World domination system – ตอนที่ 130
130 หน้าที่
เมืองหลวงแห่งราชอาณาจักรเอลดินอร์ ได้รับการกล่าวขานว่า เป็นเมืองที่สวยที่สุดในทวีปแอนแกเรีย มันสร้างขึ้นตามธีมธรรมชาติที่ผสานเข้ากับสถาปัตยกรรม เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับผู้คนจากราชอาณาจักรทั้งห้า
แน่นอนว่า นี่จะเป็นเรื่องหากไม่นับรวมบิ๊กโฟร์อันลึกลับ ที่พวกเขาไม่สามารถจะเข้าถึงได้
แม้แต่ชื่อของมัน เอลฟาเวน ที่มีความหมายว่า เมืองสมบูรณ์แบบ ก็มาจากภาษาเอลฟ์โบราณที่หายสาบสูญไปนานแล้ว
ภูเขาแห่งหนึ่ง ดูเหมือนจะถูกตัดแต่งด้วยดาบขนาดยักษ์ เพียงแค่ทางเข้าของมัน ก็มีการแสดงให้เห็นถึงความเหนือชั้นด้านเวทมนต์และการเอนชานท์ของเอลฟ์
รอบๆตีนเขาที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 30 กิโลเมตร มีกระจกตั้งอยู่รอบๆพร้อมด้วยทหารองครักษ์ประจำการอยู่ด้านหน้าของพวกมัน
นักเดินทางทั้งหมดที่เดินผ่าน จะถูกถามถึงจุดประสงค์ในการเดินทางมายังเมืองแห่งนี้ ก่อนที่จะทำการบันทึกอัตลักษณ์ของพวกเขา หลังจากกระบวนการนี้แล้วเสร็จ พวกเขาจะถูกบอกให้ก้าวเข้าไปในกระจก
มันอาจจะดูเหมือนกระจกธรรมดา อย่างไรก็ตาม หลังจากก้าวไปข้างหน้าแล้ว ผู้จะทำผิดจะถูกผลักดันให้ถอยกลับ หลังจากนั้น พวกเขาก็จะตระหนักได้ว่า มันเป็นรูปแบบการเทเลพอร์ต
ในความเป็นจริง ราชอาณาจักรเอลดินอร์ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆสร้างรูปแบบการเทเลพอร์ตระยะสั้นรอยๆภูเขาเพื่อเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกในการเข้าเมือง นอกจากการเทเลพอร์ตเข้าไปโดยตรงแล้ว มันไม่มีวิธีอื่นที่จะเข้าเมืองได้อีก
ในเวลาที่ถูกโจมตี รูปแบบจะถูกปิดลง ขณะมีข่าวลือว่า ทั้งเมืองแห่งนี้เป็นหนึ่งในพื้นที่ปิดกั้นมิติขนาดใหญ่เพียงไม่กี่แห่งในแอนแกเรีย ซึ่งจะป้องกันการแทรกซึมของศัตรูได้
รูปแบบการเทเลพอร์ตทั้งหมด จะนำไปสู่ทางเดินเพียงแห่งเดียวที่ถูกปูด้วยหินสีเหลืองและมีความกว้าง 100 ฟุต รอบๆทางเดิน มีต้นไม้ที่มีใบไม้หลากหลายสีสันเรียงราย ส่งผลให้มันเป็นภาพอันงดงาม จนทำให้คนที่มาครั้งแรกถึงกับอ้าปากค้าง
ลึกเข้าไปภายในเมือง สิ่งก่อสร้างต่างๆเต็มอยู่ 2 ข้างทาง
สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ก็น่าดูชม มันมีการออกแบบที่ลื่นไหลและโครงสร้างการตกแต่งที่สวยงาม ขณะที่มองไปที่พวกเขา ความรู้สึกเดียวที่จะผุดขึ้นมาในใจก็คือ สมบูรณ์แบบ
“ลงคะแนนให้องค์ราชินีเอลโดรา เพื่อความสงบสุขและความสุขของทุกคน”
“พรขององค์ราชินีเอลโดรา ทำให้ข้าเปลี่ยนชีวิตของข้า และจัดตั้งธุรกิจขั้นมาได้หลังจากที่สามีของข้าถูกฆ่าในกองทัพ พวกเราจะต้องลงคะแนนให้นาง เพื่อให้นางสามารถจะเข้าช่วยคนจำนวนมากที่เป็นอย่างข้าได้ ที่อยู่อาศัย A แห่งเอลฟาเวน”
ชายคนหนึ่งสวมชุดคลุมขนสัตว์สีเทาขณะที่เขารีบเดินไปด้านข้างถนน
ทั่วเอลฟาเวน บางอย่างที่ดูเหมือนนกขนาดเล็กเท่าฝ่ามือ บินอยู่ใกล้ๆคนที่เดินอยู่บนถนนและกล่าวสิ่งนั้นออกมา หลังจากเสร็จสิ้นแล้ว พวกมันก็บินไปหาเหยื่อรายต่อไป
ในความเป็นจริง เอลดินอร์เป็นประเทศประชาธิปไตย
พวกเอลฟ์ในแอนแกเรียมีลักษณะนิสัยของเผ่าพันธุ์อยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งก็คือ ความแข็งกร้าวและความตั้งใจอันแน่วแน่ นี่เป็นลักษณะนิสัยที่กล่าวกันว่า เป็นทั้งประโยชน์และโทษต่อเผ่าพันธุ์
ประโยชน์ของมันก็คือ มันทำให้พวกเขาทำในสิ่งที่พวกเขาต้องการด้วยความมุ่งมั่นอย่างถึงที่สุด ทำให้นักวิจัยและเอนชานเตอร์ที่ดีที่สุดเป็นที่กล่าวถึงว่ามาจากเอลดินอร์
สำหรับโทษของมัน ด้วยลักษณะนิสัยเช่นนี้ มันจะมีความหมายว่า พวกเขาจะไม่ยอมทำตามคำสั่งหรืออยู่ภายใต้การปกครองของใครง่ายๆ
ดังนั้น สิ่งที่เป็นเป้าหมายของผู้ปกครองแต่ละคนก็คือ การรวมเอลฟ์ทั้งหมดให้เป็นหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ยังคงไม่มีใครสามารถจะทำได้สำเร็จ
ประชาธิปไตยเป็นทางเลือกในเส้นทางของพวกเขา อย่างน้อย พวกเขาก็จะติดตามผู้ปกครองที่ได้รับการเลือกตั้งจากเสียงส่วนใหญ่ หากพวกเขามีปัญหาใดๆ พวกเขาสามารถจะก้าวออกมาและยืนหยัดในการเลือกตั้งครั้งถัดไปได้
แน่นอนว่า มีเพียงเอลฟ์เท่านั้นที่มีสิทธิ์ในการเลือกตั้ง
สำหรับเผ่าพันธุ์อื่นๆที่อาศัยอยู่ในราชอาณาจักร พวกเขาไม่มีสิทธิ์เช่นนั้น แม้ว่าพวกเขาจะได้รับการปฏิบัติอย่างอบอุ่นก็ตาม
ชายคนนั้นบ่นกับตัวเองเนื่องจากเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากฟังโฆษณาดังกล่าว ขณะที่เขาเร่งเดินไปยังโรงแรมแห่งหนึ่ง
ด้านใน เอลฟ์ตัวเล็กที่มีหูรูปดาบข้างเดียวยิ้มออกมาขณะที่เห็นเขาเดินเข้ามา
“ดีวอน ค่าเช่าของเจ้าเกินกำหนด 6 เดือนแล้ว หากเจ้าไม่รีบทำเบียร์ที่ดีที่สุดในเอลฟาเวนตะวันตกขึ้นมา ข้าคงจะต้องโยนเจ้าออกไป รีบหากเงินซะ อย่าบังคับให้ข้าต้องทำเช่นนั้น”
เสียงอันไพเราะของเอลฟ์ดังขึ้น ขณะที่เธอขัดขวดไวน์ไม่กี่ขวดที่จัดเรียงอย่างพิถีพิถันอยู่ในตู้ติดผนัง
ชายคนนั้นพยักหน้ารับ แล้วเดินขึ้นบันไดเพื่อไปที่ห้องของเขา
แม้ว่าเขาจะอาศัยอยู่ในห้องนี้มานานถึง 5 ปีแล้ว แต่มันกลับไม่มีร่องรอยใดๆของเขาเลย
ปิดประตู เขารีบนอนลงบนเตียงขณะที่หยิบเหรียญเล็กๆออกมา
มันคือแลนทอง และหากใครมองไปที่มัน พวกเขาก็คิดเพียงว่ามันเป็นแค่เงิน
อย่างไรก็ตาม เขาเจาะนิ้วของตัวเอง และหยดเลือดไปที่มัน
เห็นแสงสีแดงกระพริบ 2 ครั้ง ก่อนที่มันจะหายไป รอยยิ้มปรากฎขึ้นบนใบหน้าของชายคนนั้นในทันที
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้ เขาต้องทำงานจิปาถะไปเรื่อยๆขณะรอคำสั่งนี้
เขามาจากแลนธานอร์ ความจงรักภักดีและความรักชาติของเขาถูกฝักรากลึกไว้ตั้งแต่ยังเด็ก พร้อมกันนั้น เขาก็ได้รับการสอนทักษะต่างอย่าง การลักขโมย, การลอบสังหาร และการสร้างข่าวลือ
เขาถูกส่งตัวมายังเอลฟาเวนในฐานะสายลับ และเมื่อสองปีก่อน เขาต้องตกตะลึงเป็นอย่างมากเมื่อได้รับข้อความว่า ราชาองค์ก่อนออกคำสั่งเปลี่ยนงบประมาณและปฏิเสธคำร้องทั้งหมดของเหล่าสายลับในแอนแกเรีย
ตั้งแต่นั้นมา เขาก็ไม่ได้รับทรัพยากรสนับสนุนใดๆอีก เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากการกวาดพื้นและต้มเบียร์ ชายคนนั้นยังคงรอข้อความ ที่เป็นดั่งความหมายในการมีชีวิตอยู่ของเขา
ในที่สุด เขาก็ได้รับมัน
2 กระพริบ หนึ่ง หมายถึงการตื่น ขณะที่อีกถึง หมายถึงการดำเนินงาน
ตื่นจากการนอนของเจ้า ดำเนินงานให้กับราชอาณาจักรของเจ้า
ในราชอาณาจักทั้งห้าทั่วทั้งแอนแกเรีย สามารถจะมองเห็นภาพที่คล้ายๆกันนี้ได้
ดวงตาของชายคนนั้นแผดเผาด้วยแรงปรารถนา ในขณะนี้ เขาตระหนักได้ว่า มันถึงเวลาที่เขาจะต้องทำหน้าที่แล้ว
……………………………………………………………………………..
ในห้องบัลลังก์ของราชอาณาจักรกาดำ
ราชาเดินมาที่ด้านหน้ากาดำขนาดยักษ์ ขณะที่ชายชรายืนอยู่ข้างๆพร้อมกับปิดตา
“มีข้อความตอบกลับใดๆแล้วหรือไม่?” เขาถามเป็นครั้งที่สิบ นับตั้งแต่กลับมาถึงราชอาณาจักร
ได้ยินเช่นนั้น ชายชราก็มองไปที่กาดำด้านหลังด้วยความเคารพก่อนจะกล่าวว่า “ท่านให้เวลาเขา 1 สัปดาห์ อย่าได้ใจร้อนไป พวกเราได้ยินสิ่งที่เขากล่าวกับเอลฟ์ คนที่อยู่ด้านหลังเขา จะสามารถค้นพบสิ่งที่พวกเราต้องการได้อย่างแน่นอน”
“แต่หากเขาไม่ทำล่ะ?”
หลังจากรอให้เสียงที่ดังก้องไปทั่วห้องหยุดลงแล้วไอรีนโนเวลชายชราก็กล่าวว่า “หากเป็นเช่นนั้น มันก็จะมีความหมายว่า เขาเล่นละครกับพวกเอลฟ์ แล้วข้อมูลนั้นก็อาจจะ…รั่วไหลออกไปได้”
รอยยิ้มอันชั่วร้ายปรากฎขึ้นบนใบหน้าของชายชรา ได้ยินเช่นนั้น ราชาก็ถอนหายใจและนั่งลงบนบัลลังก์
เขาเรียกคนรับใช้เข้ามา และออกคำสั่งว่า “เปิดใช้งานสายลับทั้งหมดในแลนธานอร์ ข้าต้องการรู้การเคลื่อนไหวทั้งหมดของเขา ไม่ว่าจะต้องสูญเสียมากเพียงใดก็ตาม”
………………………………………………………………………………
ในขณะเดียวกันนั้น ในห้องใต้ดินแห่งหนึ่งข้างใต้พระราชวังแห่งแลนธานอร์
ชายราว 800 คน ยืนเป็นวงกลม มองไปยังกลางห้องด้วยความหวั่นเกรง
โต๊ะยาว 30 ฟุต ตั้งอยู่ที่นั่น บนโต๊ะการเอนชานท์ มีเข็มเหมือนที่แดนีลเคยเห็นในห้องของริปลีย์เมื่อหลายปีก่อนวางไว้เป็นระยะๆ
ราชาแห่งแลนธานอร์ยืนอยู่ที่อีกด้านของโต๊ะ ถือเหรียญหนึ่งไว้ในมือ
“นี่จะเป็นเครื่องประดับเวทมนต์สื่อสารระยะสั้น มาลองดูวิธีสร้างมันกัน”
หลังจากที่กล่าวจบ ราชาก็เดินไปที่โต๊ะตัวแรกและเปิดใช้งานมัน ทำให้เข็มลอยขึ้นและเริ่มแกะสลักบนเหรียญ
สำหรับเครื่องประดับเวทมนต์ทั่วไปเช่นนี้ เอนชานเตอร์ขั้น 1 จะใช้เวลาในการเอนชานท์ราว 2 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม ราชากลับใช้เวลาเพียง 20 นาทีบนโต๊ะแกะสลัก ก่อนที่เขาจะเริ่มทำส่วนที่เหลือ
เหล่าผู้ที่เห็นต่างก็อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
เขาทำเช่นนั้นได้อย่างไร? มันควรจะระเบิด? หรืออย่างน้อยก็พัง? นี่คืออะไรกัน?
คำถามที่คล้ายๆกันนี้จำนวนมาก ปรากฎขึ้นในหัวของพวกเขา ขณะที่พวกเขาเห็นราชาเริ่มเอนชานอีกครั้ง ซึ่งก็ใช้เวลา 20 นาที
หลังจากผ่านไป 3 ชั่วโมง ก็มาถึงขั้นตอนสุดท้ายในการแกะสลักเครื่องประดับเวทมนต์
ขณะนั้นเอง เหรียญกลายเป็นร้อนขึ้น ทำให้หลายคนอดไม่ได้ที่จะพยายามหลบเพราะคิดว่ามันจะระเบิด
อย่างไรก็ตาม พวกเขาถึงกับต้องอ้าปากค้างอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเหรียญนั้นเรืองแสงอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกลับสู่สภาวะปกติ ซึ่งมันเป็นตัวบ่งชี้ว่า การเอนชานท์สำเร็จ
“แต่องค์ราชา วิธีนี้มันต้องใช้เวลานานถึง 3 ชั่วโมงกว่าจะสำเร็จ นั่นไม่ใช่เวลาปกติใช่หรือไม่?”
คนที่ถามก็คือ หัวหน้าฝ่ายRnD
คำตอบของราชาทำให้เขาตกตะลึงและส่ายหัว ขณะที่เขาสงสัยว่า เขาได้ยินถูกต้องแล้วหรือไม่
“ลองคิดถึงบุคคลที่แตกต่างในแต่ละโต๊ะ ทำแบบเดียวกันซ้ำไปซ้ำมาจนกระทั่งพวกเขาเชี่ยวชาญในสิ่งนี้ พวกเขาอาจจะสามารถใช้เวลาเพียงแค่ 5 นาที จากที่ควรจะเป็น 20 นาที แล้วเวลารวมในการแกะสลักทั้งหมดก็จะลดลงเหลือเพียง 45 นาทีใช่หรือไม่? และในแต่ละทีม จะไม่สามารถเทียบได้กับเอนชานเตอร์ขั้น 1 ระดับสูงสุด 1 คนหรอกหรือ?”
คอมเม้นต์