อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) – บทที่ 13 ผิดพลาด

อ่านนิยายจีนเรื่อง อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) ตอนที่ 13 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 13 ผิดพลาด

 

 

เมื่อซุนหยานพูดแบบนั้นออกมา หลินปู้ฟานกับจางเจี่ยตงกลายเป็นคนโง่ไปในทันที

 

 

เธอหมายความว่าไง?

 

 

ฉันช่วยเธอให้ได้ผู้ชายที่เธอต้องการมา แต่เธอกลับตอบแทนฉันด้วยการสาปแช่ง?

 

 

“ซุนหยานสมองของเธอมีปัญหาหรือไง? ปู้ฟานช่วยให้เธอสมหวัง แต่เธอกลับตอบแทนเขาแบบนี้ได้ยังไง?” จางเจียตงร้องหาความยุติธรรม

 

 

“นาย… นาย…” ซุนหยานโกรธจนพูดไม่ออก ดวงตาคู่สวยของเธอจ้องมาที่เขา

 

 

โจวจื่อหมิงเกาหัวของเขาและพูดออกมาอย่างไร้เดียงสา “ซุนหยานคุณยังไม่ตอบผมเลย คุณต้องการเป็นแฟนกับผมไหม?”

 

 

“เป็นแม่ของแกสิ…” ซุนหยานคำรามเสร็จแล้วหันหลังเดินไปอย่างโกรธๆ

 

 

“เป็นแม่ของฉันเหรอ?” โจวจื่อหมิงตกตะลึง “นี่… นี่เธอชอบพ่อของฉันเหรอ?”

 

 

หลังจากที่ซุนหยานได้ยินคำพูดโง่ๆ นั่น เธอก็เดินจากไปทันที เธอโกรธมากจนแทบจะอาเจียนออกมาเป็นเลือด

 

 

หลินปู้ฟานรีบตามเธอไป

 

 

หลังจากมาถึงถนนฝั่งตรงข้าม ซุนหยานก็หยุดลง

 

 

“ซุนหยาน เธอควรจะพูดออกมาให้ชัดเจนนะว่าทำไมเธอถึงไม่พอใจ?” หลินปู้ฟานเองก็รู้สึกรำคาญเช่นกัน

 

 

ฉันทำตามข้อตกลงแล้วแต่ตอนนี้เธอกลับมาทำแบบนี้?

 

 

“ทำไมนายถึงมาถามฉันว่าเพราะอะไร? ฉันต่างหากที่เป็นฝ่ายต้องถามนาย ว่าที่นายทำแบบนี้นายต้องการอะไร?”

 

 

“โจวจื่อหมิงก็สารภาพรักกับเธอแล้วไม่ใช่เหรอ? นี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการหรือไง?”

 

 

“นาย… สมองนายเน่าไปแล้วหรือไง? ทำไมฉันถึงต้องไปชอบโจวจื่อหมิงด้วย?”

 

 

“ห๊ะ?”

 

 

เห็นได้ชัดว่าซุนหยานไม่ได้ชอบโจวจื่อหมิงเลย แต่เป็นซงเซิ่นฮุยจากภาควิชาดนตรีของสถาบันศิลปะหางโจวต่างหาก และที่เธอเข้าใกล้โจวจื่อหมิงก็เป็นเพราะว่า เธอต้องการให้เขาสอนเกี่ยวกับดนตรีเพียงเท่านั้น

 

 

พอเป็นแบบนั้นเลยทำให้เพื่อนหญิงหลายๆ คนเข้าใจผิดว่าเธอกำลังแอบชอบโจวจื่อหมิงอยู่

 

 

จึงทำให้ข้อมูลที่จางเจี่ยตงได้มาจากเพื่อนร่วมชั้นหญิงผิดพลาดไป

 

 

หลังจากฟังคำพูดของซุนหยาน หลินปู้ฟานก็รู้สึกอายขึ้นมา เขาน่าจะคิดเรื่องนี้ได้ตั้งแต่ตอนที่เขาเห็นโจวจื่อหมิงครั้งแรกแล้ว

 

 

“ฉันต้องขอโทษจริงๆ” หลินปู้ฟานขอโทษ

 

 

ซุนหยานเท้าเอวด้วยความโกรธ “ฉันพูดไม่ออกจริงๆ นายทำให้ฉันดูเป็นคนโง่ขนาดนี้ได้ยังไง? แล้วฉันจะต้องทำตัวยังไงในอนาคต?”

 

 

“นี่ไม่ถือว่าเป็นปัญหาอะไร ฉันจะไปอธิบายกับโจวจื่อหมิงให้เอง ส่วนเธอเองก็กลับไปรอก่อน ฉันสัญญาว่าเธอจะต้องได้ผูกด้ายแดงกับซงเซิ่นฮุยในอนาคตอย่างแน่นอน”

 

 

“นายแน่ใจเหรอ?”

 

 

“แน่นอน เธอสวยขนาดนี้ฉันจะไปคุยกับซงเซิ่นฮุยเอง ฉันจะไปบอกเขาว่าชีวิตของเขากำลังจะพลาดบางสิ่งที่มีค่ามากๆ ไป”

 

 

“ก็ได้! ฉันจะลองให้โอกาสนายอีกครั้ง” หลังจากพูดอย่างนั้นซุนหยานก็หันจากไป

 

 

จางเจี่ยตงเดินเข้ามาหาหลินปู้ฟานหลังจากเห็นซุนหยานจากไป “เป็นไงบ้าง?”

 

 

หลินปู้ฟานจ้องไปที่จางเจี่ยตงและพูด “ไอ้อ้วนยังจะถามอีก ถ้าแกเป็นผู้หญิงแกจะอยากได้คนอย่างโจวจื่อหมิงเป็นแฟนไหมล่ะ?”

 

 

“ไม่แน่นอน!”

 

 

“แล้วนายเชื่อผู้หญิงเหล่านั้นได้ไง?”

 

 

วันต่อมา หลินปู้ฟานตื่นแต่เช้าเพราะเขาต้องไปที่สถาบันศิลปะหางโจว เพื่อสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของซงเซิ่นฮุยเสียก่อน เพื่อที่เขาจะได้คิดหามาตรการรับมือล่วงหน้าได้

 

 

ทันทีที่เดินออกมา เขาก็พบว่าซูชิงยืนรออยู่ที่หน้าบ้าน

 

 

“เป็นไง แปลกใจไหม?” ซูชิงถามด้วยรอยยิ้ม

 

 

“ฉันลืมเรื่องนี้ไปสนิทเลย… ซูชิงฉันต้องขอโทษด้วยจริงๆ วันนี้ฉันมีบางอย่างต้องทำ” หลินปู้ฟานเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า เขารับปากกับซูชิงไว้ว่าวันนี้จะไปกับเธอ

 

 

“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้…”

 

 

“ฉันขอโทษ วันนี้ฉันไม่สะดวกจริงๆ”

 

 

“แล้วนายจะไปไหน?”

 

 

“ฉันจะไปที่สถาบันศิลปะหางโจว”

 

 

“ฉันจะไปกับนาย…”

 

 

ซูชิงรีบแต่งตัวตั้งแต่เช้าเพื่อมารอเซอร์ไพรส์หลินปู้ฟาน

 

 

วันนี้เธอมาพร้อมกับชุดเดรสระบายสีชมพู ผมถูกมัดรวบไว้ด้านหลังอย่างเรียบร้อย ทาลิปสติกแวววาวและกรีดอายไลเนอร์เบาบางพร้อมกับถือกระเป๋าเงินใบเล็กน่ารักที่ดูเข้ากับเธออย่างมาก

 

 

หลินปู้ฟานเกาหัว เขาคิดสักพักและพยักหน้าเห็นด้วย การที่ให้ซูชิงไปด้วยก็ไม่ได้เสียหายอะไร

 

 

ที่สี่แยก ขณะที่ซูชิงกำลังจะเรียกแท็กซี่ แต่ก็ถูกหลินปู้ฟานหยุดไว้ก่อน

 

 

“เราไปด้วยรถเมย์กันเถอะ”

 

 

มีป้ายรถเมย์อยู่ไม่ไกลนักและยังเป็นสายที่ตรงไปยังสถาบันศิลปะหางโจวอีกด้วย

 

 

“ก็ได้.. แล้วแต่นาย”

 

 

คนบนรถเยอะมากซูชิงพยายามเบียดตัวเองเพื่อไปยืนข้างๆ หลินปู้ฟาน

 

 

ทันใดนั้น เธอก็ถูกหลินปู้ฟานดึงตัวของเธอไปไว้ข้างหน้า เพื่อกันกลุ่มคนข้างหลังไม่ให้มีใครมาเบียดเธอ

 

 

รถสั่นและโยกไปมาตลอดทางจนทำให้ซูชิงเกือบจะล้มลงหลายครั้ง

 

 

“กอดฉันไว้” หลินปู้ฟานพูดออกมาเบาๆ

 

 

หน้าของเธอแทบจะมีควันออกมา แค่ได้อยู่ใกล้หลินปู้ฟานขนาดนี้ก็ทำให้เธอเขินจนแทบจะทำอะไรไม่ถูกแล้ว

 

 

“อื้ม…” ซูชิงกอดเอวของหลินปู้ฟานพร้อมกับหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีแดง นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้กอดผู้ชายจึงทำให้เธอทั้งอายและตื่นเต้นมากๆ หัวใจของเธอเต้นแรงและการหายใจของเธอก็ถี่ขึ้น

 

 

“เธอเปลี่ยนครีมอาบน้ำเหรอ?” จู่ๆ หลินปู้ฟานก็ถามขึ้น

 

 

ก่อนหน้านี้เขาเคยได้กลิ่นกุหลาบจากตัวซูชิง แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนเป็นกลิ่นแคนตาลูปแล้ว

 

 

“นายรู้ได้อย่างไง?” ซูชิงถามด้วยความประหลาดใจ

 

 

“เพราะจมูกฉันดีมากเลยยังไงละ โฮ่ง” หลินปู้ฟานหยอก

 

 

“ฮึ! แค่บอกว่านายชอบฉันก็จบ”

 

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า เด็กน้อย” คำพูดของตาลุงที่อยู่ในตัวของหลินปู้ฟานหลุดออกมาอีกครั้ง

 

 

“นายโตมากหรือไง?” ซูชิงมุ่ยหน้าพร้อมกับดอกไม้สีแดงสองดอกที่อยู่บนแก้มของเธอ ทำให้ความน่ารักของเธอเพิ่มขึ้นอย่างมาก

 

 

หลังจากมาถึงสถาบันศิลปะหางโจว เขาก็ได้พบกับคนรู้จักก่อนที่เขาจะได้เข้าไปในสถาบันด้วยซ้ำ

 

 

“ชิงชิง คุณหลิน..”

 

 

เมื่อหลินปู้ฟานหันกลับมาเขาก็เห็นหัวหน้าจ้าวยืนอยู่ข้างหลัง

 

 

คนที่ทักเขาคือจ้าวปิง ชายหัวล้านในวัยสี่สิบที่มาพร้อมกับพุงเบียร์กลมๆ ของเขา เขาเป็นอีกหนึ่งคนที่ถูกเชิญไปในงานวันเกิดของซูชิง

 

 

“ลุงจ้าว ลุงมาทำอะไรที่นี่?” ซูชิงถาม

 

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า… ลุงมาส่งภรรยาน่ะ เธอเรียนอยู่ที่นี่”

 

 

หลินปู้ฟาน มองไปที่โรงเรียนข้างหลังเขาพูดติดตลกว่า “บ้านน้อยคุณลุงอายุห่างกันไม่น้อยเลยนะครับ”

 

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า… ก็อย่างที่คุณหลินเห็น”

 

 

“หัวหน้าจ้าวอย่าเรียกผมว่าคุณเลยมันฟังดูแปลกๆ ต่อไปนี้ให้เรียกผมว่าเสี่ยวหลินจะดีกว่า”

 

 

“ไม่ได้ๆ จะให้ผมเรียกคุณหลินว่าเสี่ยวหลินมันก็ออกจะหยาบคายเกินไป แม้ว่าคุณหลินจะดูเป็นเด็กก็จริง แต่ความความสามารถของคุณหลินนั้นควรได้รับการนับถือ และในอนาคตผมยังอาจจะต้องให้คุณหลินช่วยเหลืออะไรบางอย่างผมอีกด้วย จะให้ผมเสียมารยาทเรียกคุณหลินอย่างนั้นได้อย่างไร” จ้าวปิงคิดที่จะเรียนรู้เรื่องธุรกิจจากหลินปู้ฟาน เพื่อสร้างรายได้มากขึ้น

 

 

“แต่ถ้าหัวหน้าจ้าวยังเรียกผมว่าคุณหลินอีก ผมจะทำเป็นไม่รู้จักคุณแน่นอน”

 

 

“แต่จะให้ผมเรียกคุณหลินว่าเสี่ยวหลินมันก็จะดูไม่เคารพคุณเกินไป”

 

 

“ถ้าอย่างนั้นเรียกผมว่าน้องชายหลินก็ได้”

 

 

“ตกลง”

 

 

“ลุงจ้าวเลือกที่ได้ดี ที่นี่เต็มไปด้วยเด็กสาวสวยๆ ทั้งนั้น”

 

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า แน่นอนๆ ภรรยาลุงต้องไม่ธรรมดาอยู่แล้ว มาเถอะลุงจะเอารูปของภรรยาที่แสนน่ารักของลุงให้ดู” จ้าวปิงอยากจะอวด เขาหยิบกล้อง Canon ออกมาจากรถและเปิดรูปให้หลินปู้ฟานดู

 

 

เด็กสาวในภาพสวยไม่น้อยเลย

 

 

“ฮิฮิ น้องชายหลินชอบไหม? ถ้าน้องชายหลินชอบลุงจะแนะนำให้สักคน” จ้าวปิงหลอกล่อ

 

 

“คุณลุงจ้าว… คุณต้องการจะเจอปัญหา?” สายตาของซูชิงที่อยู่ข้างๆ จ้องมองไปที่รูปด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ “ไม่เห็นจะสวยตรงไหนเลย!”

 

 

เมื่อพูดจบ เธอก็ดึงหลินปู้ฟานจากไปทันที

 

 

จ้าวปิงตะโกนตามมาจากด้านหลังพวกเขา “น้องชายหลิน ถ้าคุณมีเวลาโทรหาลุงนะ เราจะได้ทานอาหารเย็นด้วยกัน”

 

 

หลังจากเข้ามาในสถาบัน ซูชิงยังคงอารมณ์เสียอยู่ “คนๆ นี้พยายามชักชวนนายไปในทางที่ผิด นายไม่ควรคุยกับเขาอีกในอนาคตเข้าใจไหม?”

 

 

หลินปู้ฟานยิ้ม เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้ดูน่ารักจริงๆ เมื่อเธอโกรธ

 

 

สถาบันศิลปะก่อตั้งขึ้นในปี 1970 เป็นสถาบันขนาดใหญ่แห่งที่ 2 ของจีนที่นักเรียนส่วนใหญ่จะเน้นศึกษาไปทางด้านศิลปะ ผู้ชายที่ไว้ผมยาวและผู้หญิงที่แต่งตัวตามสมัยนิยมในยุคนี้สามารถเห็นได้ทั่วไปที่นี่ บางคนถึงขนาดถือกีต้าร์ไปไหนมาไหนด้วย

 

 

“ฉันชอบที่นี่นะ” หลินปู้ฟานกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

 

“นายมาหาใครที่นี่? ผู้หญิงใช่ไหม?” ซูชิงถาม

 

 

“ฉันมาหาผู้ชาย”

 

 

“หึ! หาผู้ชายก็ดีไป”

 

 

“โอเคงั้นฉันจะไปหาผู้หญิง”

 

 

“ไม่” ซูชิงจ้อง

 

 

หลังจากเดินไปได้สักพักซูชิงก็บอกว่าเธออยากไปห้องน้ำ เธอจึงถามคนแถวนั้นและเดินไปที่ห้องน้ำที่อยู่ใกล้ๆ

 

 

หลินปู้ฟานรู้สึกเบื่อเมื่อต้องรออยู่เฉยๆ เขาจึงเดินไปดูห้องเรียนรอบๆ จนเมื่อเขาเดินไปถึงห้องเรียนห้องสุดท้ายเขาก็หยุดลง

 

 

มีคนสองคนอยู่ในห้อง ชายหนึ่งและหญิงหนึ่งทั้งสองกำลังจูบกัน

 

 

เมื่อทั้งสองห่างออกจากกัน หลินปู้ฟานก็สะดุ้งทันที

 

 

“เด็กคนนี้ไม่ใช่ภรรยาน้อยของหัวหน้าจ้าวหรอกเหรอ? ทำไมเธอถึงจูบกับชายอื่น?”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด