Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร – บทที่ 1304 พัฒนาขั้น (1
ภูเขาลูกนี้แปลกมากมันดูคล้ายกับเห็ดขนาดใหญ่ที่เกิดอยู่ท่ามกลางภูเขาล้อมรอบ จึงได้ชื่อว่ายอดเขาเห็ด
ยอดเขาเห็ดนี้สูงจากพื้นราวห้าร้อยเมตรและเตี้ยกว่าภูเขาที่ล้อมรอบอยู่ แต่ก็ไม่ถูกบดบังแสงจันทร์ให้ส่องลงมาไม่ถึง ยอดเขามีลักษณะพื้นที่แบนราบขนาดเท่ากับสนามฟุตบอล แต่เนื่องจากตัวเขามีลักษณะตั้งตรง แม้แต่ลิงยังไม่อาจปีนขึ้นมาถึงได้ จึงแทบไม่ต้องพูดถึงคนธรรมดาทั่วไป
หลิงหยุนกับคนอื่นๆเริ่มออกเดินทางจากตอนหกโมงครึ่งและเพียงแค่สองนาทีทั้งหมดก็ไปถึงยอดเขาแห่งนั้นแล้ว หลิงหยุนกวาดสายตาไปรอบๆ และนึกพอใจกับสถานที่ที่แวมไพร์ทั้งห้าของเขาเลือกไว้อย่างมาก
“ระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่!”
หวังชงเซียวตกใจยิ่งนักที่เห็นเฉิงเม่ยเฟิงสามารถเข้าสู่ขั้นซานฉางชี่ได้ภายในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้!
หวังชงเซียวแทบร้องไห้ออกมาไม่มีน้ำตาและได้แต่คร่ำครวญอยู่ในใจว่า หลายปีมานี้ตนต้องฝึกฝนมาอย่างลำบากยากเย็น เฝ้านั่งสมาธิเดินลมปราณอยู่แทบทุกวี่ทุกวัน เพื่อดูดซับเอาพลังชีวิตจากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เข้าไปทั้งวันทั้งคืน เวลานี้ยังอยู่เพียงแค่ระดับกลางขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6) และหากเทียบกับเฉิงเม่ยเฟิง เขายังนับว่าก้าวหน้าได้ช้ายิ่งนัก จึงได้แต่รู้สึกขมขื่นใจไม่น้อย
จะไม่ให้หวังชงเซียวรู้สึกขมขื่นใจได้อย่างไรกันในเมื่อคืนก่อนหน้านี้จุดซือไห่กลางหว่างคิ้วของเฉิงเม่ยเฟิงยังไม่เปิดเลยด้วยซ้ำ และยังเป็นเพียงยอดฝีมือระดับกลางขั้นเซียงเทียนเท่านั้น แต่ตอนนี้นอกจากจิตหยั่งรู้ของนางจะถือกำเนิดแล้ว ยังมีรัศมีรับรู้ได้ไกลมากกว่าสามพันเมตรด้วย ในหนึ่งนาทีสามารถกลั่นเสินหยวนได้ถึงสามหยด นี่คือคุณสมบัติของผู้ที่เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่ (ขั้นพลังชี่-3) ยิ่งไปกว่านั้นหวังชงเซียวยังสัมผัสได้ถึงพลังในตำนานที่บริสุทธิ์อย่างพลังอมตะสีทองจากร่างของนางอีกด้วย!
อีกทั้งตำแหน่งจุดกึ่งกลางหว่างคิ้วและจุดตันเถียนของนางก็ยังมีพลังอมตะสีม่วงผนึกอยู่ซึ่งพลังอมตะสีม่วงนั้นเป็นพลังอมตะที่เหนือกว่าพลังอมตะสีทองมากนัก!
เฉิงเม่ยเฟิงเพิ่งจะเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่จึงยังไม่เข้าใจขีดความสามารถของตนเองดีนัก แต่หลังจากที่นางฝึกวิชามังกรทองคำรามไปสักช่วงเวลาหนึ่ง นางก็จะค่อยๆปรับตัวและเข้าใจทุกอย่างได้เอง
“ขอแสดงความยินดีกับคุณชายหลิงที่นายหญิงพัฒนาขั้นได้สำเร็จแล้ว!”
หวังชงเซียวเอ่ยแสดงความยินดีด้วยความจริงใจเขารีบเดินตรงเข้าไปหาหลิงหยุนกับเฉิงเม่ยเฟิงทันที และการที่เฉิงเม่ยเฟิงสามารถพัฒนาขั้นอย่างรวดเร็วภายในเวลาเพียงแค่ชั่วข้ามคืนเช่นนี้ แน่นอนว่าจะเป็นฝีมือของผู้ใดไปไม่ได้นอกจากหลิงหยุน! หลิงหยุนต้องเก่งกล้าสามารถมากเพียงใดงั้นหรือจึงจะสามารถทำเรื่องที่น่าอัศจรรย์ และน่าตกใจเช่นนี้ได้
หวังชงเซียวแทบไม่กล้าคิดแต่ถึงแม้จะคิดเขาก็คงคาดเดาไม่ถูกเป็นแน่!
“ข้าเองก็ต้องยินดีกับเจ้าด้วยเช่นกันเวลานี้เจ้าดูไม่ต่างจากชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปีเลยทีเดียว!”
หลิงหยุนจ้องมองหวังชงเซียวยิ้มๆหลังจากที่กลืนโอสถเยาว์วัยและโอสถโฉมสะคราญเข้าไป เขาก็กลับกลายเป็นชายหนุ่มอายุเพียงแค่ยี่สิบต้นๆเท่านั้น เพราะนอกจากจะเป็นเพราะฤทธิ์ของโอสถทั้งสองแล้ว หวังชงเซียวที่ฝึกถึงขั้นพลังชี่ก็จะดูอ่อนกว่าวัยอยู่แล้ว
“ต้องขอบคุณคุณชายหลิงอีกครั้ง!”
“ไม่เป็นไรเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น..คืนนี้ข้าจะช่วยทุกคนให้พัฒนาขั้น คงจะต้องใช้พลังปราณมากและอาจเป็นช่วงเวลาที่ข้าอ่อนแอที่สุดก็เป็นได้ คงต้องอาศัยไหว้วานให้เจ้าคอยคุ้มครองความปลอดภัยให้”
หลิงหยุนรู้ดีว่าช่วงเวลาที่เขากำลังช่วยทุกคนให้สามารถพัฒนาเข้าสู่ขั้นต่อไปได้นั้นจะเป็นช่วงเวลาที่อันตรายไม่น้อย จึงต้องกำชับหวังชงเซียวให้คอยรักษาความปลอดภัยให้กันตน
คืนนี้เป็นคืนสำคัญยิ่งสำหรับหลิงหยุนเพราะจะเป็นคืนแห่งสงครามครั้งใหญ่ของเขา เขาจึงต้องไหว้วานผู้ที่เขาเชื่อมั่นและไว้วางใจได้เท่านั้น
“คุณชายหลิงได้โปรดวางใจ!หวังชงเซียวผู้นี้จะทำหน้าที่คุ้มครองปกป้องคุณชายหลิง และทุกคนอย่างสุดความสามารถ!”
ภายนอกอาจจะดูเหมือนหลิงหยุนไว้วางใจหวังชงเซียวมากจนประมาทแต่ความจริงแล้วเขาได้เปิดจิตหยั่งรู้ควบคู่กับการใช้วิชาเคลื่อนย้ายธาตุแอบสังเกตท่าทีของหวังชงเซียวอยู่เงียบๆ แต่ถึงกระนั้นหลิงหยุนกลับไม่สามารถสังเกตเห็นความผิดปกติในแววตาและจิตใจของหวังชงเซียวเลยแม้แต่น้อย คืนนี้ไม่เพียงหลิงหยุนที่ต้องการจะพัฒนาขั้นบนยอดเขาแห่งนี้แม้แต่เย่ซิงเฉิน ฉินตงเฉี่วย ตี้เสี่ยวอู๋ จินเหยียว และเหมี่ยวเสี่ยวเหมาเองก็ต้องการเช่นกัน!
อีกทั้งยังมีแวมไพร์ทั้งสี่ตนด้วย..
แวมไพร์ทั้งหมดมุ่งฝึกฝนเพื่อพัฒนาขั้นของแวมไพร์ส่วนฉินตงเฉี่วย จินเหยียว และเหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็จะพัฒนาขั้นด้วยวิชาที่ตนฝึกมา ส่วนหลิงหยุน เย่ซิงเฉิน และตี้เสี่ยวอู๋นั้นต้องการที่จะพัฒนาขั้นของวิชาดาราคุ้มกาย
มีเพียงหวังชงเซียวกับเฉิงเม่ยเฟิงที่เพิ่งจะเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่เท่านั้นที่ไม่ต้องฝึกฝน!
แต่ในเวลานี้ผู้ที่ทำหน้าที่ปกป้องทุกคนอย่างแท้จริงกลับอยู่บนยอดเขาใกล้ๆนี้ ไป๋เซียนเอ๋อได้ทำการสร้างค่ายกลลวงตาไว้โดยรอบ เวลานี้หางที่สี่ของนางได้งอกออกมาแล้ว และจิตหยั่งรู้ของนางก็ขยายรัศมีครอบคลุมถึงห้ากิโลเมตรเลยทีเดียว แน่นอนว่าหวังชงเซียวไม่มีทางเอาชนะนางได้อย่างแน่นอน!
การที่หลิงหยุนเลือกให้หวังชงเซียวคอยปกป้องคุ้มครองตนเองในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้ก็เพื่อเป็นการลองใจหวังชงเซียวนั่นเอง หากเขาสามารถผ่านการทดสอบของหลิงหยุนครั้งนี้ไปได้ หลิงหยุนก็ตั้งใจว่าจะถ่ายทอดวิชาให้กับเขาในวันข้างหน้า
แต่หากหวังชงเซียวกล้าแม้แต่จะสร้างปัญหาให้เขาแม้เพียงเล็กน้อยแน่นอนว่าหวังชงเซียวจะต้องถูกปลิดชีพในทันทีเช่นกัน!
ส่วนเสี่ยวเม่ยเม่ยกับโม่วู๋เตานั้นเวลานี้ทั้งสองคนได้เฝ้าสังเกตการอยู่ภายในงานชุมนุมชาวยุทธแล้ว
“เอาล่ะเมื่อทุกคนต่างก็พร้อมแล้ว พวกเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า!”
หลังจากที่สั่งการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วหลิงหยุนจึงหันไปยิ้มให้กับทุกคนพร้อมกับถามขึ้นว่า “เอาล่ะ.. ผู้ใดก่อนดี”
“หลิงหยุนให้เสี่ยวเหมาก่อนก็แล้วกัน!” เมื่อวานทั้งวันเว้นเพียงแค่คืนงานประมูลเท่านั้นที่จินเหยียวไม่ได้อยู่กับเหมี่ยวเสี่ยวเหมา จินเหยียวจึงเอ็นดูเหมี่ยวเสี่ยวเหมาราวกับญาติคนหนึ่ง
“ได้!”
สำหรับหลิงหยุนแล้วผู้ใดจะมาก่อนหรือมาหลังก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรสำหรับเขาจึงตอบตกลงอย่างรวดเร็ว
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาปราดพุ่งเข้าไปยืนอยู่ตรงพื้นที่โล่งแล้วจึงนั่งขัดสมาธิลงตรงหน้าหลิงหยุน และก่อนที่จะเริ่มนางก็ได้เหลือบมองไปทางหลิงหยุนพร้อมกับถามขึ้นว่า
“หลิงหยุนนี่เจ้าจะช่วยให้ข้าพัฒนาขั้นจริงๆงั้นรึ”
“นี่เจ้าเห็นข้าเป็นคนเช่นใด”
หลิงหยุนถามกลับไปยิ้มๆจากนั้นจึงจัดการเรียกหินพลังชีวิตออกมาราวสิบกว่าก้อน และได้สร้างเป็นค่ายกลหลุมพลังอยู่รอบตัวเหมี่ยวเสี่ยวเหมา จากนั้นเม็ดสีเขียวเล็กๆก็พุ่งออกมาจากจุดตันเถียนของหลิงหยุน ก่อนจะกลายเป็นต้นหลิวสีเขียวสูงสามเมตรที่แตกกิ่งก้านใบออกมามากมาย!
มันคือหลิวเทวะวิญญาณ!
และแน่นอนว่ามันคือต้นหลิวเทวะวิญญาณที่ปลูกอยู่บนสมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพที่อยู่ในจุดตันเถียนของเขานั่นเองและเมื่อครั้งที่พู่กันจักรพรรดิและสมุดจักรพรรดิได้ขโมยของกำนัลจากสรวงสวรรค์ในคืนนั้น หลิวเทวะวิญญาณต้นนี้ก็ได้ดูดเอาพลังของสายฟ้าเทวะเข้าไปมากมาย ทำให้มันปลดปล่อยพลังชีวิตธาตุไม้ออกมาได้มากกว่าต้นที่ปลูกอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลหลิงมาก
ครั้งนี้เพื่อให้ทุกคนสามารถพัฒนาเข้าสู่ขั้นที่สูงขึ้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ หลิงหยุนจึงตั้งใจที่จะนำทุกอย่างที่มีออกมาใช้
หลังจากที่เรียกหลิวเทวะวิญญาณออกมาแล้วหลิงหยุนจึงได้เรียกหินก้อนใหม่ออกมา และจัดการสร้างค่ายกลหลุมพลังล้อมรอบต้นหลิวเทวะวิญญาณไว้อีกที “รู้สึกสบายมากทีเดียว!”
ทันทีที่หลิงหยุนเรียกหลิวเทวะวิญญาณออกมาและได้สร้างค่ายกลหลุมพลังไว้ เหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็สัมผัสได้ถึงพลังชีวิตธาตุไม้ที่เข้มข้น จนถึงกับต้องร้องอุทานออกมาด้วยความรู้สึกสบายเนื้อสบายตัว
“…”
หวังชงเซียวเห็นเช่นนั้นก็ถึงกับอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก!
นั่นเพราะทันทีที่หลิงหยุนนำหลิวเทวะวิญญาณออกมาพลังชีวิตธาตุไม้ที่ต้นหลิวปลดปล่อยออกมา ก็ได้ให้ประโยชน์กับหวังชงเซียวมากมายเช่นกัน
“นี่คนสวยเจ้าอย่าได้กังวลใจไปนักเลย มีท่านน้าจินเหยียวอยู่ด้วยทั้งคน ใครจะกล้าทำอะไรเจ้ากันเล่า”
หลิงหยุนตอบเหมี่ยวเสี่ยวเหมายิ้มๆพร้อมกับเดินตรงไปหาจินเหยียวและมอบโอสถหลงหู่และน้ำเต้าวิเศษให้กับนางหากจำเป็นต้องใช้
บูม!
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาที่ได้รับพลังชีวิตธาตุไม้จากหลิวเทวะวิญญาณเข้าไปจำนวนมากในที่สุดก็สามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-4 ในชั่วพริบตา และในที่สุดก็ไปหยุดอยู่ที่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-6!
“เอาล่ะทำการเปิดจุดซือไห่กลางหว่างคิ้วเสียก่อน!”
หลิงหยุนไม่ลืมที่จะร้องเตือนเหมี่ยวเสี่ยวเหมาแต่ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่จินเหยียวได้บอกกล่าวกับเหมี่ยวเสี่ยวเหมาก่อนหน้าแล้ว และนางก็ไม่ทำให้จินเหยียวผิดหวัง เพราะสามารถทะลวงจุดซือไห่ได้ด้วยตัวเองสำเร็จ!
หลิงหยุนไม่นึกแปลกใจเพราะเหล่าพ่อมดหมอดผีล้วนแล้วแต่ฝึกฝนด้านจิตวิญญาณมาทั้งสิ้น ไม่เช่นนั้นจะสามารถควบคุมหนอนกู่ที่อยู่ในร่างของผู้อื่นไกลเป็นพันๆไมล์ได้อย่างไรกัน และตราบใดที่คนผู้นั้นเข้าใจเคล็ดเหล่านี้ก็ย่อมต้องสามารถทะลวงจุดซือไห่ได้สำเร็จและการฝึกฝนหลังจากนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพราะคนผู้นั้นย่อมมีพลังจิตที่แข็งแกร่งแล้ว
“ท่านน้าจินเหยียวถึงคราวของท่านแล้ว!”
หลิงหยุนรู้ดีว่าจินเหยียวต้องการที่จะช่วยเหมี่ยวเสี่ยวเหมาเขาจึงเปิดโอกาสให้นางได้สมปรารถนา
ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้จินเหยียวจึงรีบกระโดดเข้าไปพร้อมกับป้อนโอสถหลงหู่เข้าไปในปากของเหมี่ยวเสี่ยวเหมา
บูม!
ทันทีที่เหมี่ยวเสี่ยวเหมากลืนโอสถหลงหู่เข้าไปมันก็ได้ออกฤทธิระเบิดพลังอยู่ภายในร่างกายของเหมี่ยวเสี่ยวเหมา ทำให้นางสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-7 ได้ทันที!
ระหว่างนั้นหลิงหยุนก็เห็นจินเหยียวจัดการรินน้ำลายมังกรจากน้ำเต้าวิเศษเข้าไปในปากของเหมี่ยวเสี่ยวเหมา
‘โอ้..นั่นสิ้นเปลืองเกินไป!’
หลิงหยุนถึงกับยกมือขึ้นตบหน้าผากตนเองด้วยความเสียดายและได้แต่คิดในใจว่าจินเหยียวไม่รู้หรืออย่างไรว่าน้ำลายมังกรนั้นมีมูลค่ามากมายเพียงใด
‘เจ้าเด็กขี้เหนียวหวงกระทั่งน้ำลายมังกรเล็กๆน้อยๆงั้นรึ?’
จินเหยียวเองก็เห็นท่าทีของหลิงหยุนเช่นกันและได้แต่เหลือบมองด้วยหางตาอย่างไม่พอใจนัก จากนั้นจึงนั่งขัดสมาธิลงด้านหลังของเหมี่ยวเสี่ยวเหมา และได้ช่วยถ่ายเทพลังของตนปกป้องเส้นลมปราณให้กับเหมี่ยวเสี่ยวเหมาในระหว่างที่นางกำลังดูดซับเอาพลังจากโอสถหลงหู่และน้ำลายมังกรเข้าไปทั่วร่าง
“นั่น..นั่นคือน้ำลายมังกรงั้นรึ!”
หลังจากที่หวังชงเซียวเห็นว่าของเหลวที่อยู่ในน้ำเต้าวิเศษนั้นคือน้ำลายมังกรเขาก็ถึงกับตกใจจนแทบช็อค เพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่สามารถพบเจอได้ง่ายๆ
หลิงหยุนแอบสังเกตมองหวังชงเซียวอยู่เงียบๆและได้แต่คิดในใจว่า ‘เพียงแค่นี้เจ้าก็ตื่นเต้นมากแล้วงั้นรึ ข้ายังมีของล้ำค่าให้เจ้าตื่นเต้นมากกว่านี้อีก เจ้าอย่างเพิ่งตกใจตายไปเสียก่อนล่ะ!’
ในเวลาเพียงไม่นานนักในที่สุดเหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-8 ได้อย่างมั่นคง และจิตหยั่งรู้ของนางก็มีรัศมีครอบคลุมได้ไกลถึงสามเมตรเทียบเท่าระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่นั่นเอง!
คอมเม้นต์