อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) – บทที่ 3 บริจาคอวัยวะ

อ่านนิยายจีนเรื่อง อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) ตอนที่ 3 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 3 บริจาคอวัยวะ

 

 

มุมปากแม่ของซูชิงกระตุก เธอจ้องตรงไปที่รถเบนซ์ที่ถูกชนโดยไม่พูดอะไรสักคำพร้อมกับความหวาดกลัวที่ปรากฏขึ้นในดวงตาของเธอ

 

 

ฝูงชนรอบข้างเริ่มให้ความสนใจ ผู้คนจำนวนมากเริ่มมามุงดู

 

 

หลังจากนั้นไม่นาน ซูชิงก็ช่วยแม่ของเธอลุกขึ้นจากพื้น ขาแม่ของซูชิงอ่อนปวกเปียกและใบหน้าซีดเผือด

 

 

ถ้าไม่ใช่เพราะหลินปู้ฟาน เธอคงตายไปแล้ว

 

 

“แม่… แม่ปลอดภัยแล้ว…” ซูชิงปลอบแม่ของเธอ

 

 

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” แม่ของซูชิงทั้งไม่เชื่อและหวาดกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอหันไปหาหลินปู้ฟานและถามออกมาด้วยเสียงสั่น “เธอเป็นใครกันแน่!?”

 

 

สีหน้าของหลินปู้ฟานยังคงสงบนิ่ง เพราะนี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาเห็นเหตุการณ์นี้

 

 

“อย่างที่ผมเคยบอก ผมสามารถเห็นอนาคตได้และตอนนี้คุณก็ปลอดภัยแล้ว ผมว่าถึงเวลาที่คุณจะต้องจ่ายค่าตอบแทนให้ผมได้แล้ว”

 

 

เมื่อวานทางโรงพยาบาลได้ยื่นคำขาดว่าวันนี้ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดไม่อย่างนั้นทางโรงพยาบาลจะต้องให้แม่ของหลินปู้ฟานออก

 

 

“แน่นอนๆ ถ้าป้าไม่ได้เธอป้าคงตายไปแล้ว” แต่เมื่อแม่ของซูชิงพูดจบเธอก็ขมวดคิ้วทันที “คือว่า… วันนี้เป็นวันหยุดของบริษัทและธนาคารก็ปิดทำการด้วย เธอช่วยทิ้งเลขบัญชีไว้ให้ป้าได้ไหม? เดี๋ยววันพรุ่งนี้ป้าจะให้ฝ่ายการเงินโอนเงินให้เธอทันที”

 

 

หลินปู้ฟานแตะไปที่คางของเขาและมองไปที่หน้าแม่ของซูชิง “คุณป้าไม่ได้คิดจะโกงผมใช่ไหม?”

 

 

“ไม่มีทางเป็นอย่างนั้นแน่นอน ไม่ต้องกังวล” ชีวิตของเธอพึ่งถูกช่วยไว้โดยหลินปู้ฟาน หากไม่ได้เขาเธอคงตายไปแล้ว ตอนนี้เธอยังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เลย

 

 

“หลินปู้ฟานนายไม่ต้องกังวล ฉันรับรองว่าแม่ของฉันจะต้องโอนเงิน 5 แสนให้นายอย่างแน่นอน” ซูชิงช่วยรับรองให้แม่ของเธอ

 

 

“ตกลง ฉันเชื่อใจเธอและอีกอย่างฉันไม่มีบัญชีธนาคาร เธอต้องเอาเงินสดมาให้ฉันพรุ่งนี้”

 

 

“ได้ ป้าจะเอาเงินมาให้เธอพรุ่งนี้ตอนเช้า” แม่ของซูชิงพูดแทรกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

 

เขามองดูเวลาที่ข้อมือก่อนบอกลาทั้งสองคนและมุ่งหน้าไปที่โรงพยาบาลเพื่อไปหาแม่ของเขา

 

 

เมื่อหลินปู้ฟานจากไป แม่ของซูชิงก็พูดขึ้นมา “เพื่อนของหนูคนนี้ไม่ธรรมดาเลย”

 

 

“หนูก็คิดอย่างนั้นค่ะแม่” ตอนนี้ซูชิงสงสัยตัวตนของหลินปู้ฟานอย่างมาก

 

 

ผู้ชายคนนี้ทำนายอนาคตได้จริงๆเหรอ?

 

 

“ชิงชิง หนูต้องหาทางใกล้ชิดกับเขาให้มากขึ้นในอนาคต” เมื่อแม่ของซูชิงได้สติ แววตาของนักธุรกิจก็ปรากฏขึ้นมาทันที เด็กคนนี้มีความสามารถที่ไม่ธรรมดาถ้าหากดึงตัวเขามาช่วยเธอได้ธุรกิจของเธอจะต้องเติบโตขึ้นอย่างแน่นอน

 

 

ระหว่างทางไปโรงพยาบาล หลินปู้ฟานก็รู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย หากไม่มีผู้บริจาคไตให้กับแม่ของเขา เขาก็จะต้องหาไตมาให้แม่ของเขาด้วยตัวเอง และถึงแม้ว่าเขาจะหาไตมาให้แม่ได้ก็ตามเขาก็ยังไม่สามารถรักษาแม่ให้หายได้ เพราะค่าผ่าตัดกับค่ารักษาและค่ายาที่จะตามหลังจากนั้นเงินแค่ 5 แสนคงไม่พอแน่ แล้วถ้าหากร่างกายของแม่ปฏิเสธไตใหม่ขึ้นมาค่าใช้จ่ายมันก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก

 

 

หลังจากกังวลอยู่พักใหญ่ หลินปู้ฟานก็สงบลง

 

 

ไม่เป็นไร อย่างน้อยตอนนี้เขาก็มีเงินทุนแล้ว

 

 

เมื่อลงจากรถบัส หลินปู้ฟานก็เดินไปที่โรงพยาบาล แต่เขาก็ต้องชะงักไปทันทีเมื่อเขาเดินผ่านร้านพนันกีฬา

 

 

“รอบสุดท้ายนี้บราซิลต้องชนะแน่นอน!”

 

 

“เรื่องนั้นมันก็แน่นอนอยู่แล้ว บราซิลมีโรนัลโด้เป็นกองหน้าเชียวนะ เฮียโล้นเนี่ยเจ๋งที่สุดแล้ว ไอ้พวกเศษฝรั่งไม่มีทางได้แตะถ้วยแน่นอน”

 

 

“เกมส์นี้รู้ผลตั้งแต่ยังไม่ได้เตะเลยด้วยซ้ำ”

 

 

ลูกค้าในร้านแย่งกันคุยจนฟังแทบไม่รู้เรื่อง

 

 

มุมปากของหลินปู้ฟานยกยิ้ม พร้อมกับดวงตาที่สว่างขึ้น…

 

 

หลังจากนี้ แฟนบอลทั่วโลกจะได้รับรู้ “ปาฏิหาริย์” แห่งวงการฟุตบอล ในแมตช์สุดท้ายของฟุตบอลโลกในปี 1998 เมื่อบลาซิลทีมที่แทบทั้งโลกต่างบอกว่าจะได้แชมป์แน่นนอน เพราะในตอนนี้บลาซิลเปรียบเสมือนกับราชาแห่งวงการลูกหนังที่มีทั้งโรนัลโด้ที่เป็นกองหน้าที่ทรงพลังที่สุดในโลกและคาร์ลอสกองหลังที่แข็งแกร่งที่สุด กลับต้องแพ้ให้กับฝรั่งเศสอย่างหมดท่าถึง 3-0

 

 

หลินปู้ฟานยืนดูตารางการแข่งขันที่แปะไว้ที่หน้าประตูร้าน รอบชิงชนะเลิศคือวันที่ 12 ยังเหลือเวลาอีก 9 วัน

 

 

ต้องหาเงินทุนเพิ่ม

 

 

เมื่อมาถึงโรงพยาบาล หลินปู้ฟานให้แม่จับมือเขาไว้และเขาก็เริ่มเช็ดแขนและตัวให้กับแม่

 

 

เมื่อมองไปที่หลินปู้ฟานจางซิ่วเยว่ก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา เธอคงไม่มีโอกาสที่จะได้เห็นลูกของเธอเข้ามหาลัย ไม่มีโอกาสได้เห็นเขาแต่งงาน เธอไม่เต็มใจที่จะต้องจากลูกและสามีของเธอไปเช่นนี้

 

 

“แม่อย่าร้องไห้ ผมไม่มีทางปล่อยให้แม่เป็นอะไรแน่นอน”

 

 

ในชีวิตที่แล้ว เขาอายุเพียงแค่ 18 ปีตอนที่ต้องเผชิญกับความสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิต เขาทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากร้องไห้ แต่ตอนนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว

 

 

“แม่จะอยู่กับหนูเสมอนะ…” จางซิ่วเยว่กัดริมฝีปากของเธอพร้อมกับปาดน้ำตา

 

 

“แม่ไม่ต้องกังวล ผมจะจัดการทุกอย่างเอง ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น”

 

 

“เด็กโง่” จางซิ่วเยว่แสร้งพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มเพื่อให้ลูกของเธอรู้สึกสบายใจ

 

 

หลังจากเช็ดตัวให้แม่เสร็จหลินปู้ฟานก็เดินออกออกจากห้องไปเพื่อเอากะละมังไปเก็บ

 

 

เมื่อเดินกลับเข้ามาเขาก็เห็นม่านเตียงของแม่ถูกปิดอยู่

 

 

“คุณนายจาง ผมอยากให้คุณคิดทบทวนเรื่องนี้ให้ดี ถ้าหากคุณยอมเซ็นเอกสารนี้เงินที่เหลือหลังหักค่ารักษาของคุณที่ค้างอยู่แล้วนั้นน่าจะพอที่จะส่งลูกของคุณเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ได้เลยนะ นอกจากนี้ครอบครัวโจวยังจะให้เงินคุณเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง”

 

 

คนที่มาคือหวงเจี๊ยนเหลิน เขาเป็นรองคณบดีของโรงพยาบาลแห่งนี้

 

 

“…..” จางซิ่วเยว่เม้มริมฝีปากและไม่ได้พูดอะไรออกมา เอกสารที่หวงเจี๊ยนเหลินพูดถึงคือใบยินยอมบริจาคอวัยวะ ในโรงพยาบาลแห่งนี้มีผู้ป่วยที่ต้องการปลูกถ่ายหัวใจใหม่อยู่และหัวใจของจางซิ่วเยว่ก็เหมาะสมที่สุดในโรงพยาบาลนี้

 

 

“คุณนายจาง คุณเองก็น่าจะรู้ตัวว่าโรคที่คุณเป็นอยู่มันเป็นโรคที่ต้องอาศัยระยะเวลาและก็ไม่รู้ว่าจะมีไตที่เข้ากับคุณได้มาตอนไหน หากคุณเป็นคนรวยคุณอาจจะออกไปรักษาที่ต่างประเทศได้ แต่คุณเป็นแค่คนธรรมดา… คุณแค่เซ็นตรงนี้ คุณก็จะสามารถช่วยชีวิตคนได้ แถมยังมีเงินเหลือให้ครอบครัวอีกต่างหาก นี่เท่ากับว่าได้กันทั้งสองฝ่ายจริงไหม?”

 

 

หลังจากฟังจบ ร่างกายของหลินปู้ฟานก็สั่นสะท้าน

 

 

ในชีวิตที่แล้วเขาไม่ได้เห็นฉากนี้ เพราะในตอนนั้นเขาไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาล

 

 

“ฉันขอคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกสักหน่อย” จางซิ่วเยว่ตอบด้วยเสียงที่สั่นเครือ

 

 

หลินปู้ฟานรีบเดินเข้าไปคว้าเอกสารมาฉีกเป็นชิ้นๆ “แก! ออกไป! ออกไปให้พ้นจากหน้าฉัน”

 

 

“หยุดนะ! ไอ้เด็กเวรนี่โผล่มาจากไหน”

 

 

“ไอ้แก่สารเลว แกกล้าเอาเรื่องนี้มาบีบบังคับแม่ของฉันได้ไง แกต้องการที่จะตายอย่างนั้นเหรอ?” หลินปู้ฟานกระโดดใส่หวงเจี๊ยนเหลินราวกับสิงโต

 

 

“ไอ้เด็กเวร แกกล้าที่จะไล่ฉันทั้งๆ ที่แม่ของแกติดหนี้โรงพยาบาลอยู่มากมายเนี่ยนะ! ตอนนี้แกกับแม่ของแกรีบใสหัวออกไปจากโรงพยาบาลได้แล้ว” แต่เดิมผู้อำนวนการของแผนกผู้ป่วยในต้องการให้จางซิ่วเยว่ออกจากโรงพยาบาลภายในวันนี้อยู่แล้ว แต่ที่หวงเจี๊ยนเหลินอนุญาตให้จางซิ่วเยว่อยู่ต่อก็เพราะเขาต้องการให้เธอเซ็นยินยอมบริจาคหัวใจของเธอ

 

 

“ฉันจะจ่ายหนี้ทั้งหมดในวันพรุ่งนี้” หลินปู้ฟานพูดออกมาทีละคำ

 

 

“หึ! แกกำลังละเมออยู่หรือไง” หวงเจี๊ยนเหลินไม่สนใจหลินปู้ฟาน สำหรับเขาแล้วหลินปู้ฟานก็เป็นเพียงแค่เด็กเห่อขนก็เท่านั้น “คุณนายจาง คุณควรคิดเกี่ยวกับข้อเสนอของผมให้ดีๆ”

 

 

หลังจากพูดจบหวงเจี๊ยนเหลินก็จากไปด้วยความโกรธ

 

 

ในชีวิตที่แล้ว จางซิ่วเยว่ได้เซ็นยินยอมในเอกสารนี้และหลินเจิ้งตงก็ช่วยปกปิดเรื่องนี้ไม่ให้หลินปู้ฟานได้รู้ เพราะการที่ต้องรับรู้ว่าหัวใจแม่ของตนไปเต้นอยู่ในอกของคนอื่นมันเป็นเรื่องที่โหดร้ายเกินไปสำหรับเด็ก

 

 

“แม่ ผมบอกแม่แล้วไงว่าแม่ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินอีกต่อไปแล้ว ผมจะเอาเงินมาจ่ายค่ารักษาทั้งหมดในวันพรุ่งนี้เอง” หลินปู้ฟานพูดด้วยความเศร้าในใจ

 

 

“แม่ทำให้ลูกกับพ่อของลูกต้องตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก ให้แม่ได้ตอบแทนลูกกับพ่อเถอะ”

 

 

“แม่ ความจริงผมมาจากอนาคตอีก 20 ปีต่อจากนี้ แม่เชื่อผมเถอะ ผมจะไม่มีวันปล่อยให้แม่ต้องตาย”

 

 

“เด็กโง่…” จางซิ่วเยว่น้ำตาไหล ถึงเธอจะไม่เชื่อเรื่องนี้ แต่เธอก็ดีใจที่ลูกพยายามปลอบเธอ

 

 

หลินปู้ฟานรู้ว่าแม่คงไม่เชื่อเรื่องของเขา

 

 

ทุกๆ วันหลินปู้ฟานจะนอนอยู่ที่พื้นข้างๆ เตียงเธอเสมอ แต่วันนี้จางซิ่งเยว่กลัวว่าความเย็นจะเข้าสู่ร่ายกายของลูกชายของเธอ เธอจึงยืนยันที่จะให้หลินปู้ฟานกลับไปนอนที่บ้าน

 

 

หลินปู้ฟานจึงต้องกลับบ้านอย่างไม่มีทางเลือก

 

 

ในความเป็นจริงที่ที่เรียกว่าบ้านของหลินปู้ฟานในตอนนี้เป็นแค่กระท่อมไม้หลังเล็กๆ ขนาดแค่ 20 ตารางเมตรเท่านั้น บ้านหลังเดิมของเขาต้องถูกขายออกไปเพราะต้องนำเงินมารักษาแม่ของเขา

 

 

เมื่อมาถึงบ้าน เขาก็เห็นว่าพ่อของเขายังไม่กลับมา

 

 

มีเตียงไม้เล็กๆสองเตียงทางด้านซ้ายและด้านขวาของห้อง มีโต๊ะอยู่ตรงกลางพร้อมกับมีซาลาเปาเย็นๆวางอยู่ 2 ลูก

 

 

 

 

เสียงประตูบ้านเปิดออกตอน 5 ทุ่ม พ่อของหลินปู้ฟานลากร่างกายที่เหนื่อยล้าของเขาเข้ามาในบ้าน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า

 

 

หลินปู้ฟานรู้ทันทีว่าคงจะไม่มีใครให้พ่อเขายืมเงินมาแน่นอน

 

 

พ่อของเขาไม่ได้เปิดไฟ

 

 

ในความมืดมิด พ่อของเขาสะอื้นออกมาอย่างควบคุมไม่ได้

 

 

เสียงสะอื้นของพ่อ เปรียบเหมือนกับมีดที่ทิ่มแท่งเข้ามาในใจของหลินปู้ฟาน

 

 

หลินปู้ฟานไม่ได้ลุกขึ้นมาปลอบพ่อของเขาเหมือนกับชาติที่แล้ว ตอนนี้เขารู้ดีว่าในฐานะคนเป็นลูกเขาควรที่จะแกล้งหลับต่อไป เพราะไม่มีพ่อคนไหนที่ต้องการให้ลูกเห็นด้านอ่อนแอของตัวเอง

 

 

หลินปู้ฟานค่อยๆ ขดตัวภายใต้ผ้าห่มด้วยความรู้สึกเจ็บปวด

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด