถึงกับหน้าเปลี่ยนสี เขาร้องถามหลิงหยุนด้วยความตื่นตระหนกอย่างมาก
  “หลิงหยุน..เช่นนั้นแล้วข้าควรทำเช่นใด!”
  “ท่านตาฉิน..ท่านอย่าได้ร้อนใจไปเลย!”
  หลิงหยุนเอ่ยปลอบใจฉินฉางชิงก่อนจะหันไปทางโม่วู๋เตาพร้อมกับร้องสั่งว่า “นักพรตน้อย ถึงเวลาที่เจ้าต้องทำหน้าที่บ้างแล้ว!”
  “เอ่อ..แต่ข้าไม่รู้วันเดือนปีเกิดของท่านลุงเลย แล้วจะให้ข้าคำนวณดวงชะตาของเขาได้อย่างไรกัน”
  โม่วู๋เตาเอ่ยปากบอกหลิงหยุนเขาไม่เคยพบหนิงเทียนหยาเลยแม้แต่ครั้งเดียว อีกทั้งยังไม่รู้วันเดือนปีเกิด จึงยากที่เขาจะสามารถทำนายดวงชะตาออกมาได้
  “เจ้านักพรตโง่!”   หลิงหยุนถอนหายใจพร้อมกับดุโม่วู๋เตาก่อนจะพูดต่อว่า “ใครบอกเจ้าว่าข้าจะให้เจ้าทำนายดวงชะตาพ่อของหลิงยู่เล่า.. ข้าจะให้เจ้าทำนายดวงชะตาท่านแม่ของข้าต่างหาก!”
  “ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีปัญหา!”
  โม่วู๋เตาตอบกลับไปทันทีและสำหรับหลิงหยุนแล้ว ฉินจิวยื่อนั้นสำคัญกว่าหนิงเทียนหยาหลายเท่านัก เวลานี้เขาเป็นห่วงฉินจิวยื่อมากที่สุด!
  โม่วู๋เตาหยิบเหรียญทองแดงออกมาสามเหรียญกำไว้ในมือจากนั้นจึงหันไปถามฉินฉางชิง “ท่านตาฉิน ข้าขอทราบวันเดือนปีเกิดของท่านป้าฉินจะได้หรือไม่”
  หลิงหยุนได้ยินถึงกับตำหนิโม่วู๋เตา“เจ้านักพรตน้อย.. วันเดือนปีเกิดของท่านแม่ ข้าก็เคยบอกเจ้าตั้งแต่เมื่อครั้งที่อยู่จิงฉูแล้วไม่ใช่รึ นี่เจ้าลืมไปแล้วหรืออย่างไร?”
  หลิงหยุนยังจำได้แม่นยำว่าเมื่อครั้งที่ฉินฉางชิงได้เล่าเรื่องราวอันแสนเจ็บปวดของฉินจิวยื่อให้กับเขาฟังคราแรกนั้น เขาอยากรู้ชะตากรรมของนางฉินจิวยื่อในเวลานั้น จึงได้มอบรูปถ่ายพร้อมกับวันเดือนปีเกิดของนางให้โม่วู๋เตาไป เพื่อให้เขาทำนายดวงชะตาของนาง..
  “เอ่อ..ข้าลืมไปหมดแล้ว!”
  โม่วู๋เตาพยักหน้าพร้อมตอบหลิงหยุนไปว่า“นักพรตเต๋าอย่างพวกเราต้องทำนายดวงชะตาให้ผู้คนแทบทุกวี่ทุกวัน และหลังจากเสร็จสิ้น ก็ลืมไปหมดแล้ว ผู้ใดจะมานั่งจดจำกันเล่า..”
  “หลิงหยุนเหตุใดต้องสร้างความกดดันให้นักพรตน้อยด้วยเล่า เอาล่ะ ข้าจะบอกเจ้าอีกครั้ง..”
  หลังจากนั้นฉินฉางชิงก็หันไปบอกวันเดือนปีเกิดให้กับโม่วู๋เตารู้พร้อมกับถามขึ้นว่า “เจ้ายังต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมอีกหรือไม่”
  โม่วู๋เตาทำการโยนเหรียญทองแดงทั้งสามในกำมือขึ้นฟ้าและปล่อยให้ตกลงบนพื้นอยู่หลายครั้ง แต่ในที่สุดเขาก็หยุดพร้อมกับขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น ก่อนจะพูดขึ้นว่า  “หากมีสถานที่ที่ท่านป้าฉินเคยอยู่จะทำให้การทำนายของข้าแม่นยำมากยิ่งขึ้น..”
  ฉินฉางชิงตอบกลับทันทีพร้อมกับกวักมือเรียกโม่วู๋เตา“เจ้าตามข้ามา!”
  จากนั้นฉินฉางชิงก็เดินนำหน้าหลิงหยุนกับโม่วู๋เตาออกไปยังสวนหน้าบ้านที่เงียบสงบจากนั้นจึงผลักประตูบ้านออก และพาทั้งคู่เดินออกไปยังบ้านหลังหนึ่ง
  ฉินฉางชิงก้าวเท้าเข้าไปภายในบ้านและสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเศร้าหมองขึ้นมาทันที ในขณะเดียวกันก็หันไปบอกกับโม่วู๋เตา
  “บ้านหลังนี้จิวยื่อเคยอาศัยอยู่ตั้งแต่เล็ก..”
  “ท่านตาฉินพวกเราอยู่ที่สวนด้านหน้านี้ก็พอ ไม่จำเป็นต้องเข้าไปในตัวบ้าน!”
  ทันทีที่เดินผ่านประตูรั้วเข้าไปโม่วู๋เตาก็กวาดสายตามองไปทั่วบริเวณสวนด้านหน้า เขาก้าวเท้าเดินไปสำรวจภายในสวนอย่างช้าๆ
  ฉินฉางชิงนั้นมีความรู้เรื่องฮวงจุ้ยไม่น้อยเช่นกันเขาเฝ้ามองท่าทางของโม่วู๋เตา และแต่ละเท้าที่ก้าวเดินอย่างพินิจพิจารณา ในที่สุดก็หันไปถามหลิงหยุนว่า
  “หลิงหยุนเท่าที่ข้าสังเกตดู นักพรตน้อยผู้นี้มีความรู้ในเรื่องการทำนายดวงชะตาที่สูงส่งมากทีเดียว!”
  “ท่านตากล่าวได้ถูกต้อง!ที่ข้าสามารถหาที่คุมขังท่านพ่อได้พบรวดเร็วเช่นนั้น ก็เพราะการคำนวณดวงชะตาของนักพรตน้อยผู้นี้!” หลิงหยุนตอบกลับไปด้วยร้อยยิ้มที่ชื่นชม
  ฉินฉางชิงจ้องมองโม่วู๋เตาพร้อมกับพูดต่อว่า“ตำแหน่งที่โม่วู๋เตากำลังสำรวจอยู่นั้น เป็นบริเวณที่จิวยื่อมักใช้เป็นที่ทำสมาธิและฝึกฝนวิชา นางใช้ชีวิตอยู่ในบริเวณนั้นมากกว่าอยู่ในห้องนอนของตนเองเสียอีก!”
  ระหว่างที่หลิงหยุนกับฉินฉางชิงกำลังสนทนากันอยู่นั้นหลังจากที่โม่วู๋เตาพบตำแหน่งเป้าหมายที่ต้องการแล้ว เขาก็สะบัดชายเสื้อคลุมขึ้นพร้อมกับนั่งลงขัดสมาธิทันที จากนั้นจึงร้องตะโกนออกไปว่า  “ท่านตาฉิน..ท่านมีสายสัมพันธ์ที่เกี่ยวพันแน่นแฟ้นกับท่านป้าฉิน ข้าจึงต้องขอให้ท่านออกไปจากบริเวณนี้ก่อน”
  จากนั้นจึงหันไปโบกมือไล่หลิงหยุนพร้อมกับสั่งว่า“เจ้าก็ด้วย.. เจ้าเองก็มีอิทธิพลกับท่านป้าฉินเช่นกัน ฉะนั้นเจ้าต้องออกไปจากบริเวณนี้ แล้วอย่าได้ใช้จิตหยั่งรู้ของเจ้าแอบดูข้าโดยเด็ดขาด!”
  “ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็จะออกไปก่อน..”
  ฉินฉางชิงได้ยินคำพูดของโม่วู๋เตาจึงรีบเดินนำหลิงหยุนออกไปจากสวนภายในบ้านทันที จากนั้นจึงเดินกลับไปรอที่บ้านของตนเอง..
  และเมื่อทั้งสองคนเดินออกไปแล้วสีหน้าของโม่วู๋เตาก็เปลี่ยนเป็นจริงจังมากยิ่งขึ้น เขากำเหรียญทองแดงทั้งสามไว้ในมือ พร้อมกับทำหน้าเหยเกและรำพึงรำพันออกมา
  “เอาล่ะ..ลองดูสักตั้ง! ในเมื่อกินข้าวของเขาไปแล้วก็คงต้องตอบแทน..”   โม่วู๋เตานั่งหลับตาขบฟันแน่นเขาค่อยๆทำจิตใจให้สงบนิ่งและว่างเปล่า จากนั้นจึงเขย่าเหรียญทองแดงทั้งสามที่อยู่ในกำมือ ในขณะที่ปากก็ขมุบขมิบไม่หยุด และในที่สุดก็โยนเหรียญทั้งสามในกำมือขึ้นฟ้า..
  พรวด!!
  ทันทีที่เหรียญทองแดงทั้งสามพุ่งออกจากกำมือของโม่วู๋เตาร่างของเขาก็ลอยละลิ่วขึ้นไปบนท้องฟ้า ราวกับลูกบอลที่ถูกทุบด้วยค้อนขนาดใหญ่ ที่หดตัวลงในครั้งแรกหลังถูกทุบ แต่แล้วก็กลับกระดอนขึ้นฟ้าอย่างรุนแรง ร่างของโม่วู๋เตาที่ลอยละลิ่วอยู่กลางอากาศนั้นถึงกับกระอักออกมาเป็นเลือด ใบหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือด ก่อนจะร่วงลงสู่พื้นและหมดสติไปในทันที!
  เมื่อมองไปที่เหรียญทองแดงทั้งสามเวลานี้เหรียญทั้งสามกำลังพุ่งชนกันอยู่กลางอากาศ และเกิดเป็นเสียงกริ๊งกร๊างไม่หยุด ก่อนจะค่อยๆร่วงลงสู่พื้นดิน และกลิ้งไปตามทางอย่างไร้จุดหมาย  กริ๊ง..กริ๊ง.. กริ๊ง..
  เมื่อได้ยินเสียง..ทั้งหลิงหยุน ฉินฉางชิง และคนอื่นๆต่างก็พากันวิ่งไปยังบ้านของฉินจิวยื่อทันที แต่เมื่อทุกคนก้าวเข้าไปภายในสวน ทั้งหมดก็เห็นเหรียญทองแดงทั้งสามนั้นกลิ้งกลับไปกลับมาอยู่เช่นนั้น จึงได้แต่ยืนมองด้วยความงุนงงสงสัย
  “นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน”ฉินฉางชิงเอ่ยถามออกมาด้วยความงุนงง และไม่เข้าใจ
  หลิงหยุนยืนเอามือไขว้หลังจ้องมองเหรียญทองแดงทั้งสามอยู่นานและหันไปมองโม่วู๋เตาสลับกันไป ในที่สุดก็เอ่ยขึ้นว่า
  “ในเมื่อเหรียญทองแดงทั้งสามยังคงกลิ้งกลับไปกลับมาไม่หยุดเช่นนี้คงต้องรอให้โม่วู๋เตาฟื้นคืนสติ และลุกขึ้นมาทำนายด้วยตัวเองแล้วล่ะ!”
  ��

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด