Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร – บทที่ 1396 แคว้นทั้งหก

อ่านนิยายจีนเรื่อง Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร ตอนที่ 1396 แคว้นทั้งหก อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

บทที่ 1396 : แคว้นทั้งหก
  ฉินตงเฉวี่ยตอบกลับทันที–หลิงหยุน ที่ผ่านมาข้ายังไม่มีโอกาสได้บอกกับเจ้า การไปช่วยพี่สาวของข้าครั้งนี้เกี่ยวพันถึงสามฝ่ายด้วยกัน ทั้งตระกูลฉิน สำนักกระบี่เทียนซาน และตระกูลหนิง อีกทั้งยังมีสัญญาระหว่างตระกูลฉินกับตระกูลหนิง หากให้หนิงหลิงยู่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อนที่จะช่วยพี่สาวของข้าได้ เรื่องราวอาจจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่คาดคิดก็เป็นได้..-
  –เจ้าอย่าลืมว่าการที่พี่สาวของข้าไปสำนักกระบี่เทียนซานครั้งนี้ ก็ด้วยเรื่องของหนิงเทียนหยา และจนถึงตอนนี้พวกเรายังไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้าง-
  หลิงหยุนฉุกคิดขึ้นมาได้ทันทีและเห็นด้วยว่าความกังวลของฉินตงเฉวี่ยนั้นมีเหตุผลอย่างมาก เขาจึงพยักหน้า แล้วตอบหนิงหลิงยู่กลับไปว่า
  “หลิงยู่ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการที่จะไปช่วยท่านแม่ แต่เวลานี้พวกเราต่างก็ไม่มีผู้ใดรู้ตื้นลึกหนาบางว่า เกิดอะไรขึ้นในสำนักกระบี่เทียนซานบ้าง ยังมีอีกหลายเรื่องที่ข้าต้องรอให้ได้พบกับท่านตาฉินเสียก่อน จากนั้นเจ้าจึงสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องนี้ได้..”
  หลิงหยุนตอบหนิงหลิงยู่ไปตามความจริง..
  “แต่พี่ใหญ่คะความแข็งแกร่งของข้าเวลานี้ สามารถไปช่วยเหลือท่านแม่พร้อมกับท่านได้โดยไม่สร้างปัญหาใดๆ!”
  หนิงหลิงยู่รีบอธิบายต่ออย่างร้อนใจ“พี่ใหญ่ ข้าเฝ้ารอเวลานี้มาเนิ่นนาน ให้ข้าไปกับพี่เถิดนะ ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใด ข้าก็จะไม่ปริปากบ่น..”
  หลังจากได้ฟังคำอ้อนวอนของหนิงหลิงยู่หลิงหยุนก็เริ่มรู้สึกลำบากใจ หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงอ้างเรื่องความปลอดภัยของนางได้ แต่เวลานี้นางเข้าสู่ขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6) แล้ว หากจะบอกว่าเขาเป็นห่วงความปลอดภัยของนาง ก็คงจะฟังไม่ขึ้นนัก..   และเมื่อนางยืนยันที่จะไปช่วยฉินจิวยื่ออย่างหนักแน่นเช่นนี้ส่วนตัวหลิงหยุนไม่ได้รู้สึกเป็นปัญหาอะไร จึงได้แต่หันไปถามฉินตงเฉวี่ย..
  –จะทำเช่นไรดี-
  ฉินตงเฉวี่ยไม่ตอบหลิงหยุนแต่กลับยื่นมือไปคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาพูดแทน..
  “หลิงยู่ความจริงเป็นข้าที่ไม่ต้องการให้เจ้าร่วมเดินทางไปช่วยแม่ของเจ้าด้วย ยังมีหลายเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพ่อแม่ของเจ้า รวมถึงความปลอดภัยของตระกูลฉินและตระกูลหนิง หากเจ้าไปพร้อมกับพวกเราครั้งนี้ ไม่เพียงไม่เป็นการช่วย แต่กลับจะทำให้เรื่องราวยิ่งแย่ลงยิ่งกว่าเดิม..”
  “เจ้าเองก็ไปอยู่ตระกูลฉินนานนับเดือนไม่ใช่รึข้าคิดว่าท่านพ่อคงจะเล่าหลายสิ่งหลายอย่างให้เจ้าฟังไม่น้อย..”
  ฉินตงเฉวี่ยยกหนิงเทียนหยากับฉินฉางชิงขึ้นมาอ้างซึ่งจะมีน้ำหนักมากกว่าคำพูดของหลิงหยุนหลายเท่า!   “อืมม..”
  อารมณ์ของหนิงหลิงยู่เริ่มเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดและนางก็ตอบกลับไปว่า “ท่านตาได้เล่าหลายสิ่งหลายอย่างให้ข้าฟังจริงๆ”
  “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ควรฟังคำพูดของข้า..”
  ฉินตงเฉวี่ยถอนหายใจยาวก่อนจะพูดต่อว่า“แต่หากเจ้าไม่เห็นด้วย ข้าก็จะกลับไปตระกูลฉิน และให้ท่านปู่ของเจ้าเป็นผู้ตัดสินใจ หากเขาตกลงที่จะให้เจ้าเดินทางไปพร้อมกับพวกเราด้วย เจ้าก็ค่อยตามไปสมทบ เจ้าเห็นเป็นเช่นใด”
  “ตกลง!”
  หนิงหลิงยู่ตอบตกลงทันทีแต่ก็รีบเสริมขึ้นว่า “น้าหญิง.. หลังจากที่ท่านคุยกับท่านตาแล้วได้ความเช่นใด ท่านต้องส่งข้อความบอกข้า เพราะสองสามวันนี้ข้าจะเก็บโทรศัพท์มือถือไว้ในแหวนพื้นที่..”
  เมื่อเห็นว่าหนิงหลิงยู่ยอมตกลงฉินตงเฉวี่ยก็เหาะกลับลงไปบนพื้นดินด้วยความโล่งใจ และรีบตอบนางกลับไปทันที
  “เจ้าวางใจได้หลังจากข้าได้คำตอบจะรีบแจ้งให้เจ้ารู้ทันที!”
  “หลิงยู่เจ้ายังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่ หากไม่มี ก็กลับไปพักผ่อนได้แล้ว นี่ก็เกือบจะเที่ยงคืนแล้ว..”
  หลังจากที่ฉินตงเฉวี่ยสนทนากับหนิงหลิงยู่ต่ออีกสักครู่นางก็วางสายไป และส่งโทรศัพท์มือถือคืนให้กับหลิงหยุน แต่นางก็สังเกตเห็นว่าหลิงหยุนที่เหาะตามลงมานั้น เอาแต่จ้องมองด้วยสายตาที่ไม่อาจเข้าใจได้ จึงได้ร้องถามออกไปว่า
  “นี่เจ้าจ้องมองข้าทำไมกัน”
  “ข้าก็แค่รู้สึกว่าเหตุผลที่เจ้าไม่ต้องการให้หนิงหลิงยู่ร่วมเดินทางไปด้วยนั้นมันเป็นแค่ข้ออ้าง..”
  “นี่เจ้าพูดอะไรกัน!”ฉินตงเฉวี่ยร้องตะโกนออกมาด้วยความโมโห  หลิงหยุนเข้าใจไม่ผิดเหตุผลที่ฉินตงเฉวี่ยไม่ต้องการให้หนิงหลิงยู่ร่วมเดินทางไปด้วยนั้น เพราะไม่ต้องการให้หนิงหลิงยู่รับรู้ความสัมพันธ์ที่แท้จริงของตนกับหลิงหยุน
  หลิงหยุนเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์บนท้องฟ้าพร้อมกับยกมือขึ้นชี้แล้วจึงตัดสินใจพูดออกไปว่า..
  “ตงเฉวี่ย..เจ้าเห็นดวงจันทร์บนท้องฟ้าหรือไม่ หากเจ้าเหาะขึ้นไปบนนั้น แล้วหันกลับมองลงมาบนโลกใบนี้ เจ้าจะรู้สึกว่าความกลัวของเจ้าเวลานี้ช่างน่าขันนัก!”
  ฉินตงเฉวี่ยได้แต่นิ่งอึ้งไปเพราะคิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะพูดถึงการเหาะไปดวงจันทร์ราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่ง่ายดาย แต่ด้วยความแข็งแกร่งของหลิงหยุนนั้น นางเชื่อว่าเขาจะสามารถทำได้ดังที่พูด จึงได้แต่ถามขึ้นว่า
  “จะมีวันนั้นจริงรึ”
  หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ“จริงสิ! วิชาดาราคุ้มกายเป็นวิชาที่จะเปลี่ยนร่างกายของเราให้สามารถท่องไปในจักรวาลได้ และเมื่อใดที่เข้าสู่ขั้นแก่นเต๋าทองคำ ก็เพียงพอที่จะท่องจักรวาลได้แล้ว..”
  “อีกนานเท่าใด”
  “หากไม่มีอะไรผิดพลาดก็ไม่เกินสามหรือห้าปี!”
  คำนวณจากพลังชีวิตที่ค่อนข้างขาดแคลนบนโลกใบนี้หลิงหยุนจึงไม่กล้าพูดจาโอ้อวดนัก เพราะหากอยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ เขาใช้เวลาฝึกฝนเพียงแค่สองปี ก็จะสามารถเหาะไปดวงจันทร์ได้แล้ว
  ฉินตงเฉวี่ยตอบกลับด้วยดวงตาที่เป็นประกาย“อืมม.. ข้าจะรอวันนั้น!”
  จากนั้นหลิงหยุนจึงกลับมาพูดเรื่องการเดินทางของวันพรุ่งนี้“ข้านัดหมายให้ทุกคนมาพบกันที่บ้านเลขที่-9 ในตอนเช้า..”
  ฉินตงเฉวี่ยพยักหน้ารับรู้“อืมม.. ส่วนเรื่องราววุ่นวายของตระกูลฉิน รอให้ท่านพ่อเป็นผู้เล่าให้เจ้าฟังเองก็แล้วกัน..”
  หลิงหยุนเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตระกูลฉินงั้นรึ”
  “เจ้าเองก็คงจะรู้แล้วว่าตระกูลฉินของเรามีหน้าที่พิทักษ์ปกป้องสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้มานานนับพันๆปีตลอดหลายพันปีมานี้ตระกูลฉินสามารถต้านทานหกตระกูลใหญ่ที่ต้องการมาขุดสุสานขององค์จักรพรรดิไว้ได้ แต่เวลานี้กลับมีผู้คนมากมายกล้าที่จะมาขุดสุสาน เจ้าว่าเช่นนี้แล้วตระกูลฉินนับว่ามีเรื่องวุ่นวายหรือไม่เล่า
  หลิงหยุนเอ่ยถามขึ้นด้วยความสนอกสนใจ“นี่เจ้าหมายถึงหกตระกูลใหญ่ในปักกิ่งงั้นรึ”
  ฉินตงเฉวี่ยส่ายหน้ายิ้มๆ“ไม่ใช่หกตระกูลใหญ่แห่งปักกิ่ง หากจะเรียกให้ถูกก็ต้องพูดว่าเป็นตระกูลราชวงศ์จากหกแคว้นก่อนที่จักรพรรดิจิ๋นซีจะผนึกรวมเป็นผืนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งก็คือแคว้นฉี แค้วนฉู่ แคว้นเยี่ยน แค้วนหาน แคว้นจ้าว และแคว้นเว่ย”
  หลิงหยุนได้แต่นิ่งอึ้งไปด้วยความตกตะลึง!   แต่หลังจากนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่หลิงหยุนก็โบกไม้โบกมือพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไปๆ กลับกันดีกว่า จะได้ไปเตรียมตัวสำหรับการออกเดินทางพรุ่งนี้!”
  …..
  เช้าวันรุ่งขึ้นหลิงหยุนตื่นขึ้นมาฝึกฝนวิชาแต่เช้า หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ทุกคนก็เตรียมตัวออกเดินทางไปยังท่าอากาศยานนานาชาติจิงฉู
  การเดินทางครั้งนี้นับเป็นกลุ่มที่ใหญ่มากมีทั้งฉินตงเฉวี่ย เย่ซิงเฉิน ไป๋เซียนเอ๋อ หวังชงเซียว ตี้เสี่ยวอู๋ และโม่วู๋เตา นอกจากนั้นก็ยังมีแวมไพร์ทั้งห้า และตี๋ยั่วถังแห่งสำนักกระบี่เทียนซาน
  ครั้งนี้หลิงหยุนยังคงใช้เครื่องบินส่วนตัวของหลิงลี่ในการเดินทางและในเวลาแปดโมงสิบนาที เครื่องบินส่วนตัวก็เริ่มออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ท่าอากาศยานนานาชาติเสียนหยาง และจะถึงในอีกสองชั่วโมงข้างหน้า
  ทางด้านฉินฉางชิงก็ได้เตรียมรถไปรับทุกคนที่สนามบินและทันทีที่ลงจากเครื่อง ก็จะนำพาทุกคนออกเดินทางสู่บ้านตระกูลฉินทันที..
  หลิงหยุนฉินตงเฉวี่ย ไป๋เซียนเอ๋อ เย่ซิงเฉิน และโม่วู๋เตา นั่งรถตู้คันใหญ่หรูหราไปด้วยกัน ระหว่างทางฉินตงเฉวี่ยก็ได้ทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศน์ท้องถิ่นอธิบายประวัติเมืองเสียนหยางให้ทุกคนฟังไปด้วย
  “เสียนหยางเดิมเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์ฉินเมื่อสองพันกว่าปีก่อนและเพราะด้านใต้มีเขาจิ่วซาน ด้านเหนือมีแม่น้ำ เมืองนี้จึงได้ชื่อว่าเสียนหยาง..”
  ความจริงหลิงหยุนได้ศึกษาภูมิประเทศของที่นี่มาก่อนแล้วเพราะเขาสนใจสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้มาตั้งแต่ยังเรียนอยู่ที่โรงเรียนมัธยมจิงฉู และตั้งใจไว้ว่าเมื่อแข็งแกร่งพอ เขาจะเข้าไปสำรวจสุสานแห่งนี้อย่างแน่นอน
  และยิ่งขั้นพลังของเขาแข็งแกร่งมากเพียงใดเขาก็ยิ่งล่วงรู้ความลับของประเทศจีนมากขึ้นเท่านั้น และเริ่มสัมผัสได้ถึงความลี้ลับของสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้แห่งนี้ได้มากขึ้นโดยเฉพาะปราณมังกรที่แข็งแกร่ง..
  หลิงหยุนในฐานะผู้บ่มเพาะพลังนั้นย่อมมองออกว่าเทือเขาฉินหลิงที่ทอดตัวเป็นแนวยาวจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตกนั้น ไม่ต่างจากมังกรตัวใหญ่ที่คืบคลานอยู่บนพื้นดิน และเมื่อมาถึงหลิงหยุนก็สามารถสัมผัสปราณมังกรที่แข็งแกร่งได้ตั้งแต่อยู่บนเครื่องบินแล้ว
  และหากจะพูดไปแล้วปราณมังกรที่นี่หนาแน่นกว่าที่ปักกิ่ง และเส้นเลือดมังกรที่เขาพบแถบชานเมืองปักกิ่งนั้น ก็ไม่แข็งแกร่งเท่าเส้นเลือดมังกรที่นี่
  ทันทีที่หลิงหยุนสัมผัสได้ถึงปราณมังกรที่แข็งแกร่งตั้งแต่อยู่บนเครื่องนั้นเขาก็ได้รีบดูดซับเข้าไปในร่างกาย และเริ่มใช้วิชามังกรทองคะนองเดินลมปราณอย่างเงียบๆ
  ไม่เพียงแค่หลิงหยุนเท่านั้นฉินตงเฉวี่ยเองก็เช่นกัน เพราะนางเองก็ฝึกวิชามังกรทองคะนอง ทันทีที่เครื่องบินบินผ่านเทือกเขาฉินหลิง นางก็สัมผัสได้ถึงปราณมังกร และเริ่มฝึกฝนวิชาอยู่เงียบๆ
  และเวลานี้ฉินตงเฉวี่ยก็เชื่อแล้วว่า ที่หลิงหยุนบอกว่าวิชาของสำนักดาบสวรรค์นั้นเป็นเพียงแค่ขยะ!
  “จากที่ราบกวนจงไปถึงฉิงชวนระยะทางแปดร้อยไมล์นี้นับเป็นแหล่งรวมเส้นเลือดมังกรที่ดีมากแห่งหนึ่งทีเดียว..”
  โม่วู๋เตาพึมพำออกมาทันทีแววตาของเขาเป็นประกายด้วยความชื่นชม
  โม่วู๋เตาหันไปพูดกับหลิงหยุน“หลิงหยุน.. ฉินหลิงเป็นอีกที่ที่พวกเราต้องไปสำรวจให้ได้!”
  หลิงหยุนเข้าใจความหมายของโม่วู๋เตาดีจึงรีบตอบกลับไปว่า “รอให้ข้าสะสางธุระเสร็จสิ้นก่อน จากนั้นพวกเราค่อยไปสำรวจกัน!”
  เย่ซิงเฉินฟังแล้วก็ได้แต่หันไปยิ้ม..
  หลังจากที่รถตู้หรูคันยาวนี้แล่นออกจากสนามบินเสียนหยางก็มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก ตรงสู่ทางหลวงที่มุ่งหน้าเข้าเขตหลินถง
  “ท่านพี่ฉินนี่พวกเรากำลังจะไปที่ใดรึ”
  เย่ซิงเฉินเอ่ยถามฉินตงเฉวี่ยที่นั่งอยู่ข้างๆฉินตงเฉวี่ยหันไปยิ้มให้พร้อมกับตอบไปว่า “จะไปที่ใดเล่า ที่นี่คือหลินถง ก็ต้องไปบ้านตระกูลฉินน่ะสิ!”
  “ท่านพี่ฉิน..พวกเราทั้งหมดไปบ้านท่านพร้อมกันเช่นนี้ จะไม่เป็นการรบกวนหรอกรึ”
  เย่ซิงเฉินได้ยินว่าจะไปบ้านตระกูลฉินนางจึงเริ่มรู้สึกแปลกใจ จึงได้แต่เอ่ยถามออกมา..
  แม้ทุกคนจะเป็นคณะที่เดินทางมาพร้อมกับหลิงหยุนเพื่อช่วยฉินจิวยื่อก็ตามแต่ฐานะของแต่ละคนล้วนไม่ธรรมดา เย่ซิงเฉินเป็นถึงธิดาพรรคมาร ไป๋เซียนเอ๋อเป็นจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง ในขณะที่ยังมีแวมไพร์อีกห้าตน..
  อีกทั้งตระกูลฉินก็เป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ของประเทศจีนอีกทั้งหลินถงยังเป็นเขตที่ตั้งของสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ เย่ซิงเฉินเกรงว่าจะไม่สะดวกและไม่เหมาะสมยิ่งนัก

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด