อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) – บทที่ 53 คิดแผน

อ่านนิยายจีนเรื่อง อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) ตอนที่ 53 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 53 คิดแผน

 

 

ด้วยความสิ้นหวัง เซี่ยเถิงเฟยได้ลงนามในสัญญา”house-for-house”กับจางอี้หนี่ ข้อตกลงเป็นอาคารเชิงพาณิชย์จำนวน 408 หลัง

 

 

หลังจากกลับมาที่โรงแรมจุนหัว หลินปู้ฟานได้ชงนมให้ซูชิงดื่มด้วยตัวเอง

 

 

“ซูชิง วันนี้เธอทำได้ดีมาก” หลินปู้ฟานยังคงรู้สึกผิดเล็กน้อย เพื่อที่จะชนะการต่อรองการทำธุรกรรมแบบบ้านแลกบ้าน เขาถึงกับทำให้ซูชิงต้องตกอยู่ในอันตราย

 

 

“ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย ทั้งหมดเป็นเพราะแผนของนายต่างหากล่ะ” ซูชิงดื่มนมและถามออกมาอย่างใจเย็น “การใช้บ้านแลกบ้านแบบนี้จะทำเงินให้เราได้เท่าไหร่?”

 

 

หลินปู้ฟานตอบกลับเบาๆ”บ้านเหล่านั้นจะขายได้ในอีก 10 ปีและน่าจะมีมูลค่าอยู่ที่ 1.4 ถึง 1.6 พันล้านหยวน”

 

 

ซูชิงช็อก

 

 

“มันมากขนาดนั้นเลยเหรอ?”

 

 

“ใช่ ในอนาคตอสังหาริมทรัพย์จะกลายเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ทำกำไรได้มากที่สุดในโลก เราสามารถวางแผนและสร้างรูปแบบที่ดีเพื่อจัดการอสังหาริมทรัพย์ต่อไปได้”

 

 

“ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเสี่ยวหลิน” ลุงซูกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

 

ในสำนักงานของประธานเถิงเฟยกรุ๊ป

 

 

“เพร้ง!”

 

 

เซี่ยเถิงเฟยทุ่มแจกันด้วยความโกรธ “หลอกลวงผู้คนมากเกินไป เชิ่งชี่พวกแกรอก่อน ฉันจะทำให้พวกแกทั้งหมดต้องล้มละลาย”

 

 

ในเวลานั้นเซี่ยเสียงเผิงประธานของเถิงเฟยกรุ๊ปก็เดินเข้ามา เขาเป็นลูกชายของเซี่ยเถิงเฟย

 

 

“พ่อ สิ่งที่พ่อขอให้ผมตรวจสอบผมได้พวกมันมาแล้ว ภูเขาแห้งแล้งที่ใหญ่ที่สุดในกุ้ยซานถูกซื้อโดยชายชื่อต้าซู (ลุงซู) และต้าซูก็เป็นผู้ถือหุ้นหลักของบริษัทเชิ่งชี่” เซี่ยเสียงเผิงขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนพูดต่อ “พวกเขากินกุ้ยซานไปหมดแล้ว พวกเราจะทำยังไงต่อดีครับ?”

 

 

หน้าผากของเซี่ยเถิงเฟยกลายเป็นรูป”川” ความโกรธได้เผาไหม้ในอกของเขา

 

 

“ดูเหมือนว่าฉันจะประเมินบริษัทเชิ่งชี่ต่ำเกินไป มุมมองและวิสัยทัศน์ของพวกเขาไม่เหมือนใครจริงๆ มีหลิงซานกลับไม่ลงทุนแต่กลับเลือกไปลงทุนที่ภูเขาแทน ไม่เข้าใจเลยจริงๆ”

 

 

“พ่อ ถ้าเราไม่สามารถซื้อพื้นที่รกร้างนั้นมาได้ ที่อยู่อาศัยเชิงพาณิชย์ของเราก็จะพัฒนาได้แค่ระยะที่สามเท่านั้น เพราะไม่มีสถานที่ที่จะใช้สร้างซูเปอร์มาร์เก็ตตามแผนเดิม”

 

 

แผนของเถิงเฟยกรุ๊ปที่วางไว้สำหรับกุ้ยซานคือ การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 4 เฟสและสร้างซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ใกล้ชุมชน แต่ถ้าหากไม่มีพื้นที่รกร้างในกุ้ยซานอสังหาริมทรัพย์ก็จะพัฒนาได้ดีที่สุดก็แค่เฟส 3 เท่านั้น และจะทำให้การลงทุนครั้งนี้กลายเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ไปในทันที เว้นแต่ว่าจะวางแผนใหม่

 

 

“…” เซี่ยเถิงเฟยขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด

 

 

“พ่อ ตอนนี้หยูเฟยก็ใช้การไม่ได้แล้ว ถ้าเราใช้ให้เขาไปซื้อที่ดินตรงนั้นอีกเขาจะต้องทำไม่สำเร็จแน่นอน”

 

 

หลังจากคิดอยู่พักหนึ่งเซี่ยเถิงเฟยก็ยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “โทรหาหัวหน้าหวังของสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจ”

 

 

ปัจจุบันบริษัทเชิ่งชี่มีแผนกการเงินแคชเชียร์และพนักงานสำนักงานอีกสามคน ทั้งห้าคนถูกย้ายมาจากบริษัทของลุงซูและจางอี้หนี่

 

 

หลินปู้ฟานและจางอี้หนี่พูดคุยกันว่าหลังจากที่จัดการเรื่องที่ดินรกร้างเสร็จพวกเขาจะย้ายบริษัทเชิ่งชี่ไปยังอาคารสำนักงานที่ดีที่สุดในหางโจว จากนั้นจะคัดเลือกคนบางส่วนเพื่อขยายธุรกิจ

 

 

ในวันนี้ เมื่อฟานจื่อหมิงที่ทำงานในสำนักงานของบริษัทเชิ่งชี่ได้รับโทรศัพท์จากสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจ เขาก็รีบไปหาจางอี้หนี่เพื่อบอกว่าใครโทรมาทันที

 

 

หลังจากวางสาย จางอี้หนี่ก็โทรหาหลินปู้ฟาน

 

 

หลินปู้ฟานรีบออกมาจากโรงเรียน หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงเขาก็มาถึงโรงแรมจุนหัว

 

 

สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจได้ออกประกาศให้บริษัทเชิ่งชี่จัดส่งแผนพัฒนาพื้นที่รกร้างภายในสามวัน

 

 

หลินปู้ฟานไม่ได้คาดหวังว่ารัฐบาลจะดำเนินการอย่างรวดเร็วขนาดนี้

 

 

“ไอ้บ้าเอ๊ย มันต้องเป็นเถิงเฟยกรุ๊ปแน่ๆ ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้” ลุงซูพูดอย่างโกรธเกรี้ยวและตบโต๊ะ

 

 

“จิ้งจอกเฒ่าตัวนี้ไม่กลัวว่าเราจะเปิดโปงการลักพาตัวเหรอ?” จางอี้หนี่กอดอกพูดออกมาอย่างเย็นชา

 

 

“ถ้าหากมีการเปิดเผยออกไปการพัฒนากุ้ยซานก็จะล่าช้า อย่าลืมว่าเรากับเถิงเฟยกรุ๊ปอยู่บนเรือลำเดียวกันแล้ว เพราะยิ่งสร้างอาคารพาณิชย์ได้เร็วเท่าไหร่ เราก็จะสามารถปล่อยเช่าได้และทำเงินได้เร็วเท่านั้น”

 

 

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือหลังจากการทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนบ้าน บริษัทเชิ่งชี่และเถิงเฟยกรุ๊ปก็ถือว่ามีผลประโยชน์ร่วมกัน

 

 

และนั่นก็คือเหตุผลที่เซี่ยเถิงเฟยกล้าเคลื่อนไหวแบบนี้

 

 

พื้นที่รกร้างแห่งนั้นครอบคลุมพื้นที่หนึ่งในสามของกุ้ยซาน ตามระเบียบของรัฐบาล การที่จะพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวได้ อย่างน้อยก็ต้องลงทุนไปไม่ต่ำกว่า 400 ล้านหยวน

 

 

และข้อตกลงเดิมที่ลงนามกับคณะกรรมการหมู่บ้านกุ้ยซานนั้นก็ระบุว่าจะมีการพัฒนาภายในสองปี ครั้งนี้เราเจอปัญหาเข้าแล้วจริงๆ

 

 

“มันก็เป็นแค่การพัฒนาไม่ใช่เหรอ? เราก็แค่สร้างสวนสาธารณะหรือไม่ก็ที่จอดรถขึ้นมาก่อนแค่นั้นมันไม่น่าจะเสียค่าใช้จ่ายอะไรมากหรอกใช่ไหม?” ลุงซูกล่าวอย่างไร้เดียงสา

 

 

หลินปู้ฟานยิ้มอย่างขมขื่น “ลุงคิดว่าแผนพัฒนาที่ว่ามานั้นสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจะอนุมัติเหรอ? การลงทุนของเถิงเฟยกรุ๊ปในกุ้ยซานคือ 1.2 พันล้านหยวน ทำให้การพัฒนาของเราอย่างน้อยก็ต้องลงทุนสัก 400 ล้านหยวนต่อครั้ง และหลังจากแผนการพัฒนาได้รับการอนุมัติก็จะมีการตรวจสอบความก้าวหน้าทันที”

 

 

“แล้วเราจะไปหาเงิน 400 ล้านจากที่ไหนมาให้เขาตรวจสอบ?” จางอี้หนี่ยืดร่างกายของเธอ เธอเริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมา

 

 

หลินปู้ฟานลุกขึ้นยืนเดินไปเดินมา

 

 

400 ล้าน อย่างน้อยต้อง 400 ล้าน เราจะเอาเงินมาจากที่ไหนได้บ้าง?

 

 

“ลุงซูคุณมีคอนเน็คชั่นเยอะไม่ใช่เหรอ? คุณพอจะรู้จักใครในสำนักงานเศรษฐกิจบ้างไหม?” จางอี้หนี่ถาม

 

 

“ฉันจะลองดู”

 

 

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

 

คอนเน็คชั่นของลุงซูไม่สามารถชักชวนผู้คนจากสำนักงานเศรษฐกิจได้ สำนักงานเศรษฐกิจกล่าวว่านี่เป็นโครงการที่ใหญ่ที่สุดของคณะกรรมการพรรคและรัฐบาลในรอบ 5 ปี ไม่มีใครสามารถต่อต้านอะไรได้

 

 

วันรุ่งขึ้น หลินปู้ฟานก็มาที่โรงแรมจุนหัวอีกครั้ง ทั้งสามคนช่วยกันคิดหาวิธี

 

 

“ให้ตายเถอะเราจะไปหาเงิน 400 ล้านมาจากที่ไหน? มันเป็นไปไม่ได้เลย ธนาคารไม่มีทางให้เรากู้เงินมากขนาดนั้นแน่นอน”

 

 

“และแม้ว่าเราจะได้เงิน 400 ล้านมา เราก็ไม่มีโครงการอะไรจะไปเสนออยู่ดี เพียงแค่เปิดตัวโครงการมันก็อาจจะทำให้เราโดนถอนสิทธิ์ทั้งหมดได้แล้ว” จางอี้หนี่มองไปที่หลินปู้ฟานด้วยสายตาวิตกกังวล

 

 

หลินปู้ฟานก้มหน้าลงใช้ความคิด

 

 

หลังจากคิดอยู่นานเขาก็ไม่ได้วิธีการอะไรดีๆ เลย

 

 

เหลืออีกแค่ 1 วันเท่านั้น ถ้าหากพวกเขายังไม่ส่งแผนพัฒนาใดๆ ไป รัฐบาลก็จะสามารถยึดคืนพื้นที่รกร้างไปได้ และที่ดินทั้งหมดจะถูกยึดโดยเถิงเฟยกรุ๊ป

 

 

มันจะทำให้ความพยายามที่ผ่านมาทั้งหมดนั้นสูญเปล่าไปในทันที

 

 

ไม่นานฟ้าก็มืดลง พระอาทิตย์ตกไปและแสงไฟจากหลอดไฟก็สว่างขึ้น

 

 

“กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เราไปกินข้าวกันก่อนเถอะ” จางอี้หนี่ลุกขึ้นยืนและไปที่ห้องครัว

 

 

“ผมจะออกไปสูบบุหรี่” หลินปู้ฟานเดินออกมาจากโรงแรม เขายืนรับลมอยู่ข้างนอกและสูบบุหรี่

 

 

รถแล่นไปมาตามท้องถนน พ่อค้าเร่ปั่นสามล้อเพื่อขายผลไม้ตามทางแยกบนถนน มีกองทัพจักรยานที่หยุดรอสัญญาณไฟจราจร

 

 

“ได้โปรด ให้อาหารกับผมสักหน่อยเถอะ ให้ผมได้พออิ่มสักมื้อ ได้โปรด” ในตอนนั้นเอง ชายชราที่ใส่เสื้อผ้าขาดๆ ก็เดินเข้ามาร้องขอกับแคชเชียร์ในโรงแรมจุนหัวพร้อมกับชามที่ดำสนิท

 

 

แคชเชียร์เป็นเด็กผู้หญิงอายุ 18-19 ปี ทันทีที่เธอเห็นขอทานเธอก็ทำหน้าขยะแขยงออกมา “ออกไปซะ! ที่นี่ไม่มีเศษอาหารให้แก”

 

 

“สาวน้อยได้โปรด ผมไม่ได้กินข้าวมาหนึ่งวันเต็มๆ แล้ว” ชายชรามองไปที่อาหารเหลือที่อยู่บนโต๊ะไม่ไกลและขอร้องออกมาอีกครั้ง

 

 

“ของเหลือของเรามีไว้สำหรับคนเก็บกวาด”

 

 

ของเหลือในร้านอาหารจะขายให้กับคนเก็บกวาด คนเก็บกวาดจะเอาของเหลือเหล่านั้นไปเลี้ยงหมู

 

 

“สาวน้อยผมไม่ได้ต้องการมากเกินไป ขอเพียงแค่ไม่กี่คำให้พออิ่มท้องเท่านั้น ได้โปรด” ชายชราที่ใบหน้าปกคลุมไปด้วยริ้วรอยหมอบลงด้วยมือที่เหี่ยวเฉาราวกับกิ่งไม้ที่ตายไปแล้ว

 

 

“ลุง ถ้าลุงจะกินอะไรลุงก็ต้องกินตอนที่มันยังอุ่นๆ อยู่สิ ไม่ใช่ของเหลือ” หลินปู้ฟานทนไม่ไหว เขาพาชายชราไปที่โต๊ะอาหาร เขาไม่สามารถปล่อยให้ชายชราทนหิวต่อไปได้

 

 

ชายชรากลัวเกินไปที่จะนั่งลง “พ่อหนุ่มลุงไม่มีเงินจ่ายหรอก”

 

 

“ทำไมต้องใช้เงิน? ผมจะเลี้ยงลุงเอง” หลินปู้ฟานหันกลับมาและพูดกับเด็กสาวตัวน้อย “เอาหมูตุ๋น ปลานึ่งแล้วก็ไก่ย่างมาอย่างละหนึ่งชาม ฉันจะจ่ายเอง”

 

 

เด็กสาวตัวเล็กมองไปที่หลินปู้ฟาน เธอจะกล้าเก็บเงินจากเขาได้ยังไง “คุณหลินอย่าทำให้ฉันลำบากเลยค่ะ ฉันจะไปบอกให้ห้องครัวทำอาหารมาให้ก่อนนะคะ ขอตัว”

 

 

“ขอบคุณมากหนุ่มน้อย ขอบคุณ” ชายชราหลั่งน้ำตาสองสายจากตาสีขุ่น

 

 

อาหารมาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว

 

 

ชายชรารีบกลืนพวกมันลงไปอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าเขาจะหิวมากจริงๆ

 

 

หลังจากที่ชายชรากินข้าวไปสองชาม หลินปู้ฟานก็ถามเขา “คุณลุงมาอาศัยอยู่บนถนนได้ยังไง? คุณลุงไม่มีลูกเหรอ?”

 

 

คุณลุงเช็ดน้ำตาและพูดออกมาด้วยความเศร้า “ลูกชายสองคนของลุงเสียชีวิตไปแล้วในเหมือง”

 

 

หลินปู้ฟานถอนหายใจ

 

 

ก่อนจะจากกัน หลินปู้ฟานให้เงินติดตัวชายชราไปอีก 1 พันหยวน

 

 

จางอี้หนี่เดินมาจากด้านหลัง “ช่างเป็นชายชราที่น่าสงสาร เขาต้องนอนอยู่บนถนนเย็นๆ และต้องคอยขอทานเพื่อให้มีชีวิตรอดไปวันๆ อย่างน้อยเขาก็ควรจะมีที่พักที่พอจะกันแดดกันฝนได้”

 

 

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ จิตใจของหลินปู้ฟานก็กะพริบด้วยแรงบันดาลใจ

 

 

“เมื่อกี้ป้าพูดว่าอะไรนะ? ช่วยพูดมันอีกครั้งหน่อยครับ” หลินปู้ฟานพูดอย่างตื่นเต้นและจับไปที่มือที่ขาวราวกับหยกของจางอี้หนี่

 

 

จางอี้หนี่หน้าแดงทันทีที่เห็นเช่นนั้น

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด