Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร – บทที่ 1393 เป็นไปไม่ได้

อ่านนิยายจีนเรื่อง Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร ตอนที่ 1393 เป็นไปไม่ได้ อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

บทที่ 1393 : เป็นไปไม่ได้
  “ไม่!เป็นไปไม่ได้!”
  หลิงหยุนได้ฟังข้อความเสียงของหนิงหลิงยู่ที่ฉินตงเฉวี่ยเปิดให้ฟังแล้วก็ถึงกับระเบิดอารมณ์ออกมาทันที เขาไม่เชื่อว่านี่จะเป็นคำพูดของหนิงหลิงยู่ เพราะในคืนนั้นเขาอยู่ท่ามกลางสนามต่อสู้ ซึ่งเหล่าศัตรูมากมายก็ล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือระดับสูง ไม่มีทางที่หนิงหลิงยู่จะตอบกลับมาเช่นนั้นเป็นแน่ และไม่มีทางที่นางจะพูดกับฉินตงเฉวี่ยด้วยน้ำเสียงเช่นนี้!
  หลิงหยุนคว้าโทรศัพท์มือถือมาจากฉินตงเฉวี่ยเขากดฟังซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่หลายครั้ง และทุกครั้งที่ได้ฟัง สีหน้าของเขาก็จะเปลี่ยนเป็นเศร้าหมอง และเคร่งเครียดอย่างบอกไม่ถูก!
  “เรื่องสำคัญเช่นนี้เหตุใดเจ้าจึงไม่บอกข้าตั้งแต่เนิ่นๆ”
  น้ำเสียงของหลิงหยุนเจือไว้ด้วยความไม่พอใจและปนตำหนิติเตียนเล็กน้อย..
  ฉินตงเฉวี่ยไม่เคยเห็นกิริยาเช่นนี้ของหลิงหยุนมาก่อนนางได้นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยความรู้สึกผิดในใจ
  “ในเวลานั้น..พวกเราทั้งหมดก็ล้วนแล้วแต่เป็นกังวลกับการต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้า ไหนเลยข้าจะมีจิตใจมาสังเกตเห็นความผิดปกติเล็กๆน้อยๆนี้ได้ แล้วหลังจากนั้นข้าก็เก็บโทรศัพท์มือถือไว้แต่ในแหวนพื้นที่..”
  เวลานี้ฉินตงเฉวี่ยทั้งกระวนกระวายใจและน้อยใจนางเล่าต่อด้วยดวงตาที่เริ่มแดงก่ำ “จนกระทั่งในคืนหลังจากที่เจ้าช่วยฟื้นฟูวรยุทธให้กับข้า ข้าจึงได้นำโทรศัพท์มือถือออกมา..”
  หลิงหยุนเห็นสีหน้าของฉินตงเฉวี่ยจึงได้รู้สึกตัวว่าตนเองนั้นพูดแรงเกินไป จึงรีบพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนมากขึ้น
  “เจ้าอย่าได้คิดมากไปเลยข้ากระวนกระวายใจมากไป เอาล่ะ.. เจ้าค่อยๆเล่ารายละเอียดให้ข้าฟังช้าๆ ว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
  ฉินตงเฉวี่ยพยักหน้าและเล่าต่อทันที“หลังจากนั้น ข้าก็เปิดโทรศัพท์มือถือ และมั่นใจว่าจะต้องพบข้อความจากหนิงหลิงยู่เป็นแน่ แต่กลับกลายเป็นว่าไม่มีข้อความจากนางแม้แต่ข้อความเดียว ข้าจึงรีบโทรหานางทันที..”
  “ช้าก่อน..เจ้าโทรหานางตอนกี่โมง”
  ฉินตงเฉวี่ยทำท่าครุ่นคิดแล้วตอบกลับไปทันที “คืนก่อนราวเทียงคืนพอดี!”
  หลิงหยุนถึงกับหัวเราะออกมาด้วยความโล่งใจและได้แต่คิดว่าฉินตงเฉวี่ยคงจะกังวลใจมากเกินไป เวลาเที่ยงคืน.. หากหนิงหลิงยู่ไม่นอนหลับ นางก็อาจกำลังฝึกฝนวิชาอยู่ และน่าจะเก็บโทรศัพท์มือถือไว้ในแหวนพื้นที่ก็เป็นได้
  เขาจึงชิงพูดแทรกขึ้นมาว่า“นางคงไม่รับสายเจ้าสินะ..!”
  ฉินตงเฉวี่ยพยักหน้าแต่ก็ค้านว่า“แต่ไม่ใช่นางไม่รับสาย มันคล้ายกับว่านางอยู่ในที่ที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ต่างหาก..”
  “แต่ข้าก็คิดว่านางคงจะเก็บโทรศัพท์มือถือไว้ในแหวนพื้นที่จึงไม่ทันได้คิดอะไรมาก และคืนนั้นข้าก็ไม่ได้ติดต่อนางกลับไปอีก..”
  “แต่จุดสำคัญคือเมื่อวานนี้ข้าเกรงว่าหลิงยู่จะไม่สามารถติดต่อข้าได้ ข้าจึงนำโทรศัพท์มือถือออกมาไว้ข้างนอก และเปิดไว้ตลอดเวลา แต่กลับไม่มีสายจากนางเข้ามาแม้แต่สายเดียว และไม่มีข้อความจากนางแม้แต่ข้อความเดียวด้วย..”
  “อืมม..”
  หลิงหยุนพยักหน้าและเริ่มเห็นด้วย ในเมื่อฉินตงเฉวี่ยเปิดโทรศัพท์ไว้ทั้งวัน ด้วยนิสัยของหนิงหลิงยู่นั้น หากไม่สามารถโทรติดต่อเขาหรือว่าฉินตงเฉวี่ยได้ นางก็มักจะส่งข้อความมาทิ้งไว้เสมอ แต่นี่กลับไม่มีทั้งข้อความ และการโทรเข้ามา..
  “ช่วงอาหารเย็นในวันเดียวกันข้าจึงโทรกลับไปหานางอีกครั้ง และครั้งนี้ก็เป็นเช่นเคยนางยังคงอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ..”
  “และตั้งแต่นั้นข้าจึงเริ่มรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ และนึกถึงข้อความเสียงที่นางส่งกลับมาในคืนนั้น..”
  “ข้าจึงกลับไปเปิดฟังอีกครั้ง..และครั้งนี้ข้าเองก็เริ่มรู้สึกผิดปกติเหมือนเช่นที่เจ้ารู้สึก น้ำเสียงของนางราวกับคนแปลกหน้า หากจะพูดให้ถูกก็คือ.. มันเย็นชายิ่งกว่าคนแปลกหน้าเสียอีก ที่ผ่านมาหลิงยู่ไม่เคยใช้น้ำเสียงเช่นนี้กับข้าหรือเจ้ามาก่อนเลย!”
  “ถูกต้อง!หลิงยู่ไม่มีทางพูดกับพวกเราสองคนด้วยน้ำเสียงเช่นนี้เด็ดขาด!” หลิงหยุนยังคงยืนกราน..
  ยิ่งคิด..หลิงหยุนก็เริ่มรู้สึกกระวนกระวาย และร้อนรนใจราวกับถูกไฟแผดเผา หากฉินตงเฉวี่ยเปิดให้เขาฟัง แล้วไม่บอกว่าเป็นข้อความเสียงจากหนิงหลิงยู่ เขาเองแทบจะคิดไม่ถึงด้วยซ้ำว่านี่จะเป็นคำพูดของนาง
  “หลังจากนั้นข้าจึงไม่รอให้นางโทรกลับมา หรือส่งข้อความกลับมาอีก แต่ข้าเป็นฝ่ายโทรไปหานางหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้เลย..”
  ฉินตงเฉวี่ยยังคงเล่าต่อ“จนกระทั่งมาถึงวันนี้ ข้าก็ยังคงไม่สามารถติดต่อนางได้เช่นเคย..”
  “หลิงหยุน..พรุ่งนี้เป็นวันที่พวกเราจะออกเดินทางจากจิงฉูไปเทียนซานเพื่อช่วยพี่สาวของข้า ภารกิจใหญ่โตเช่นนี้ ไม่เพียงเกี่ยวพันถึงความปลอดภัยของพี่สาวข้าซึ่งเป็นแม่ของนาง แต่ยังเกี่ยวพันถึงตระกูลหนิงกับตระกูลฉิน และสัญญาเมื่อสิบแปดปีก่อนด้วย เรื่องเหล่านี้ล้วนเกี่ยวพันถึงหลิงยู่ทั้งสิ้น ข้าจึงต้องการที่จะพูดคุยกับนาง ถามไถ่ถึงความเห็นและความรู้สึกของนาง ที่สำคัญ.. ข้าอยากจะมั่นใจว่านางไม่เป็นอะไร”
  หลิงหยุนได้แต่นั่งฟังอย่างสงบนิ่งมาโดยตลอดแต่ก็ครุ่นคิดตามไปอย่างเงียบๆ
  ในการเดินทางไปสำนักกระบี่เทียนซานในครั้งนี้ภารกิจแรกคือช่วยฉินจิวยื่อออกมาก่อนเป็นอันดับแรก ส่วนเรื่องที่จะถล่มสำนักกระบี่เทียนซานเพื่อสะสางสัญญาระหว่างตระกูลหนิงกับตระกูลฉินนั้น ยังต้องรอประเมินสถานการณ์ก่อน หลิงหยุนหาใช่คนที่มั่นอกมั่นใจในตัวเองจนดวงตามืดบอด
  ด้วยเหตุนี้เขาจึงตั้งใจที่จะพาหนิงหลิงยู่ไปที่สำนักกระบี่เทียนซานด้วย และเมื่อถึงเวลานั้นค่อยตัดสินใจอีกที
  อีกทั้งหนิงหลิงยู่เองก็ย้ำกับเขาครั้งแล้วครั้งเล่าว่าหากหลิงหยุนจะเดินทางไปสำนักกระบี่เทียนซานเมื่อใด จะต้องพานางไปด้วย!
  และหลิงหยุนเองก็ได้บอกแผนการของตนทั้งหมดแก่หนิงหลิงยู่ฟังแล้วเช่นกันนางจึงรู้ดีว่าหลังจากงานชุมนุมชาวยุทธสิ้นสุดลง เขาจะเดินทางไปที่สำนักกระบี่เทียนซาน และนางจะต้องเป็นฝ่ายติดต่อหลิงหยุนมาก่อนหน้านี้แล้ว..
  แต่สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้นับเป็นเรื่องที่ผิดปกติยิ่งนัก เพราะนี่ไม่ใช่นิสัยของหนิงหลิงยู่เลยแม้แต่น้อย!   หรืออย่างน้อยหากนางไม่เป็นฝ่ายติดต่อมา ก็ไม่น่าจะเก็บโทรศัพท์มือถือไว้ในแหวนพื้นที่ตลอดเวลาเช่นนี้ อย่างน้อยนางก็ควรจะตั้งหน้าตั้งตารอการติดต่อจากเขา หรือว่าฉินตงเฉวี่ย
  เมื่อคิดได้เช่นนี้หลิงหยุนจึงสูดลมหายใจลึก แล้วจึงพูดขึ้นว่า “เรื่องผิดปกติมีสองเรื่องคือ.. หนึ่ง นางไม่ควรจงใจที่จะขาดการติดต่อกับเจ้านานถึงห้าวัน และสอง นางรู้อยู่แล้วว่าหลังจากงานชุมนุมชาวยุทธสิ้นสุดลง พวกเราจะเดินทางไปเทียนซาน นางยิ่งไม่ควรเก็บโทรศัพท์มือถือไว้แต่ในแหวนพื้นที่เช่นนี้!”
  “แต่ความผิดปกติทั้งสองเรื่องนี้ก็ยังไม่สามารถบ่งชัดได้ว่า นางจงใจขาดการติดต่อกับพวกเรา..”
  “นั่นเพราะเวลานี้หลิงยู่สามารถฝึกฝนก้าวหน้าได้รวดเร็วยิ่งนักนางอาจจะอยู่ในช่วงสำคัญของการพัฒนาขั้นอยู่ก็เป็นได้ จึงยังไม่สามารถติดต่อผู้ใดได้..”
  จากนั้นหลิงหยุนก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกยิ่งกว่าเดิม“แต่จากน้ำเสียงที่ห่างเหินและเย็นชาของนางนั้น ทำให้ข้ามั่นใจว่า.. ต้องเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นกับนางเป็นแน่!”
  หากสามารถช่วยแม่ของเขากลับมาได้แต่กลับไม่รู้ชะตากรรมของหนิงหลิงยู่ หลิงหยุนก็ไม่มีความสุขเช่นกัน
  ฉินตงเฉวี่ยตอบกลับด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนก“แล้วพวกเราควรทำเช่นใด”
  “ข้าจะทำอะไรได้นอกจากต้องกลับไปดูด้วยตัวเอง!”
  และเวลานี้หลิงหยุนก็เชื่อว่าหนิงหลิงยู่ยังคงไปเรียนที่มหาวิทยาลัยตามปกติไม่เช่นนั้นทางมหาวิทยาลัยคงต้องโทรหาเขาหรือฉินตงเฉวี่ยแล้ว และหากนางยังไปเรียนที่มหาวิทยาลัยทุกวันเช่นนี้ หลิงหยุนก็ยังไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรนัก
  หลิงหยุนเรียกโทรศัพท์มือถือของตนเองออกมาและเมื่อเปิดขึ้นก็มีข้อความส่งเข้ามามากมาย หลิงหยุนเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจดูข้อความที่ส่งเข้ามาทั้งหมดด้วยความรวดเร็วแต่กลับพบว่าไม่มีข้อความจากหนิงหลิงยู่แม้แต่ข้อความเดียว
  “ข้าจะลองโทรหาหลิงยู่ดูหากโทรศัพท์มือถือของนางยังคงไม่สามารถติดต่อได้อีก ข้าก็จะไปปักกิ่งทันที!”
  หลิงหยุนบอกกับฉินตงเฉวี่ยให้นางคลายความกังวลใจแล้วรีบกดโทรออกหาหนิงหลิงยู่ทันที
  แต่ในวินาทีนั้นเองจู่ๆหน้าจอโทรศัพท์มือถือของฉินตงเฉวี่ยก็สว่างวาบขึ้น และมีสายเรียกเข้า ทั้งสองคนหันกลับไปมองหน้ากันเมื่อพบว่าเป็นสายเรียกเข้าจากเบอร์ของหนิงหลิงยู่..
  “นี่มัน..”
  ฉินตงเฉวี่ยมีสีหน้ากังวลในขณะที่ร้องถามหลิงหยุนว่า“นี่มันบังเอิญเกินไปหรือไม่”
  แววตาของหลิงหยุนเป็นประกายวาบขึ้นมาทันทีเขาส่ายหน้าช้าๆ พร้อมกับตอบกลับไปยิ้มๆ “เจ้าอย่ารีบรับสายของนาง!”   ค่ำคืนนี้ไม่มีแม้แต่ลมท้องทะเลจึงสงบยิ่งนัก ส่วนท้องฟ้าก็กระจ่างไปด้วยแสงจันทรา..
  หน้าจอโทรศัพท์มือถือของฉินตงเฉวี่ยยังคงสว่างและเสียงเรียกเข้ายังคงดังอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางท้องทะเลที่เงียบสงบนี้ ทำให้เสียงโทรศัพท์ดูเหมือนจะยิ่งดังมากขึ้นกว่าเดิม
  ในเวลานั้น..นิ้วมือของฉินตงเฉวี่ยที่อ้าค้างเตรียมกดรับสายนั้น ก็ชะงักค้างทันที พร้อมกับหันไปถามหลิงหยุนด้วยความสงสัย
  “เหตุใดจึงห้ามไม่ให้ข้ารับสายของนาง..”
  “จู่ๆก็หนิงหลิงยู่ก็โทรเข้ามาเช่นนี้ ข้าอยากจะรู้ว่ามันเป็นความบังเอิญ หรือมันคือสัญญาณของความผิดปกติกันแน่”
  สายตาของหลิงหยุนยังคงจับจ้องอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือที่กำลังสว่างไสวและจู่ๆก็ยิ้มออกมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “หากหลิงยู่ต้องการโทรหาพวกเราจริงๆนางจะต้องโทรมาอีกครั้งแน่!”
  ฉินตงเฉวี่ยถามขึ้นด้วยความกังวลใจ“แล้วหากนางไม่โทรมาเล่า”
  “ข้าก็จะรีบเหาะไปหานางในทันที!”
  ในระดับสูงสุดขั้นอู่เฉิงชี่(ขั้นพลังชี่-5) นี้ หลิงหยุนสามารถเผาเสินหยวน และเหาะกลับไปหาหนิงหลิงยู่ได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว
  แต่หากจะพูดให้ถูกก็คือ..หลิงหยุนสามารถเหาะไปได้ทั่วโลกตามแต่ใจต้องการ!
  หลังจากที่ปล่อยให้เสียงเรียกเข้าดังอยู่นานจนดับลงและหน้าจอโทรศัพท์ก็ปรากฏ Miss Call ขึ้น
  “เฮ้อ..โอกาสดีเช่นนี้ แต่เจ้ากลับห้ามข้า..”
  ฉินตงเฉวี่ยจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือในมือของตนเองพร้อมกับตำหนิหลิงหยุน..
  “ข้ากำลังต้องการทดสอบดูต่างหากเล่าหากเป็นหนิงหลิงยู่จริง นางย่อมต้องโทรมาอีกครั้งแน่!”   หลิงหยุนยิ้มออกมาพร้อมกับอธิบายจุดประสงค์ของตนเองให้ฉินตงเฉวี่ยฟัง..
  และยังไม่ทันที่หลิงหยุนจะพูดจบดีหน้าจอโทรศัพท์มือถือของฉินตงเฉวี่ยก็สว่างวาบขึ้นอีกครั้ง แล้วก็เป็นหนิงหลิงยู่โทรมาอีกครั้งจริงๆ
  ในที่สุดฉินตงเฉวี่ยก็ยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจพร้อมกับบอกหลิงหยุนว่า “ครั้งนี้ข้าคงจะรับสายของนางได้แล้วสินะ”
  แต่หลิงหยุนกลับยิ้มเจ้าเล่ห์พร้อมกับส่ายหน้า“ยัง.. รอดูอีกสักครั้งก่อน!”
  ฉินตงเฉวี่ยปล่อยให้เสียงเรียกสายดังขึ้นตั้งแต่ต้นจนดับไปอีกครั้งและไม่ได้รับสายตามความต้องการของหลิงหยุน
  “นี่เจ้าเด็กดื้อเจ้าต้องการอะไรกันแน่”
  แม้จะเข้าใจจุดประสงค์ของหลิงหยุนแต่ฉินตงเฉวี่ยก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจนัก และเริ่มหงุดหงิดใจขึ้นมาบ้างแล้ว
  “เหตุใดต้องรีบร้อนรับสายของนางด้วยเล่าข้าต้องการยืนยันให้มั่นใจว่านางไม่เป็นอะไรจริงๆเสียก่อน..”
  หลิงหยุนยิ้มออกมาพร้อมกับพูดต่อว่า“อีกอย่าง ต่อให้เป็นนางโทรเข้ามาจริงๆ ก็ควรปล่อยให้นางกระวนกระวายใจบ้าง เหมือนอย่างที่นางทำให้พวกเราสองคนกระวนกระวายใจอย่างไรเล่า”
  หลังจากนั้นโทรศัพท์มือถือของหลิงหยุนก็ดังขึ้น หลิงหยุนเหลือบมอบ และเมื่อเห็นว่าเป็นสายเรียกเข้าจากหนิงหลิงยู่ เขาจึงยกโทรศัพท์ในมือขึ้นให้ฉินตงเฉวี่ยดูพร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “เห็นหรือไม่หลิงยู่ติดต่อเจ้าไม่ได้ นางก็โทรหาข้าทันที!”
  และจากการที่หนิงหลิงยู่สามารถโทรกลับมาติดต่อกันได้ถึงสามครั้งเช่นนี้ย่อมเป็นการพิสูจน์แล้วว่านางไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย หรือมีปัญหาอย่างที่พวกเขากังวลใจ แต่ถึงอย่างนั้นหลิงหยุนก็ยังคงไม่ยอมรับสายของหนิงหลิงยู่อยู่ดี เขายังคงทำการตรวจสอบซ้ำให้มั่นใจ..
  หลังจากที่เสียงเรียกเข้าดังขึ้นจนดับไปอีกครั้งฉินตงเฉวี่ยจึงพูดขึ้นด้วยความโมโห “เจ้าเด็กตัวแสบ เจ้าทำเช่นนี้หลิงยู่จะเป็นกังวลใจ หากเจ้ายังคงไม่รับสายของนางอีก ข้าจะเป็นฝ่ายโทรหานางเอง!”
  หลิงหยุนจ้องมองฉินตงเฉวี่ยที่กำลังโมโหพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง “ฮ่าๆๆ เอาล่ะ หากนางโทรมาอีกครั้งข้าจะรับสายของนางทันที!”
  หลังจากนั้นทั้งสองคนก็รอคอยสายเรียกเข้าจากหนิงหลิงยู่อีกครั้งแต่หลังจากผ่านไปกว่าหนึ่งนาทีแล้ว นางก็ยังคงไม่โทรกลับมา..
  หลิงหยุนถึงกับอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า“นางไม่ควรเงียบไปเช่นนี้นี่นา..”
  “หึ!นางโทรหาข้าเจ้าก็ไม่ให้รับ พอนางโทรหาเจ้า เจ้าก็ยังไม่รับอีก ครั้งนี้นางเงียบหายไปอีกแล้ว..” ฉินตงเฉวี่ยเริ่มหมดความอดทน และตำหนิหลิงหยุนด้วยความโมโห  แต่ในระหว่างนั้นเองโทรศัพท์มือถือของหลิงหยุนก็ดังขึ้นอีกครั้ง แต่กลับเป็นถังเมิ่งที่โทรเข้ามาแทน..
  และครั้งนี้หลิงหยุนรีบกดรับสายทันที!

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด