อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) – บทที่ 9 โครงการพอนซี

อ่านนิยายจีนเรื่อง อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) ตอนที่ 9 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 9 โครงการพอนซี

 

 

ที่จางอี้นี่เชิญหลินปู้ฟานมางานเลี้ยงในครั้งนี้ เพราะเธอต้องการจะใกล้ชิดเขามากขึ้น เธอไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าเจ้านายซูจะพาหลี่เฉียนมางานนี้ด้วย

 

 

ตั้งแต่ที่หลี่เฉียนเริ่มพูด จางอี้นี่เหลือบมองไปที่หลินปู้ฟานตลอดและเธอก็เห็นว่าเขากำลังยิ้มออกมาอย่างดูถูกราวกับนักสืบที่พบเบาะแสในการคลี่คลายคดีแล้ว เธอจึงถามหลินปู้ฟานว่าเขาคิดอย่างไรกับการลงทุนครั้งนี้

 

 

“แล้วเธอคิดว่า หัวหน้าหลี่เชื่อถือได้หรือไม่?” จางอี้นี่กระซิบด้วยเสียงแผ่วเบาข้างๆ หูของหลินปู้ฟาน

 

 

“แล้วป้าคิดเห็นอย่างไร?” หลินปู้ฟานต้องการทดสอบความสามารถของจางอี้นี่ ถ้าหากจางอี้นี่เป็นผู้หญิงที่มีความสามารถและมีใจรักในธุรกิจหลินปู้ฟานก็อาจจะร่วมมือกับเธอในอนาคต

 

 

จางอี้นี่ขมวดคิ้วและคิดอยู่สักพักก่อนกระซิบเบาๆ : “ป้าไม่เข้าใจธุรกิจการลงทุน แต่เห็นได้ว่าหัวหน้าซูกำลังเพลิดเพลินกับผลกำไรอยู่และป้าก็มองไม่เห็นปัญหาใหญ่อะไรในการลงทุนนี้”

 

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า” หลินปู้ฟานยิ้มและกล่าวว่า “ป้าสามารถทำกำไรได้ 10% ในหนึ่งเดือนจริงๆเหรอ? การลงทุนนี้สามารถทำกำไรได้จริงเหรอ? ป้าจาง ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ แบบนั้นหรอกนะครับ นี่เป็นโครงการพอนซีแน่นอน”

 

 

“โครงการพอนซี?” จางอี้นี่ตกตะลึงเธอไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน

 

 

โครงการพอนซีเป็นคำเรียกสำหรับเรียกการฉ้อโกงการลงทุนในภาคการเงินซึ่งเป็นต้นแบบของโครงการแผนปิรามิดนักฉ้อโกงหลายคนใช้กลอุบายนี้เพื่อรวบรวมเงิน รูปแบบพวกนี้ถูก”คิดค้น”ขึ้นโดยนักธุรกิจเก็งกำไรที่ชื่อ Charles Ponzi ดังนั้นจึงเรียกมันว่าโครงการพอนซี การดำเนินการนั้นง่ายมากอธิบายโดยย่อคือ ใช้เงินของนักลงทุนรายใหม่เพื่อจ่ายดอกเบี้ยและผลตอบแทนระยะสั้นให้กับนักลงทุนรายเก่าเพื่อสร้างภาพลวงตาในการทำเงินและฉ้อโกงการลงทุนมากขึ้น

 

 

“ผมบอกป้าได้แค่ว่านี่เป็นแค่การพยายามจับปลาด้วยมือเปล่า ป้าอย่าได้ไปหลงกล” หลินปู้ฟานเตือน

 

 

“หัวหน้าจางคุณต้องการเป็นสมาชิกระดับไดม่อนหรือไม่?” หลี่เฉียนถาม

 

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า หัวหน้าจางจะพลาดโอกาสในการทำเงินที่ดีเช่นนี้ได้อย่างไร เธอต้องเป็นสมาชิกระดับไดม่อนแน่นอน”

 

 

“เห็นด้วย มีโอกาสทำเงินลอยมาถึงที่ขนาดนี้หัวหน้าจางจะพลาดได้ยังไง”

 

 

“ใช่ๆ ถ้าหัวหน้าจางไม่ลงทุน มันคงจะเป็นเรื่องที่แปลกมาก”

 

 

หัวหน้าหลายคนพูดติดตลก

 

 

จางอี้นี่ไม่สามารถหัวเราะออกมาได้ เธอเลิกคิ้วและมองไปที่หลี่เฉียนพร้อมกับจับชายกระโปรงในมือของเธอพลางคิดในใจ

 

 

หลินปู้ฟานแม้ว่าจะพิเศษกว่าคนอื่นและเข้าใจยากเล็กน้อยแต่เขาก็ยังเป็นแค่เด็กนักเรียนไม่ใช่นักธุรกิจ เธอควรจะเชื่อคำพูดของเขาดีไหม? ถ้าเธอเชื่อเขาแล้วเธอจะพลาดโอกาสดีๆ ในการลงทุนไปหรือไม่?

 

 

“หัวหน้าจางทำไมคุณถึงยังลังเลอยู่อีก พรุ่งนี้ไปที่ธนาคารกับผมเพื่อโอนเงินไปให้หัวหน้าหลี่กัน” หัวหน้าจ้าวยิ้มและพูดกับหลี่เฉียน “หัวหน้าหลี่ ผมจะติดตามคุณในอนาคต”

 

 

“ได้เลยหัวหน้าจ้าว ต่อจากนี้เราถือเป็นหุ้นส่วนกัน”

 

 

“คุณคือเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งสำหรับผมจริงๆ แก้วนี้ผมขอดื่มให้กับคุณหัวหน้าหลี่” หัวหน้าจ้าวดื่มให้กับหัวหน้าหลี่

 

 

“หัวหน้าจาง โอกาสอยู่ข้างหน้าคุณแล้วแท้ๆ คุณยังจะมัวลังเลอะไรอีก?” หัวหน้าซูสบประมาท “คุณพอใจกับการได้เป็นแค่เจ้าของโรงแรมเล็กๆ แห่งนี้เท่านั้นเหรอ? หากคุณมัวแต่กลัวระวังจะเสียการณ์ใหญ่เอานะหัวหน้าจาง”

 

 

เมื่อเห็นว่าจางอี้นี่กำลังลังเล หลี่เฉียนจึงเปลี่ยนสีหน้าทันที “เนื่องจากหัวหน้าจางไม่ต้องที่จะลงทุนกับเรา ฉันที่เป็นตัวแทนก็จะไม่บังคับเพราะยังไงก็ยังมีบริษัทอีกมากมายที่พร้อมจะลงทุนกับเราอยู่แล้ว”

 

 

จางอี้นี่ไม่ลังเลอีกต่อไป “หัวหน้าหลี่ฉันจะ……”

 

 

“แปะๆ…” ก่อนที่จางอี้นี่จะพูดจบ หลินปู้ฟานก็ปรบมือและหัวเราะออกมา “คุณหลี่คุณทำได้ดีมากจริงๆ”

 

 

คนทั้งโต๊ะตะลึง

 

 

เด็กคนนี้ต้องการอะไร?

 

 

“เด็กน้อย จะทำอะไรให้รู้จักกาลเทศะซะบ้าง ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เด็กอย่างเธออยากจะพูดอะไรก็พูดได้นะ” หัวหน้าซูตำหนิด้วยใบหน้าไม่พอใจ “ถ้าเธอทำให้เทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งของเราขุ่นเคืองแล้วเธอจะรับผิดชอบไหวไหม?”

 

 

“ใช่ ผู้ใหญ่กำลังคุยกันเด็กน้อยอย่างเธอควรนั่งฟังอยู่เงียบๆ”

 

 

“เธอคิดว่าเธอเป็นใครกัน?”

 

 

“หัวหน้าจาง คุณควรอบรมลูกเขยในอนาคตของคุณให้ดีด้วยนะ”

 

 

“หัวหน้าหลี่ อย่าได้ถือสาเด็กไม่รู้ความนี่เลย”

 

 

หัวหน้าหลายคนรีบตำหนิหลินปู้ฟานเพื่อเอาใจหัวหน้าหลี่

 

 

หลินปู้ฟานหัวเราะ “พวกคุณไม่มีสมองกันหรือไง? หากโยนเงินลงไปในน้ำคุณยังได้ยินเสียงน้ำ แต่ถ้าหากพวกคุณลงทุนกับผู้หญิงคนนี้… ในอนาคตก็อย่ามาโทษว่าผมไม่เตือนก็แล้วกัน”

 

 

“เด็กน้อย รู้ตัวบ้างไหมว่าเธอกำลังพูดอะไรออกมา?” หัวหน้าซูออกหน้าแทนหัวหน้าหลี่เพราะหลังจากที่เขาลงทุนไปครั้งแรกและได้รับกำไรกลับมา ทำให้ตอนนี้เขาก็เชื่อในตัวหลี่เฉียนอย่างมาก

 

 

“Ms.Li Which City Is The Headquarters Of Your Company In America?” หลินปู้ฟานพูดภาษาอังกฤษออกมาอย่างคล่องแคล่ว

 

 

ซูชิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็เอะใจขึ้นมาทันที

 

 

เนื่องจากหลี่เฉียนบอกว่าสำนักงานใหญ่ของพวกเธออยู่ในสหรัฐอเมริกาและเธอก็ถูกส่งมาที่หางโจวเพื่อเปิดสาขาที่นี่ แสดงว่าเธอต้องเคยอยู่ที่สหรัฐอเมริกามาก่อนและอย่างน้อยเธอก็ต้องพูดภาษาอังกฤษได้

 

 

“เธอกำลังพูดอะไร?” หัวหน้าซูไม่เข้าใจเนื่องจากเขาฟังภาษาอังกฤษไม่ออก

 

 

ซู่ชิงอธิบาย “เนื่องจากหัวหน้าหลี่อยู่ในสหรัฐอเมริกาตลอดทั้งปี อย่างน้อยเธอก็ต้องเข้าใจภาษาอังกฤษใช่ไหม?”

 

 

ตอนนี้ทุกคนมองไปที่หลี่เฉียน

 

 

ใบหน้าของหลี่เฉียนเดี๋ยวซีดเดี๋ยวคล้ำ เหงื่อเธอเริ่มไหลและการหายใจเริ่มสะดุด แต่หลังจากผ่านไปไม่กี่วินาทีเธอก็กลับมาเป็นปกติ “ฉันไปอยู่แค่ช่วงฤดูร้อน ดังนั้นฉันจึงไม่เข้าใจภาษาอังกฤษดีนัก”

 

 

“เห่อเห่อ ภาษาอังกฤษระดับนี้แม้แต่เด็กมัธยมก็เข้าใจ แต่คุณที่เป็นถึงผู้บริหารระดับสูงและผู้จัดการการลงทุนของ‘บริษัทนานาชาติ‘กลับไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ แบบนั้นมันเป็นไปได้ด้วยเหรอ? สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อกี้คือผมถามคุณว่าบริษัทของคุณมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองไหนในสหรัฐอเมริกา? “

 

 

“ฉันมีเลขาอยู่เคียงข้างและเลขาจะเป็นล่ามให้ฉันเสมอ” หลี่เฉียนพูดอย่างเคร่งเครียด

 

 

“โอ้ ถือว่าเป็นข้อแก้ตัวที่ดี งั้นผมขอถามคุณหน่อยว่าดัชนีดาวโจนส์หมายถึงอะไร? มีตลาดหุ้นกี่แห่งใน Wall Street? การเพิ่มและลดของ Standard & Poor คืออะไร? มาร์จิ้นสำหรับ futures trading ทำงานอย่างไร? ในฐานะผู้จัดการการลงทุนควรจะเข้าใจเรื่องพวกนี้จริงไหม?” หลินปู้ฟานถามพร้อมกับจ้องมองไปที่หลี่เฉียนด้วยรอยยิ้ม

 

 

หลี่เฉียนไม่เคยคิดฝันว่านักเรียนมัธยมปลายจะถามคำถามแบบมืออาชีพแบบนี้ออกมาได้ หัวใจของเธอหล่นวูบทันที

 

 

หลินปู้ฟานหัวเราะพร้อมรินไวน์แดงให้ตัวเองและยกแก้วขึ้นมาจิบ “การลงทุนที่คุณว่านี่หมายถึงการลงทุนประเภทไหน? แร่? พลังงาน? เครือข่าย? เทคโนโลยี? หรือจะเป็น ยาเสพติด? ค้าของเถื่อน? หรือค้ามนุษย์? การที่คุณจะให้ใครมาลงทุนกับคุณคุณก็ควรจะระบุให้ชัดเจนจริงไหม?”

 

 

“นี่… นี่… นี่เป็นความลับของบริษัทของเรา ฉันไม่สามารถบอกคุณได้” แก้มของหลี่เฉียนร้อนขึ้นมา

 

 

“เป็นความลับ? มันน่าหัวเราะจริงๆ แม้ว่าคุณจะซื้ออาหารคุณก็ยังต้องการที่จะเห็นคุณภาพของอาหารก่อน… คุณหลี่คุณคงยังเรียนรู้มาจากเจ้านายของคุณที่อยู่เบื้องหลังมาไม่มากพอ”

 

 

“อย่ามาพูดจาอะไรไร้สาระ เด็กอย่างเธอจะไปรู้อะไร บริษัทของเราเป็นบริษัทที่จดทะเบียนอย่างเป็นทางการ ถ้าพวกคุณไม่เชื่อพวกคุณสามารถตรวจสอบได้” หลี่เฉียนลนลาน

 

 

“ผมเชื่อว่าบริษัทของคุณได้รับการจดทะเบียนแล้ว แต่ก็คงเป็นบริษัทที่เกี่ยวกับกระเป๋าหรืออะไรทำนองนั้น”

 

 

“อย่าได้พูดอะไรออกมา ถ้าหากคุณยังไม่มีหลักฐาน”

 

 

“มันง่ายมากที่จะหาหลักฐาน แค่ตรวจสอบสถานการณ์ด้านภาษีก็จะรู้ถึงการดำเนินงานของบริษัทได้ทันที ซูชิงฉันขอยืมโทรศัพท์ของเธอหน่อยได้ไหม?”

 

 

ซูชิงรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาและส่งให้หลินปู้ฟาน

 

 

ไม่มีบริษัทไหนสามารถหนีภาษีอากรได้และการเสียภาษีก็จะสะท้อนสถานการณ์ของบริษัทนั้นออกมาโดยตรง

 

 

“ถ้าบริษัทของคุณเป็นบริษัทจดทะเบียนจริง ผมก็สามารถโทรไปถามที่ China Securities Regulatory Commission เพื่อตรวจสอบได้และผมยังมีอีกหลายวิธีในการตรวจสอบว่าบริษัทของคุณเป็นบริษัทกระเป๋าหนังหรือไม่” หลินปู้ฟานยิ้ม “ผมควรตรวจสอบสาขาไหนก่อนดี? หรือควรจะตรวจสอบสำนักงานใหญ่ก่อนเลย?”

 

 

หลี่เฉียนตื่นตระหนก หัวหน้าทุกคนจ้องมองเธออย่างสงสัย เธอเข้าใจได้ทันทีว่าวันนี้เธอพลาดแล้ว “ฮึ่ม ถ้าคุณไม่เชื่อก็ลืมมันไป ฉันไม่ได้ขอให้ใครลงทุน”

 

 

เมื่อพูดจบหลี่เฉียนรีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว

 

 

เพียงแค่เดินไปไม่กี่ก้าว หลินปู้ฟานก็พูดขึ้นมา “หัวหน้าซู คุณลงทุนไปแล้วใช่ไหม?”

 

 

หัวหน้าซูได้สติขึ้นมาทันที เขายังคงมีเงินต้น 100,000 หยวนอยู่กับหลี่เฉียน

 

 

“หลี่เฉียนคืนเงินของฉันมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!” หัวหน้าซูก็ไม่ใช่คนโง่เหมือนกัน

 

 

การตั้งคำถามของหลินปู้ฟานทำให้หลี่เฉียนทำอะไรไม่ถูกและทุกคนก็เข้าใจถึงสาเหตุที่เธอเป็นแบบนั้น

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด