Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร – บทที่ 1294 ยอดฝีมือล้ำเลิศ

อ่านนิยายจีนเรื่อง Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร ตอนที่ 1294 ยอดฝีมือล้ำเลิศ อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

  ด้วยความเฉลียวฉลาดของตี้เสี่ยวอู๋เขาจึงตั้งใจเตะร่างของแม่ชีผู้นี้ขึ้นไปกลางอากาศ หาได้เตะส่งออกไปข้างหน้าไม่ เพื่อหวังว่าเมื่อตกลงมาจะได้ซ้ำอีกครั้งได้!
  ในเมื่อหลิงหยุนเป็นผู้บอกกับเขาเองว่าไม่จำเป็นต้องปราณีคนผู้นี้ เขาก็จะจัดการสังหารแม่ชีผู้นี้ทิ้งเสีย!
  แต่ยังไม่ทันที่ร่างของแม่ชีหลี่ซื่อจะร่วงลงพื้นคนของอารามจิ้งซินผู้หนึ่งก็กระโดดเข้ามาในลานประมูลอย่างรวดเร็ว และนางก็คือแม่ชีมี่หลินนั่งเอง แม่ชีมี่หลินเห็นหลี่ซื่อถูกเตะจนร่างลอยขึ้นไปกลางอากาศเช่นนั้น จึงรีบกระโดดเข้ามาช่วยเหลือคนของตัวเอง
  นางอยู่ในขั้นพลังเหนือธรรมชาติระดับสองวิชาตัวเบาของนางจึงล้ำเลิศและรวดเร็วยิ่งนัก หลังจากรับร่างของแม่ชีหลี่ซื่อได้แล้ว นางก็รีบกระโดดกลับไปที่เดิมทันที
  หลังจากที่ช่วยหลี่ซื่อไปแล้วแม่ชีมี่หลินก็พบว่ากระดูกแขนทั้งไหล่ขวาของนางนั้นหักแตกละเอียด จนกระดูกสีขาวทิ่มแทงออกมานอกเนื้ออย่างน่ากลัว และเท้าของตี้เสี่ยวอู๋ที่เตะเข้ากับจุดตันเถียนของแม่ชีหลี่ซื่อพอดีนั้น ทำให้พลังปราณของนางเสียหาย และเวลานี้จึงมีสภาพไม่ต่างจากสิ่งไร้ค่าชิ้นหนึ่งเท่านั้น!
  “ช่างชั่วช้าเลวทรามยิ่งนัก!”
  แม่ชีมี่หลินระเบิกอารมณ์ออกมาอย่างโกรธแค้นจากนั้นนางจึงสั่งศิษย์น้องของนางว่า “ศิษย์น้องสาม เจ้ารีบแจ้งไปทางเจ้าสำนักเดี๋ยวนี้ บอกกับอาจารย์ว่าเกิดเรื่องใหญ่ที่นี่แล้ว!”
  ความจริงแทบไม่ต้องรอให้แม่ชีมี่หลินออกคำสั่งเพราะหลังจากที่เห็นแม่ชีมี่ยู่ได้รับบาดเจ็บสาหัสก่อนหน้านี้ หนึ่งในศิษย์อารามจิ้งซินก็ได้รีบแจ้งให้เจ้าสำนักของตนรู้แล้ว
  เวลานี้ทั่วทั้งหุบเขาหลงเฟยแม้จะมีเหล่าชาวยุทธอยู่มากกว่าหกร้อยคนแต่ทุกอย่างกลับเงียบสงัดราวกับไร้ผู้คน เพราะทุกคนต่างก็กำลังอยู่ในอาการตกใจ  โดยปกติแล้วหากคู่ต่อสู้มีระดับพลังที่เหนือกว่าสักหนึ่งหรือสองระดับย่อยย่อมไม่แปลกที่ฝ่ายที่ด้อยกว่าจะสามารถเอาชนะได้ด้วยวรยุทธที่แข็งแกร่งกว่า
  แต่นี่ศิษย์ของอารามจิ้งซินอยู่ในระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-8แต่ตี้เสี่ยวอู๋อยู่ในระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-5 ซึ่งเหนือกว่าอีกฝ่ายถึงสามขั้นใหญ่ แต่เขากลับสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ที่เหนือกว่าได้อย่างง่ายดาย
  หลวงจีนเจี๋วยหยวนถึงกับถอนหายใจออกมา“อามิตตาพุทธ! เด็กหนุ่มผู้นี้เสมือนเสือที่หลุดจากกรงแท้ๆ!”
  นักพรตชงซวียิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกล่าวตอบว่า“สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไม่ต่างจากที่หลิงหยุนสามารถเอาชนะเฉียวเปียวกับหลี่เจิ้งเฟิงได้เลย คนที่หลิงหยุนตั้งใจฝึกฝนมากับมือ เวลานี้กลับสามารถเอาชนะยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-8 ได้เช่นนี้ นี่มันไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำได้ง่ายๆเลย”
  เมื่อครั้งที่ต่อสู้กันอยู่บนเขาหลงเหมินนั้นทั้งหลวงจีนเจี๋วยหยวนและนักพรตชงซวีต่างก็เห็นกับตาว่า หลิงหยุนซึ่งอยู่ในระดับสูงสุดขั้นโฮ่วเทียน-9 กลับสามารถเอาชนะกัวเสี่ยวเทียนที่เข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้แล้ว เช่นเดียวกับที่ตี้เสี่ยวอู๋เอาชนะหลี่ซื่อได้อย่างง่ายดาย..
  “คงต้องรอดูว่าแม่ชีมี่หลินจะจัดการกับเรื่องนี้เช่นใดดูท่านางคงจะเลี่ยงการประมือไม่ได้แล้ว!”
  นักพรตชงซวีได้แต่นึกขันและตอบหลวงจีนเจี๋วยหยวนกลับไปว่า “ต่อให้คืนนี้ไม่ประมือ พรุ่งนี้เป็นงานชุมนุมชาวยุทธก็ยากที่สองฝ่ายจะเลี่ยงได้เช่นกัน!”
  ……
  “ยอดเยี่ยมมาก!”หลิงหยุนเอ่ยปากชมตี้เสี่ยวอู๋
  “เจ้าทึ่ม!ตอนนี้เจ้าโด่งดังใหญ่แล้วนะ!” โม่วู๋เตาเองก็อดชื่นชมไม่ได้ และได้แต่คิดในใจว่าต่อไปเขาจะหมั่นฝึกฝนให้มากกว่านี้
  “พี่เสี่ยวอู๋เก่งมากทีเดียว..”ไป๋เซียนเอ๋อเองก็เช่นกัน
  เวลานี้ตี้เสี่ยวอู๋ยืนตระหง่านอยู่กลางลานร่างสูงใหญ่แข็งแกร่งของเขาให้ความรู้สึกของนักสู้ที่แข็งแกร่ง เขากำลังมีความสุขอยู่กับเสียงชื่นชมที่หลั่งไหลเข้าหูมาไม่หยุด
  ในที่สุด..ตี้เสี่ยวอู๋ก็สามารถต่อสู้ และทำบางสิ่งบางอย่างแทนหลิงหยุนได้แล้ว นี่คือความใฝ่ฝันของเขา ทำให้เขาตื่นเต้นดีใจอย่างมาก!
  “เจ้าคนชั่วช้า!เจ้าบังอาจทำร้ายศิษย์อารามจิ้งซิน ข้าไม่อาจทนได้อีกต่อไปแล้ว!”
  แม่ชีมี่หลินร้องตะโกนออกไปด้วยใบหน้าบูดขึ้งนางค่อยๆก้าวเท้าเดินเข้าไปกลางลานอย่างช้าๆ และครั้งนี้นางจะจัดการกับตี้เสี่ยวอู๋ด้วยตัวเอง
  แต่ตี้เสี่ยวอู๋กลับไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อยเขามองแม่ชีมี่หลินด้วยแววตาเย้ยหยัน เมื่อครั้งที่อยู่ปักกิ่งหลิงหยุนได้สอนวรยุทธให้เขามากมาย มีหรือที่เขาจะหวาดหวั่นเพียงแค่เผชิญหน้ากับยอดฝีมือระดับสองขั้นพลังเหนือธรรมชาติ!
  “หึ!เจ้าเองก็นางโจรเฒ่าเช่นกัน น่าขัน.. ข้ายืนอยู่ของข้าดีๆ เป็นศิษย์ของอารามจิ้งซินที่เป็นฝ่ายลงมือกับข้าก่อน แต่เจ้ากลับกล่าวหาข้าเป็นคนชั่วช้าอย่างนั้นรึ”
  “คิดจะสังหารข้างั้นรึเอาชนะข้าให้ได้เสียก่อน เพราะหากเจ้าเอาชนะข้าไม่ได้ จะทำให้ชื่อเสียงของอารามจิ้งซินเป็นเพียงมูลก้อนหนึ่งเท่านั้น!”
  ตี้เสี่ยวอู๋ตอบโต้กลับไปอย่างไม่เกรงกลัวและในเวลานี้คำพูดก็ไม่สำคัญเท่ากับการกระทำ!
  ผู้ใดแข็งแกร่งกว่าผู้นั้นก็คือฝ่ายถูก!
  ภายในลานกลางหุบเขาหลงเฟยยังคงเงียบสงัดไม่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ใดๆดังขึ้นเลยแม้แต่น้อย เพราะเวลานี้ทั้งสองฝ่ายต่างก็ต้องการประมือกันเพื่อหมายชีวิตซึ่งกันและกัน หากผู้ใดในที่นี้พูดผิดหูขึ้นมา ไม่แน่ว่าอาจเป็นตนที่ถูกสังหารแทนก็เป็นได้!   แม่ชีมี่หลินถึงกับนิ่งเงียบและไม่สามารถโต้เถียงได้อีกครั้งแต่ในเมื่อเวลานี้ศิษย์อารามจิ้งซินได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงสองคน นางจึงจำเป็นต้องสั่งสอนอีกฝ่ายบ้าง
  “เจ้าคนชั่วช้า!ข้าจะสั่งสอนเด็กอย่างเจ้าให้รู้จักมารยาท และรู้ว่าควรทำตัวเยี่ยงใดเมื่อยู่ในโลกภายนอก!”
  แม่ชีมี่หลินพูดได้เพียงแค่นั้นนางก็กระโดดเข้าจู่โจมตี้เสี่ยวอู๋ทันที!
  แต่ในจังหวะนั้นเองทุกคนในที่นั้นต่างก็เห็นชายชุดเขียวกระโดดตามลงไปที่กลางลานเช่นกัน
  “แล้วเจ้าไม่ชั่วช้างั้นรึข้าว่าอารามจิ้งซินเองก็ไม่ได้ดีอะไรนักหรอก นางโจรเฒ่า.. วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้รู้ว่าผลของการกล่าวหาผู้อื่นว่าชั่วช้านั้นเป็นเช่นใด!”
  ผู้ที่กระโดดเข้ามากลางลานนั้นไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นหวังชงเซียวผู้ที่พ่ายแพ้ให้กับหลิงหยุนในคืนวันประมูลที่ตระกูลเย่นั่นเอง และตอนนี้ก็ได้เวลาที่เขาจะต้องแสดงความสามารถแล้ว!
  “ห๊ะ…”
  “นั่นใครกัน!”
  “คนผู้นี้น่าจะอยู่ในขั้นพลังเหนือธรรมชาติเช่นกันมิน่าเด็กนั่นจึงได้ยะโสโอหังเช่นนั้น ที่แท้ก็มียอดฝีมืออยู่เบื้องหลังนี่เอง!”
  เมื่อหวังชงเชียวปรากฏตัวขึ้นกลางลานเหล่ายอดฝีมือกว่าหกร้อยคนก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันอีกครั้ง มีเพียงคนฝั่งหลิงหยุนเท่านั้นที่ไม่ได้ตื่นตกใจ!
  แม่ชีมี่หลินถึงกับนิ่งอึ้งและชะงักไปทันทีเพราะแทบไม่ต้องประมือ เพียงแค่ประเมินด้วยสายตา นางก็รู้แล้วว่าตนเองไม่อาจเอาชนะชายตรงหน้านี้ได้เป็นแน่ ต่อให้ศิษย์อารามจิ้งซินทั้งหมดที่อยู่ตรงนี้ร่วมมือกัน ก็คงถูกสังหารตายหมู่เท่านั้น
  สีหน้าของแม่ชีมี่หลินเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียดสีหน้าเริ่มไม่สู้ดีนัก!
  นางกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก!เมื่อครู่ศิษย์อารามจิ้งซินทั้งสองคนก็พ่ายแพ้ภายในเวลาอันรวดเร็ว คืนนี้อารามจิ้งซินต้องเสียหน้าและถูกชาวยุทธภพหัวเราะเยาะมากแล้ว
  ในขณะที่แม่ชีมี่หลินกำลังยืนตัวแข็งอยู่นั้นเด็กหนุ่มกับชายชราก็กำลังโต้เถียงกันอยู่..
  “นี่เจ้ากระโดดเข้ามาทำไมกัน!หรือคิดว่าข้าจะเอาชนะนางไม่ได้..” ตี้เสี่ยวอู๋ที่เตรียมพร้อมจะประมือกับแม่ชีมี่หลินร้องตะโกนออกมาทันที
  “พ่อหนุ่มเจ้าทำหน้าที่ของเจ้าไปแล้ว ต่อไปเป็นหน้าที่ของข้าไงเล่า!”
  “นี่แม่ชีเฒ่าเจ้ากล้าประมือกับข้าหรือไม่ หากไม่กล้าก็ถอยกลับไป ข้าเองก็คร้านที่จะรังแกผู้หญิง จงปล่อยแม่นางคนนั้นออกมาที่กลางลานนี้ได้แล้ว!”
  หากไม่ใช่เพราะคำสั่งของหลิงหยุนหวังชงเชียวก็คงไม่กระโดดออกมา และที่หลิงหยุนให้หวังชงเซียวออกมาเช่นนี้ ก็เพื่อสร้างความตกใจให้กับศิษย์อารามจิ้งซินเท่านั้น เพราะจุดประสงค์ของหลิงหยุนในคืนนี้ก็เพียงแค่ต้องการให้ของขวัญกับเฉิงเม่ยเฟิงเท่านั้น เหตุใดจึงต้องให้ลุกลามเป็นเรื่องใหญ่โตด้วยเล่า
  ต่อหน้าชาวยุทธกว่าหกร้อยคนแม่ชีมี่หลินกลับถูกอีกฝ่ายตะโกนหยามเช่นนี้ แต่น่างก็ไม่กล้าที่จะทำการอันใด ความรู้สึกเวลานี้ของนางจึงไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
  หลังจากนิ่งลังเลอยู่นานในที่สุดแม่ชีมี่หลินก็พูดขึ้นว่า “อาวุโส ท่านเป็นยอดฝีมือสูงส่ง แต่กลับลดตัวลงข่มเหงอารามจิ้งซินของเราเช่นนี้ ไม่รู้สึกละอายใจบ้างรึ”
  “ฮ่าฮ่า ฮ่า..”
  ทันทีที่แม่ชีมี่หลินพูดจบเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นมาจากด้านนอกตามมาด้วยเสียงพูด “ข้าว่าคนของอารามจิ้งซินคงจะเสียสติกันหมดแล้ว เมื่อครู่เจ้าเองก็จะลงมือกับเด็กหนุ่มนั่นไม่ใช่รึ หรืออารามจิ้งซินสามารถข่มเหงผู้อื่นได้ แต่กลับห้ามไม่ให้ผู้อื่นข่มเหงตนงั้นรึ?”
  “เจ้านี่ช่างกลับผิดเป็นถูกเก่งนัก!ผู้หญิงก็มักเป็นเช่นนี้ แม้กระทั่งเป็นแม่ชี ก็ยังไร้ซึ่งเหตุผล ช่างน่าขันสิ้นดี!”
  แน่นนอนว่าผู้ที่กล่าวออกมาเช่นนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหลิงหยุน!
  คำพูดของหลิงหยุนมีเหตุมีผลจนทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นต่างก็พากันพยักหน้าอย่างเห็นด้วย!
  “เหตุใดเจ้าจึงไม่พูดความจริงไปเล่าว่าเป็นเพราะเจ้ารู้สึกเสียหน้า จึงได้กล่าววาจาเช่นนั้นออกมา ช่างน่าอายนัก!”
  เวลานี้หลิงหยุนไม่ได้เล่นบทเป็นเด็กหนุ่มไร้วรยุทธอีกแล้วแต่ตอนนี้เขาคือผู้ที่คุมเกมทั้งหมดในที่นี้!
  “เร็วเข้าแม่ชีเฒ่า!รีบๆสารภาพความจริงมา พวกเราจะได้ไม่เสียเวลาทำอย่างอื่นกันต่อ!”
  ครั้งนี้แม่ชีมี่หลินถึงกับเสียหน้าอย่างมากแต่นางก็ไม่มีหนทางอื่น จึงได้แต่พูดออกไปว่า “ในเมื่ออาวุโสตั้งใจปกป้องเด็กผู้นี้ ศิษย์อารามจิ้งซินทั้งหมดก็ขอลา!”
  พูดจบ..แม่ชีมี่หลินก็หันหลังเดินกลับไปทันที
  “ช้าก่อน!”
  หวังชงเซียวร้องเรียกแม่ชีมี่หลินไว้ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังนักแต่นั่นก็ทำให้แม่ชีมี่หลินถึงกับหวาดกลัวได้
  “ข้าเพิ่งบอกให้เจ้าปล่อยแม่นางผู้นั้นออกมาเจ้าไม่ได้ยินรึ”
  แม่ชีมี่หลินถึงกับชะงักไปทันทีและผู้คนต่างก็กำลังจับตามองด้วยความตกตะลึง นางจำต้องหันไปพูดกับเฉิงเม่ยเฟิงด้วยความอับอาย
  “หลี่เฉินเจ้ายังอยากจะออกไปอีกงั้นรึ”
  แต่หวังชงเซียวกลับตอบไปว่า“แม่ชีเฒ่า เจ้าหูหนวกหรือความจำเสื่อมกันแน่ ข้าสั่งให้เจ้าใช้คำพูดที่มีมารยาทกับแม่นางผู้นั้นยังไงเล่า!”
  “นับจากนี้ไปเจ้าต้องเรียกนางด้วยคำนำหน้าว่า ‘แม่นาง’ ทุกครั้ง แล้วก็ต้องเรียกชื่อของนางแทนชื่อแม่ชีนั่น ไม่เช่นนั้นแล้วข้าจะถล่มอารามจิ้งซินให้สิ้นซาก!”
  คำพูดประโยคสุดท้ายที่ฟังดูท้าทายยิ่งนักของหวังชงเซียวนั้นเป็นหลิงหยุนที่สั่งให้เขาพูด!
  แม่ชีมี่หลินได้แต่ถอนหายใจเวลานี้นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้ ดูราวกับว่างานประมูลคืนนี้เป็นเรื่องหลอก แต่แท้ที่จริงคือตั้งใจเพื่อทำลายชื่อเสียงของอารามจิ้งซิน
  และที่สำคัญราวกับทำขึ้นเพื่อเฉิงเม่ยเฟิง!
  ในที่สุดแม่ชีมี่หลินก็ทำเรื่องที่ทุกคนต่างก็อึ้งไปตามๆกันนางสูดลมหายใจลึกแล้วหันไปพูดกับเฉิงเม่ยเฟิงว่า
  “แม่นางเม่ยเฟิงได้โปรดออกไปพบพวกเขาเถิด!”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด