Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร – บทที่ 1355 เรื่องเล่าในอดีต
เมื่อเห็นหลิงหยุนเหาะกลับมาเย่เทียนสุ่ยที่ดูเหมือนจะคุ้นเคยกับหลิงหยุนที่สุด ก็รีบพุ่งเข้าไปหาโดยทิ้งเย่ชิงซินกับเย่เทียนตูไว้ข้างหลังอย่างไม่สนใจ
“นี่หลิงหยุนหลงเทียนฟางกระโดดหนีลงไปในน้ำ เหตุใดเจ้าไม่ตามไปสังหารมันเล่า”
เย่เทียนสุ่ยร้องตะโกนถามหลิงหยุนไปแต่ไกลสีหน้าและแววตาของเขาบ่งบอกถึงความงุนงงในใจ..
“เหตุใดข้าต้องไล่ตามหลงเทียนฟางไปด้วยเล่าในเมื่อข้าไม่ได้ต้องการสังหารเขา” หลิงหยุนตอบด้วยสีหน้ายิ้มๆ
“หลงเทียนฟางใช้วิชามังกรพิโรธเหลือเวลาอีกเพียงแค่ไม่ถึงสามนาทีเขาก็จะอ่อนกำลัง และอ่อนแออย่างที่สุด หากไม่ลงมือสังหารตอนนี้ก็น่าเสียดายแย่!”
เย่เทียนสุ่ยได้แต่ร้องออกมาด้วยความเสียดายแทนหลิงหยุน..
หลิงหยุนเหาะมาถึงหน้าเย่เทียนสุ่ยอย่างรวดเร็วเขาเหลือบมองอีกฝ่ายยิ้มๆ ก่อนจะถามขึ้นว่า “งั้นรึ! นี่เจ้ากับหลงเทียนฟางมีความแค้นกันหรืออย่างไร?”
เย่เทียนสุ่ยทำตาปะหลับปะเหลือกพร้อมตอบกลับไปว่า“ข้ากับเขาไม่ได้เผชิญหน้ากันมานานหลายปี จะมีความแค้นอะไรกันได้เล่า ข้าก็แค่นึกเสียดายแทนเจ้าเท่านั้นเอง หลงเทียนฟางแข็งแกร่งปานใดเจ้าเองก็เห็นกับตาแล้ว วันข้างหน้าเขาต้องหาหนทางกลับมาแก้แค้นเจ้าแน่ จากนี้ไปเจ้าจะข่มตาหลับลงไปได้อย่างไรกัน?”
“อืมม…”
หลิงหยุนพยักหน้ารับรู้พร้อมกับจงใจลากเสียงยาวอยู่ในลำคอแล้วจึงหันไปบอกเย่เทียนสุ่ยว่า
“ที่แท้เจ้าก็เป็นห่วงข้านี่เอง..เวลานี้คาดว่าวิชามังกรพิโรธของหลงเทียนฟางคงจะหมดฤทธิ์แล้ว อีกทั้งเขาก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัส หาใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็กระโดดตามลงไปสังหารเขาแทนข้าทีสิ”
หลิงหยุนยิ้มเจ้าเล่ห์และกำลังจ้องมองดูว่าเย่เทียนสุ่ยจะทำเช่นใด
“เอ่อ…”
เย่เทียนสุ่ยกรอกตาไปมาทำสีหน้ามีพิรุธในขณะที่ตอบกลับไปว่า“ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไรกันเล่า ตระกูลเย่กับตระกูลหลงไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน จะให้ข้าลงมือสังหารเขาได้อย่างไรกัน? ข้าเป็นลูกผู้ชายพอ และจะไม่ฉวยโอกาสเช่นนั้นแน่..”
สีหน้าของเย่เทียนสุ่ยเปลี่ยนเป็นเสียดายมากขึ้นและดูกระวนกระวายใจ แต่ในระหว่างนั้นเองเสียงดังกึกก้องราวกับฟ้าผ่าเปรี้ยงก็ดังขึ้น
“แต่เจ้าต้องลงไป!”
หลิงหยุนโกรธเย่เทียนสุ่ยมากเพราะเจ้าเด็กคนนี้กำลังคิดไม่ดีต่อเขา หลิงหยุนจึงใช้มังกรคำรามตะโกนก้องพร้อมกับพุ่งเข้าหาเย่เทียนสุ่ยทันที!
เพียงแค่พริบตาเดียวร่างของหลิงหยุนก็ไปปรากฏอยู่ที่ด้านหลังของเย่เทียนสุ่ย พร้อมกับเอื้อมมือข้างหนึ่งไปบีบลำคอของเขาไว้ พร้อมกับลากเหาะลงไปด้านล่างทันที ภายเวลาเพียงแค่ชั่วพริบตา ทั้งคู่ก็ไปอยู่เหนือผิวน้ำเพียงแค่ยี่สิบเมตร จากนั้นร่างของเย่เทียนสุ่ยก็ถูกหลิงหยุนผลักตกลงไปในน้ำ..
ตูม!!
เย่เทียนสุ่ยดิ้นรนไปมาด้วยความตกใจแต่ก็ไร้ประโยชน์ เพราะในที่สุด หลิงหยุนก็ผลักร่างของเขาตกลงไปในน้ำ และจมลงไปลึกถึงเจ็ดแปดเมตรทีเดียว
“นี่!อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ทันเจ้า..”
หลังจากจัดการโยนเย่เทียนสุ่ยลงไปในน้ำแล้วหลิงหยุนก็ไม่สนใจเขาอีก และรีบเหาะกลับไปหาคนตระกูลเย่ที่เหลืออีกสองคนทันที
เย่ชิงซินกับเย่เทียนตูเห็นหลิงหยุนรังแกเย่เทียนสุ่ยเช่นนั้นแต่ก็หาได้ใส่ใจไม่ เพราะรู้ดีว่าทั้งคู่แค่หยอกเย้ากันเท่านั้น หาใช่ต้องการเข่นฆ่ากันไม่
แม้แต่เย่เทียนตูที่เฝ้าดูอยู่ตลอดยังถึงกับยิ้มออกมาด้วยความขบขัน!
“พี่เทพธิดา..”
เมื่อเข้าไปใกล้เย่ชิงซินหลิงหยุนก็รีบเอ่ยทักทายนางทันที แต่เย่ชิงซินตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ห้วน
“เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าเช่นใด”
“ข้าลืมตัวไป..ท่านน้าหญิงเย่!”
หลิงหยุนรีบเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้เรียกเย่ชิงซินทันทีจากนั้นจึงเอ่ยขอบคุณนางด้วยสีหน้าจริงจัง
“น้าหญิงเย่ขอบคุณท่านที่ออกหน้าช่วยข้าไว้ในวันนี้!”
เย่ชิงซินไม่เพียงช่วยเขารับมือกับยอดฝีมือจากคุนหลุนทั้งสองคนในงานชุมนุมชาวยุทธแต่เมื่อครู่ทั้งนางและเย่เทียนตูยังช่วยเขารับมือกับหลงฮ่าวเฉียนกับหลงเทียนซินอีกด้วย สิ่งเหล่านี้มีความหมายกับหลิงหยุนยิ่งนัก..
นั่นเพราะเกี่ยวข้องไปถึงตระกูลใหญ่ทั้งสาม..
งานชุมนุมชาวยุทธที่จัดขึ้นในครั้งนี้ตระกูลหลงเพียงแค่อยู่เบื้องหลังอย่างเงียบๆ ไม่แสดงออกมาอย่างชัดเจน
แต่ในการประลองระหว่างหลิงหยุนกับหลงเทียนฟางนั้นเป็นเรื่องระหว่างหลิงหยุนกับตระกูลหลงอย่างชัดเจน แต่การที่ตระกูลเย่ออกหน้าช่วยหลิงหยุนรับมือกับตระกูลหลงเช่นนี้ ย่อมหมายถึงการประกาศตัวอยู่ข้างหลิงหยุน และเลือกที่จะเป็นปรปักษ์กับตระกูลหลงอย่างออกหน้าออกตา
ส่วนเรื่องที่จะช่วยได้มากหรือน้อยนั้นไม่สำคัญสำหรับหลิงหยุนแต่การแสดงเจตจำนงค์ที่ชัดเจนของตระกูลเย่ต่างหากที่สำคัญสำหรับเขา!
เย่ชิงซินเพียงแค่แย้มยิ้มออกมาเล็กน้อยเท่านั้นแต่มิได้ตอบกลับหลิงหยุนแต่อย่างใด.. นั่นเพราะความช่วยเหลือของนางกับเย่เทียนตูนั้นดูเล็กน้อยไปทันทีหากเทียบกับความแข็งแกร่งของหลิงหยุนที่แสดงออกมาให้คนตระกูลเย่ได้เห็น หรือเรียกได้ว่าความช่วยเหลือของพวกเขานั้นแทบไม่จำเป็นเลยด้วยซ้ำไป
แต่ในเวลาต่อมาเมื่อได้เห็นสิ่งของที่หลิงหยุนนำออกมาเย่ชิงซินก็ถึงกับนิ่งอึ้งไป และเริ่มหายใจถี่ด้วยความตื่นเต้น จนไม่สามารถรักษาท่าทีที่สงบนิ่งไว้ได้อีก..
มันคือแหวนแพลตตินั่ม..และเป็นแหวนพื้นที่!
“น้าหญิงเย่นี่คือแหวนพื้นที่ซึ่งข้าสร้างขึ้นด้วยตัวเอง แม้ว่าพื้นที่ภายในจะไม่กว้างใหญ่นัก แต่ก็น่าจะเป็นประโยชน์กับท่านไม่น้อย ข้าขอมอบให้กับท่าน!”
หลิงหยุนเพียงแค่คิดแหวนพื้นที่ก็ลอยออกจากฝ่ามือของเขา ไปอยู่ตรงหน้าของเย่ชิงซินทันที!
แหวนพื้นที่นับเป็นของวิเศษที่ผู้ใดก็ย่อมอยากได้เย่ชิงซินเองก็เช่นกัน ดวงตาที่เป็นประกายระยิบระยับด้วยความตื่นเต้นของนางนั้น จับจ้องไปยังแหวนพื้นที่ซึ่งลอยอยู่ตรงหน้าอย่างไม่อาจละสายตาจากมันได้..
แต่แล้วเย่ชิงซินก็ส่ายหน้าพร้อมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“หลิงหยุน เจ้าเพิ่งมอบโอสถล้ำค่าซึ่งมีราคาสูงให้กับข้า แต่นั่นยังเป็นสิ่งที่ข้าพอที่จะรับไว้ได้ แต่แหวนพื้นที่วงนี้ เป็นของล้ำค่าหาได้ยากยิ่งนัก ข้าไม่อาจรับไว้ได้จริงๆ!”
หลิงหยุนยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวและตอบกลับไปทันที “ท่านน้าหญิงเย่ แม้สิ่งนี้จะเป็นของล้ำค่าและหาได้ยากยิ่งนัก แต่ในวันข้างหน้าพวกเราต่างก็จะเปรียบเสมือนคนในครอบครัวเดียวกันแล้ว ขอท่านรับได้โปรดรับไว้!”
เมื่อได้ยินหลิงหยุนเอ่ยคำว่าครอบครัวเดียวกันเย่ชิงซินก็ถึงกับหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ยังคงมีท่าทีลังเล..
ทางด้านเย่เทียนตูเมื่อเห็นแหวนพื้นที่ก็ถึงกับตาโตขึ้นมาทันทีและรีบยื่นมือออกไปคว้ามาอย่างอดไม่ได้ แล้วก็ไม่ยอมวางลงอีกเลย ปากก็พล่ามออกไปว่า..
“น้าหญิง..สมบัติล้ำค่าเช่นนี้ท่านยังลังเลอะไรอีกเล่า เมื่อครู่พวกเราสองคนก็ช่วยหลิงหยุนประมือกับคนตระกูลหลงไปแล้ว ท่านรีบๆรับแหวนนี่ไปสวมไว้จะดีกว่า แต่ถ้าท่านไม่รับข้าจะเก็บไว้เอง..”
“อีกอย่าง..หลิงหยุนก็พูดเองว่าเขาเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเอง ใช่ว่าจะสร้างใหม่อีกไม่ได้นี่!”
จากนั้นเย่เทียนตูก็หันไปยิ้มกว้างให้กับหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า“หลิงหยุนเจ้าดูสิ! แหวนนี่พอดีนิ้วของข้าเลย ข้าว่าเจ้ามอบแหวนวงนี้ให้กับข้า แล้วหาวงใหม่ให้กับน้าหญิงจะดีกว่า..”
“เย่เทียนตูมอบแหวนนั่นคืนให้ข้า!”
แต่เย่เทียนตูไม่ยอมคืนให้เขารีบเหาะหนีหลิงหยุนทันที และเพียงแค่พริบตาเดียวเขาก็เหาะหนีไปได้ไกลถึงสองกิโลเมตรแล้ว หลิงหยุนกับเย่ชิงซินได้แต่ยืนมองยิ้มๆหลิงหยุนคร้านที่จะตามไปเอาแหวนคืนจากเย่เทียนตู เพราะในเมื่อเขาตั้งใจที่จะมอบให้แทนคำขอบคุณแล้ว จะมอบให้ผู้ใดก็หาใช่เรื่องสำคัญไม่..
แต่หลังจากนั้นหลิงหยุนก็ยืนมองเย่เทียนสุ่ยกับเย่เทียนตู ต่อสู้แย่งชิงแหวนพื้นที่กันเองด้วยความรู้สึกขบขัน..
ส่วนเย่ชิงซินก็ไม่ได้รู้สึกเสียดายที่แหวนของตนถูกหลานชายขโมยไปต่อหน้าต่อตาจึงหันมาพูดกับหลิงหยุนว่า
“หลิงหยุนหลานชายของข้าทั้งสองคนนี้ เนื้อแท้ของพวกเขาหาใช่คนเลวร้ายไม่ หลังจากที่พวกเขาได้พบกับเจ้าในคืนนี้ ทั้งคู่ต่างก็รู้สึกชื่นชมเจ้าไม่น้อยเลย!”
“เทียนสุ่ยกับเทียนตูเปรียบเสมือนเสาหลักรุ่นต่อไปของตระกูลเย่ข้าหวังว่าเจ้ากับพวกเขาจะไม่กลายเป็นศัตรูกันในวันข้างหน้า..”
หลิงหยุนรับฟังพร้อมกับยิ้มออกมาแล้วจึงกล่าวตอบกลับไป “น้าหญิงเย่ ข้าเข้าใจความกังวลของท่านดี เมื่อครู่ข้าก็บอกแล้วว่า ในวันข้างหน้าพวกเราต่างก็จะเปรียบเสมือนคนในครอบครัวเดียวกัน แล้วข้าจะเห็นพวกเขาทั้งคู่เป็นศัตรูได้อย่างไรกันเล่า”
แต่ยังมีประโยคหนึ่งที่หลิงหยุนไม่ได้เอ่ยออกมานั่นก็คือ.. เขาจะไม่เป็นศัตรูกับเย่เทียนสุ่ยและเย่เทียนตูตราบใดที่เรื่องราวเมื่อสิบแปดปีก่อนยังไม่กระจ่างแจ้ง..
เย่ชิงซินจ้องลึกลงไปในดวงตาของหลิงหยุนครู่หนึ่งจากนั้นจึงตัดสินใจพูดขึ้นว่า “หลิงหยุน หากเจ้ายังคลางแคลงใจเรื่องของพ่อแม่เจ้าเมื่อสิบแปดปีก่อน ข้าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้เจ้าฟังเอง!”
หลิงหยุนถึงกับหูผึ่งขึ้นมาทันที..
“ความจริงแล้วระหว่างตระกูลหลิงกับตระกูลเย่ ล้วนไม่เคยมีความแค้นต่อกัน เรื่องที่เกิดขึ้นกับพ่อแม่ของเจ้าเมื่อสิบแปดปีก่อนนั้น ตระกูลเย่ของข้าไม่ใช่ทั้งผู้ริเริ่ม หรือเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย..” “แต่เย่ชิงเฟิงเอ่อ.. เขาคือพ่อของเทียนตู ได้ทำเรื่องผิดเพียงแค่หนึ่งเรื่อง นั่นก็คือ.. เขาปล่อยให้ตระกูลเย่เป็นเพียงแค่ผู้ดูตระกูลหลิงถูกทำลายย่อยยับ โดยไม่ยื่นมือเข้าไปช่วย..”
“และเพราะสาเหตุนี้ทำให้ข้าโกรธเกลียดเขามาจนถึงทุกวันนี้! เย่ชิงเฟิงรู้ข่าวมานานแล้วว่า เหล่าชาวยุทธจะบุกเข้าไปถล่มตระกูลหลิงของเจ้า แต่เขากลับนิ่งเฉยไม่เอ่ยเตือนคนตระกูลหลิง มิหนำซ้ำยังปล่อยให้ชาวยุทธเหล่านั้นเข้ามาปักกิ่ง และบุกเข้าไปตระกูลหลิงของเจ้า จนกระทั่งเกิดโศกนาฏกรรมในครั้งนั้นขึ้น..”
“ครั้งนั้นตัวข้าเองก็ฝึกฝนวิชาอยู่ที่ฉู่ซานกว่าจะรู้เรื่องราวทุกอย่างก็สายเกินแก้แล้ว..”
ตลอดเวลาที่เล่าเรื่องนี้สีหน้าของเย่ชิงซินดูเศร้าสร้อย และดวงตาทั้งสองข้างก็แดงก่ำ เห็นชัดว่านางยังคงโกรธแค้นต่อการกระทำของเย่ชิงเฟิงอยู่ไม่น้อย..
หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากของเย่ชิงซินหลิงหยุนก็ได้แต่พยักหน้ารับรู้ส่วนเย่ชิงซินก็เล่าต่อ
“หลังจากที่ตระกูลหลิงถูกถล่มแล้วหกตระกูลใหญ่ที่เหลือต่างก็ยึดเอาทรัพย์สิน และธุรกิจที่ตระกูลหลิงครอบครองอยู่มาแบ่งปันกัน แน่นอนว่าตระกูลเย่ก็ได้รับส่วนแบ่งด้วย เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่สามารถเอ่ยปากได้มากนัก เพราะเป็นเรื่องภายในของตระกูลเย่..”
“เรื่องทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้จากนี้ไปเจ้าก็ตัดสินใจเอาเองว่า จะมองตระกูลเย่ของข้าเป็นเช่นใด”
หลิงหยุนได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดก็สามารถเข้าใจได้ไม่ยาก..
ปลาใหญ่กินปลาเล็ก..บนโลกใบนี้ผู้ที่อ่อนแอย่อมเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่งกว่า ในเมื่อหมดอำนาจลง ย่อมต้องถูกผู้อื่นแย่งชิงสมบัติที่ครอบครองไป ต่อให้ตระกูลเย่ไม่รับส่วนแบ่ง ตระกูลอื่นๆก็ต้องแย่งชิงไปอยู่ดี!
หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมตอบกลับไปว่า“ท่านน้าหญิงเย่ ในเมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนี้ ตระกูลเย่กับตระกูลหลิงจึงนับว่าไม่ได้มีความแค้นที่ลึกซึ้งต่อกัน ข้ารับปากท่านในวันข้างหน้าจะไม่เป็นปรปักษ์ต่อตระกูลเย่ของท่าน!”
จากนั้นหลิงหยุนจึงรีบถามต่อทันที“น้าหญิงเย่ ในเมื่อตระกูลเย่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของพ่อแม่ข้าในอดีต แล้วตระกูลหลงเล่า”
เย่ชิงซินจ้องมองหลิงหยุนพร้อมพูดอย่างตรงไปตรงมา“เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้น ข้าเชื่อว่าตระกูลหลงคงต้องแอบใส่ไฟอยู่เบื้องหลังบ้าง แต่เจ้าเชื่อหรือไม่ว่า คืนนั้นไม่มีคนตระกูลหลงแม้แต่คนเดียว!”
หลิงหยุนได้แต่ครุ่นคิดอยู่ในใจดูเหมือนตระกูลหลงจะไม่ได้ส่งคนไปถล่มตระกูลหลิงในคืนนั้นจริงๆ
จากที่เย่ชิงซินเล่ามาตระกูลเย่ไม่ได้ส่งคนของตนบุกเข้าตระกูลหลิงในคืนนั้น เพียงแต่ปล่อยให้เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นโดยไม่ทำอะไร ส่วนตระกูลหลงก็อาศัยช่วงเวลาที่ตระกูลหลิงกำลังมีปัญหา ลดทอนอำนาจของตระกูลหลิง.. “น้าหญิงเย่..เช่นนั้นแล้วผู้ใดกันที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้อย่างแท้จริง ผู้ใดกันที่ต้องการเห็นตระกูลหลิงล่มสลายเช่นนี้?”
เรื่องนี้นับเป็นเรื่องสำคัญยิ่งนักและหลิงหยุนจำเป็นต้องสืบรู้ให้ได้..
นั่นเพราะเวลานี้หลิงหยุนเริ่มรู้สึกว่า โศกนาฏกรรมของตระกูลหลิงเมื่อสิบแปดปีก่อนนั้น ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของฝ่ายธรรมะกับอธรรมเท่านั้น แต่การที่ตระกูลหลิงถูกทำลายเช่นนั้น จะต้องมีผู้ที่มีอำนาจอย่างมากอยู่เบื้องหลังอีกที..
เวลานี้หลิงหยุนก็พอที่จะคาดเดาได้ว่าผู้มีอำนาจนั้นคือใครเพียงแต่ต้องการคำยืนยันจากปากของเย่ชิงซิน..
“คุนหลุน!”เย่ชิงซินตอบเสียงเรียบ
คอมเม้นต์