อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) – บทที่ 37 ฉันชื่อหนิงเทียนหนาน

อ่านนิยายจีนเรื่อง อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) ตอนที่ 37 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 37 ฉันชื่อหนิงเทียนหนาน

 

 

ในชีวิตที่แล้ว หลินปู้ฟานอาศัยอยู่ในเขตพัฒนา ทำให้เขารู้ขั้นตอนการพัฒนาของหลิงซานเป็นอย่างดี

 

 

หลังจากการแพร่กระจายของข่าวที่ว่าเขตเผิงปู้กำลังจะกลายเป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจ หลิงซานซึ่งมีทำเลที่ตั้งที่ค่อนข้างดีก็ได้รับความนิยมอย่างมาก เจ้านายหลายคนรีบเข้ามาซื้อบ้านทั้งหมดที่สามารถซื้อได้และในที่สุดกระถางสำริดก็จะถูกขุดขึ้นมาที่นี่ ทำให้ทีมโบราณคดีและนักประวัติศาสตร์ก็เข้ามาเปิดม่านการเริ่มต้นค้นพบสถาบันศึกษาหลิงซาน เมื่อถึงตอนนั้นรัฐบาลก็จะเริ่มเข้ามาซื้อบ้านที่เจ้านายหลายคนเป็นเจ้าของคืนในราคาเดิม จากนั้นก็จัดหาถิ่นที่อยู่ใหม่ให้กับชาวบ้านที่เหลืออยู่และเปลี่ยนสถานที่นี้ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทันที

 

 

ชาวบ้านที่เป็นชาวบ้านดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ที่นี่ไม่ว่าจะอยู่ในระดับไหนพวกเขาจะได้รับเงินชดเชยและบ้านที่ตั้งอยู่ที่ถิ่นฐานใหม่ ในระหว่างการเจรจารัฐบาลจะบังคับซื้อคืนทั้งหมดคุณจะได้รับเงินคืนเท่ากับราคาที่คุณจ่ายไปเท่านั้น หากคุณไม่ยอม รัฐบาลก็จะบังคับใช้กฎหมายทันทีและจะทำให้คุณพลาดโอกาสอื่นๆ ในเผิงปู้ไปด้วย

 

 

“ซินเยว่ลองคิดดูอีกทีสิ มันไม่คุ้มค่าหรอกนะที่จะลงทุนที่นี่” จางอี้หนี่มองไปที่หลินปู้ฟานขณะที่เธอพูด

 

 

หลินปู้ฟานยิ้ม “หัวหน้ากู่ ในเผิงปู้ยังมีบ้านและที่ดินอีกมากมายที่คุณสามารถลงทุนได้ อย่าเสียเงินกับที่นี่เลย”

 

 

“พี่หมายความว่ายังไง? พี่ต้องการให้ฉันปล่อยผ่านบ้านหลังนี้ไปแล้วพี่จะซื้อแทนอย่างนั้นเหรอ?” กู่ซินเยว่คิดว่าจางอี้หนี่ต้องการซื้อบ้านหลังนี้และจงใจพูดให้ตัวเองออกไป

 

 

“พี่จะไม่ซื้อที่นี่แน่นอน” จางอี้หนี่พูด

 

 

“ถ้าพี่ไม่ซื้อแล้วพี่มาทำอะไรที่นี่กับเขา พี่กับหัวหน้าซูร่วมมือกันเหรอ?”

 

 

“ซินเยว่พี่ไม่ได้โกหกเธอจริงๆ ลุงซูเองก็ไม่ได้มาที่นี่เพื่อซื้อบ้านหรือที่ดินอะไรทั้งนั้นเพราะในที่สุดที่นี่ก็จะ…”

 

 

หลินปู้ฟานขัดจังหวะจางอี้หนี่ ด้วยสัญญาณมือของเขา

 

 

“หัวหน้ากู่ผมขอพูดอะไรหน่อยนะครับ คุณจะซื้อบ้านหรือที่แถวนี้ไว้อีกก็ได้ แต่ดีที่สุดก็คือคุณต้องใส่ไข่ไว้ในตะกร้าหลายๆ ใบด้วย”

 

 

หลินปู้ฟานหมายความว่าคุณสามารถซื้อที่นี่ได้ แต่คุณก็ต้องซื้อที่อื่นเพื่อที่คุณจะสามารถสร้างรายได้จากที่อื่นๆ ด้วย

 

 

แต่กู่ซินเยว่นั้นไม่ฟังคำพูดของหลินปู้ฟาน ในสายตาของเธอหลินปู้ฟานเป็นเพียงแค่เด็กนักเรียนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเท่านั้น

 

 

ในท้ายที่สุด กู่ซินเยว่ก็ซื้อบ้านในสวนที่กำลังปรับปรุงใหม่ในราคาที่สูงกว่าเจ้าของคนอื่นๆ ถึงสองเท่าและสุดท้ายรัฐบาลก็จะซื้อเธอคืนเท่ากันกับราคาที่กู่ซินเยว่จ่ายไป

 

 

และเธอก็ไม่ได้มีสภาพคล่องอยู่ในมือมากนัก เธอจึงไม่สามารถซื้อบ้านหลังอื่นๆ ในเขตเผิงปู้ได้อีก

 

 

จางอี้หนี่ออกจากหลิงซานหลังจากลังเลอยู่พักหนึ่งเธอก็พูดพูดขึ้นมา “ซินเยว่ดื้อเกินไป”

 

 

“มันไม่ใช่ความดื้อรั้น แต่มันเป็นเพราะเธอไม่เคารพหรือเชื่อใจป้ามากพอที่จะเชื่อคำพูดป้าก็เท่านั้น” หลินปู้ฟานพูดต่อ “ธุรกิจคือสนามรบและการที่เธอไม่เชื่อป้าเธอก็ไม่ได้ทำผิดอะไร.. มาสนใจเรื่องของเรากันต่อเถอะครับ ลุงซูที่ดินด้านหลังภูเขาล่ะ? เป็นยังไงบ้างครับ?”

 

 

“ที่ดินผืนนั้นยังต้องรอตกลงกับคนในหมู่บ้านก่อน ลุงเคยคุยกับพวกเขาหลายครั้งในช่วงหลายวันที่ผ่านมาแล้ว แต่ก็ยังไม่คืบหน้าไปมากเท่าไหร่”

 

 

“ปัญหาคืออะไรเหรอครับ? ราคาสูงเกินไป?”

 

 

“ไม่ใช่เรื่องราคา ปัญหาของมันคือ พวกเขาไม่ยอมให้คนอื่นซื้อที่ดินผืนนั้น พวกเขาต้องการขายให้แค่คนในหมู่บ้านเท่านั้น ไม่ว่าลุงจะพูดยังไงพวกเขาก็ไม่ยอม” ลุงซูพูดอย่างเขินอาย

 

 

จางอี้หนี่เสนอ “งั้นเราก็ไปหาคนในหมู่บ้านสักคนมาเป็นตัวแทนและเข้าไปเจรจาซื้อใหม่อีกรอบ”

 

 

“นั่นล่ะคือปัญหาเพราะเราไม่สามารถหาคนที่จะมาทำเรื่องนั้นได้ พวกเขาต้องการจะเป็นเจ้าของสิทธิ์ของที่ดินตรงนั้นเองทั้งหมด” ลุงซูตอบกลับ

 

 

สิทธิการใช้ที่ดินเมื่อยืนยันชื่อแล้วสิทธิ์ในการใช้ที่ดินนั้นก็จะเป็นของคนๆ นั้น

 

 

“เรื่องนี้มันยืดเยื้อมานานเกินไปแล้ว” หลินปู้ฟานพูดอย่างไม่มีความสุข “ถ้าลุงย้ายทะเบียนเข้าไปในกุ้ยซานก็เท่ากับว่าลุงเป็นคนกุ้ยซานแล้ว เท่านี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”

 

 

“หลานต้องการให้ลุงย้ายไปเป็นคนบ้านนอกเหรอ?” ลุงซูขมวดคิ้ว

 

 

“เหอเหอ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าบ้านนอกที่ลุงกำลังว่าจะได้รับความนิยมมากกว่าคนในเมืองเสียอีก” หลินปู้ฟานกล่าว

 

 

นับตั้งแต่ได้รับการปลดปล่อย ผู้คนในเมืองก็มีความรู้สึกเหนือกว่าคนในชนบทมาโดยตลอด ด้วยชุดความคิดที่ว่าในเมืองนั้นมีความเจริญรุ่งเรืองมากกว่าและผู้คนในชนบทก็เป็นได้เพียงแค่การเกษตรเท่านั้น

 

 

อย่างไรก็ตามการพัฒนาพื้นที่ชนบทใหม่ในอนาคตที่กำลังจะถึงนี้จะสั่นสะเทือนความเชื่อที่ผ่านมาทั้งหมด

 

 

พื้นที่ชนบทบางแห่งได้พัฒนาตัวเองให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ในวันหยุดจะมีนักท่องเที่ยวมากมายที่จะไปเที่ยวชมทั้งบรรยากาศและงานฝีมือ เช่นการทอผ้า

 

 

บางหมู่บ้านได้นำผักและผลไม้จากต่างประเทศมาปลูกในโรงเรือนจนสามารถสร้างกำไรสุทธิได้ปีละหลายล้าน

 

 

เพราะโอกาสในการพัฒนาเขตเมืองนั้นมีไม่มากนัก มันจึงทำให้ทะเบียนบ้านในเขตเมืองนั้นมีความสำคัญน้อยลงเรื่อยๆ

 

 

หลังจากถกเถียงกันสักพัก ลุงซูก็ยอมในที่สุด “ก็ได้ ลุงจะย้ายทะเบียนบ้านของลุงไปที่กุ้ยซาน”

 

 

“มันจะเป็นผลดีกับลุงแน่นอน”

 

 

วันรุ่งขึ้น ลุงซูไปที่เขตเพื่อทำเรื่องย้ายทะเบียนบ้านไปที่กุ้ยซาน

 

 

เขาคิดว่าทุกอย่างจะราบรื่น แต่ก็ผิดคาดเมื่อเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้บอกกับเขาว่ารัฐบาลได้ออกเอกสารที่ระบุว่า ไม่อนุญาตให้ย้ายบ้านไปที่กุ้ยซานอีกแล้ว

 

 

เพราะพื้นที่กำลังจะได้รับการพัฒนา ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นสิ่งมีค่า รัฐบาลจึงออกมาตรการป้องกันเพื่อไม่ให้ใครเข้าไปหาผลประโยชน์

 

 

ลุงซูบอกเรื่องนี้กับหลินปู้ฟานด้วยความหงุดหงิด

 

 

หลินปู้ฟานและจางอี้หนี่มาที่กุ้ยซานอีกครั้ง หลังจากพบกับลุงซูก็พูดเรื่องนี้ซ้ำไปซ้ำมา

 

 

“เสี่ยวหลินในเมื่อตอนนี้ไม่สามารถย้ายเข้ามาได้แล้วเราจะทำยังไงกันดี?” ลุงซูปรึกษา

 

 

หลินปู้ฟานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “ดี ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ผมคงต้องขืนใจลุงสักหน่อยแล้ว”

 

 

“ขืนใจลุง? เธอหมายความว่ายังไง?”

 

 

“หาผู้หญิงโสดสักคนที่อยู่ที่นั่นแล้วทำการแต่งงานปลอมๆ กับเธอซะ!”

 

 

ถ้าแต่งงานแล้วก็จะสามารถย้ายทะเบียนบ้านเข้าไปได้

 

 

“หือ? แต่งงาน?” ลุงซูตกใจ

 

 

“อืม ไม่ใช่ว่าลุงยังโสดเหรอครับ?”

 

 

ลุงซูหย่ากับภรรยาของเขาเมื่อหลายปีก่อน

 

 

“นี่… นี่มันจะฝืนใจกันเกินไปหรือป่าว?” ลุงซูเริ่มอยู่ไม่สุข

 

 

“มันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่อดีตแล้วครับลุง ถ้าหากเราต้องการอะไรที่มีค่า เราก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนที่สมราคา มันเป็นเพียงแค่การแต่งงานปลอมๆ เท่านั้นเมื่อทำทุกอย่างสำเร็จแล้วก็สามารถหย่าได้ ไม่เห็นมีอะไรเสียหายเลยนี่ครับ” หลินปู้ฟานพูดออกมาอย่างจริงจัง

 

 

“จางอี้หนี่ก็ยังโสด ทำไมไม่ให้เธอแต่งงานด้วยล่ะ?” ลุงซูตะโกน

 

 

“เพราะป้าจางเป็นผู้หญิงไงครับ ถ้าป้าแต่งงานอีกครั้ง ป้าก็จะกลายเป็นหญิงมากสามี มันยากที่จะอยู่ในฐานะนั้นได้นะครับลุง” หลินปู้ฟานพูดแบบติดตลก

 

 

“ลุงซูถ้าคุณยอมเสียสละ เมื่อคุณได้รับผลประโยชน์ในตอนท้าย ฉันจะให้คุณเพิ่มอีกเล็กน้อยเพื่อที่คุณจะได้ไม่รู้สึกสูญเสียมากเกินไป ตกลงไหม?” จางอี้หนี่ตอกย้ำเข้าไป

 

 

ลุงซูกัดฟันและตอบตกลงในที่สุด

 

 

ในวันเดียวกันนั้นพวกเขาก็เริ่มค้นหาผู้หญิงที่เหมาะสมสำหรับการพาเข้าบ้าน หลังจากการคัดเลือกมาแล้วพวกเขาก็ได้สรุปเป็นหญิงม่ายคนหนึ่งที่สามีของเธอเสียชีวิตไปแล้ว

 

 

“นี่มันจะไม่โหดร้ายเกินไปหน่อยหรือยังไง?” ใบหน้าของลุงซูกลายเป็นสีดำ

 

 

หลินปู้ฟานอธิบาย “หญิงสาวแบบนี้แหละสมบูรณ์กับแผนการของเราที่สุดแล้ว ลูกก็ไม่มีสามีก็ตายแล้วนี่แหละเหมาะสมที่สุด เพราะถ้าเป็นหญิงสาวคนอื่นๆ พวกเธออาจจะไม่เต็มใจที่จะแต่งงานปลอมๆ กับลุงนะครับ”

 

 

ลุงซูกลายเป็นซึมเศร้า

 

 

“และอีกอย่างทั้งลุงและหญิงม่ายคนนี้ก็อายุพอๆ กัน จะได้คุยกันเข้าใจง่ายด้วยจริงไหมครับ?” หลินปู้ฟานกล่าวเพิ่มเติม

 

 

“แม่ม่ายที่กำลังเหงา และตอนนี้เราก็ส่งสุภาพบุรุษสุดสมบูรณ์แบบไปให้ถึงหน้าประตูบ้านขนาดนี้ เธอต้องดีใจแน่นอน” จางอี้หนี่กลั้นยิ้มแทบไม่ไหว

 

 

ในที่สุดแม่ม่ายก็เป็นตัวเลือกที่ถูกเลือก แต่ลุงซูขอดูตัวก่อน

 

 

มีการตอบกลับในวันรุ่งขึ้นและแม่ม่ายก็ตกลงที่จะพบกับลุงซู

 

 

สถานที่นัดพบตกลงกันว่าจะเป็นโรงแรมจุนหัวที่เป็นโรงแรมของจางอี้หนี่

 

 

ในตอนเย็น ผู้หญิงคนหนึ่งสวมรองเท้าส้นสูงสีแดงและผ้าพันคอสไตล์เกาหลีปรากฏตัวขึ้นที่ทางเข้าโรงแรม ผมสีดำตามธรรมชาติของเธอตกลงมาที่ไหล่พร้อมกับเสื้อเปิดไหล่ กางเกงหนังที่ลัดรูปแสดงให้เห็นถึงรูปร่างโดยรวมแบบเต็มตา ช่างเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์จริงๆ

 

 

ในห้องลุงซูกำลังรู้สึกหดหู่

 

 

จางอี้หนี่พูดติดตลกออกมา “คุณจะถอนหายใจทำไม? นี่เป็นนัดบอดนะ คนสวยของคุณกำลังจะมาในไม่นานนี้แล้ว คุณควรจะมีความสุขสิ”

 

 

“จางอี้หนี่ คุณนี่มันใจร้ายจริงๆ หญิงม่ายในชนบท? แค่คิดก็สามารถเดาหน้าตาของเธอได้แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเงินฉันจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องแบบนี้เด็ดขาด” ลุงซูรู้สึกขุ่นเคือง

 

 

“หัวหน้าซูคุณจะเครียดอะไรขนาดนั้น นี่มันก็เป็นแค่การแต่งงานปลอมๆ เท่านั้นเอง” จางอี้หนี่ไม่ได้รู้สึกอะไร

 

 

“แล้วทำไมเธอไม่ลองหาสามีขี้เหร่ดูบางล่ะ”

 

 

“รอบตัวฉันไม่มีผู้ชายขี้เหร่” จางอี้หนี่ยิ้มให้เขา

 

 

“ยังไม่มีใครเห็นตัวจริงของเธอ บางทีหญิงม่ายคนนี้อาจจะสวยก็ได้ใครจะรู้” หลินปู้ฟานกล่าว

 

 

นัดบอร์ดนี้อธิบายไว้แค่สถานะการณ์เท่านั้น ไม่ได้มีการให้รูปถ่ายให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งดูเลย เพราะยังไงมันก็เป็นแค่การแต่งงานปลอมๆ

 

 

“ไม่จำเป็นต้องเห็นรูป แค่รู้ชื่อก็เดาได้แล้วว่าหน้าตาเธอหน้าเกลียดแค่ไหน” ลุงซูพูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้

 

 

“ชื่อ…” จางอี้หนี่เล่า “หนิงเทียนหนานเป็นชื่อที่… ไม่น่าแปลกใจเลยที่สามารถฆ่าสามีทั้งสองคนที่ผ่านมาได้”

 

 

“ฉะ.. ฉันจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” ลุงซูตื่นตระหนก

 

 

“ลุงแค่แต่งงานปลอมๆ ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกัน ไม่ต้องกลัวหรอกครับ!” หลินปู้ฟานพูดอย่างสบายๆ

 

 

ขณะที่เขากำลังพูดกันอยู่ บริกรก็เดินเข้ามาโดยมีรองเท้าส้นสูงสีแดงเดินตามเข้ามาข้างหลัง

 

 

“เจ้านาย ผู้หญิงคนนี้บอกว่าเธอมาหาหัวหน้าซู” พนักงานเสิร์ฟพูด

 

 

ดวงตาของลุงซูสว่างขึ้น เขาลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว “คุณ… คุณ?”

 

 

“ฉันหนิงเทียนหนานค่ะ” หญิงสาวคนสวยตอบ

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด