อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) – บทที่ 27 หัตถศาสตร์ (วิชาดูลายมือ)

อ่านนิยายจีนเรื่อง อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) ตอนที่ 27 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 27 หัตถศาสตร์ (วิชาดูลายมือ)

 

 

หลินปู้ฟานเดินเข้าไปในบ้านของจางซินหยู

 

 

บ้านเก่าหลังนี้มีเพียง 1 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่นไม่มีเตาไม่มีห้องครัว ส่วนห้องน้ำที่ด้านในมืดสนิทไม่มีหน้าต่างเป็นแบบประตูเปิดเข้าไปด้านในที่เชื่อมต่อกับห้องนั่งเล่น

 

 

ในห้องนั่งเล่นมีโซฟาแบบเก่าต่อติดกันสามตัวพร้อมกับมีกองเสื้อผ้าที่ยุ่งเหยิงกองอยู่บนโซฟา นอกจากนี้ยังมีโต๊ะรับประทานอาหารที่มีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสองสามซองวางอยู่

 

 

หลินปู้ฟานคร่ำครวญในใจ ชีวิตของเธอไม่ง่ายเลย

 

 

“ดื่มชาก่อน” จางซินหยูรินถ้วยชาให้หลินปู้ฟาน

 

 

“ขอบคุณครับ”

 

 

“ห้องรกหน่อยนะคะ” จางซินหยูยิ้มอย่างเขินอายและพยายามใช้มือเรียวบางปัดเพื่อปกปิดความทุกข์ยากของชีวิตของเธอ

 

 

“ห้องของแมวน้อยผู้โดดเดี่ยวก็แบบนี้แหละครับ ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกอะไร”

 

 

จางซินหยูรู้สึกขบขัน “นายนี่ตลกมากจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่พี่สาวเคยได้ยินคำเปรียบเปรยแบบนี้”

 

 

“คุณจะได้ยินคำแบบนี้บ่อยขึ้นในอนาคต เพราะเจ้าของคานทองส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนั้น”

 

 

“เจ้าของคานทอง.. นายหมายถึงคนที่บ้านรวยเหรอ?”

 

 

“ไม่ เจ้าของคานทองที่ผมหมายถึงคือผู้หญิงที่มีอายุเกิน 30 แล้วยังเป็นโสดอยู่ ส่วนผู้หญิงที่อายุเกิน 40 แล้วยังเป็นโสดอยู่ก็จะถือว่าเป็นเจ้าของคานทองที่ยิ่งใหญ่กว่า”

 

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า ตลกจริงๆ”

 

 

จู่ๆ จางซินหยูก็รู้สึกว่าเธอเริ่มจะมีความประทับใจให้กับเด็กผู้ชายคนนี้จริงๆ แล้ว ผู้หญิงส่วนใหญ่มักชอบผู้ชายมีอารมณ์ขัน

 

 

ที่ไนต์คลับเมื่อลุงซูเห็นว่าหลินปู้ฟานถูกใจจางซินหยู เขาจึงให้เงินจำนวนหนึ่งแก่จางซินหยูและขอให้เธอไปกับหลินปู้ฟาน นี่คือสาเหตุที่จางซินหยูขอให้หลินปู้ฟานมาส่งเธอที่บ้าน

 

 

“น้องชาย พี่สาวขอไปอาบน้ำก่อนนะ” หลังจากที่จางซินหยูพูดเบาๆ เธอก็หยิบเสื้อผ้าและเดินเข้าไปในห้องน้ำที่มืดมิด

 

 

แต่หลินปู้ฟานมองเห็นว่ามันเป็นสีชมพู

 

 

หลินปู้ฟานเกาหัว เขารู้สึกว่าช่วงเวลาแห่งความสุขกำลังจะมาถึง

 

 

หลินปู้ฟานเดินเข้าไปในห้องนอนที่เปิดโล่งขณะที่จางซินหยูกำลังอาบน้ำ ภายในห้องนอนมีทีวี ตู้เสื้อผ้า เตียงนอนและตุ๊กตาปิ๊กก้าจูที่วางอยู่บนเตียง

 

 

เขาเหลือบไปเห็นซองยาที่วางอยู่บนหลังทีวี หน้าซองนั้นเขียนว่า จาง เพศชาย อายุ 52 ปี

 

 

หลินปู้ฟานนึกถึงรายการสัมภาษณ์รายการหนึ่งขึ้นมา ในตอนนั้นพิธีกรสัมภาษณ์จางซินหยูหลังจากที่เธอมีชื่อเสียงแล้ว พิธีกรถามถึงสาเหตุที่จางซินหยูขอดรอปการเรียนในสมัยที่เธอยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยจนทำให้เธอไม่ได้รับประกาศนียบัตรจากทางวิทยาลัย จางซินหยูตอบว่าเธอมีเหตุผลบางอย่างแต่เธอก็ไม่ได้ตอบว่าเหตุผลนั้นคืออะไร

 

 

ดูเหมือนว่าพ่อของจางซินหยูจะป่วย เธอจึงต้องหยุดเรียนและไปทำงานที่ไนต์คลับ

 

 

อนิจจาชีวิตมักกลั่นแกล้งคนเช่นนี้

 

 

เมื่อมองไปที่บันทึกทางการแพทย์หลินปู้ฟานก็คิดถึงแม่ของเขา

 

 

หัวใจหลินปู้ฟานอ่อนลง

 

 

“หือ? หนังสือเล่มนี้” หลินปู้ฟานเห็นหนังสือเล่มหนึ่งวางอยู่ใต้ตู้ทีวี เขาหยิบหนังสือ”คู่มือนักแสดง”ออกมา

 

 

ปรากฎว่าจางซินหยูเริ่มพยายามที่จะเป็นแสดงแล้ว แต่ทำไมหนังสือถึงได้กองอยู่ใต้ทีวีล่ะ? เธอยอมแพ้งั้นเหรอ?

 

 

เมื่อจางซินหยูอาบน้ำเสร็จ เธอก็เดินออกมาพร้อมกับกระโปรงสั้นสีขาว

 

 

ในชีวิตก่อนหน้านี้ หลินปู้ฟานเคยจินตนาการถึงฉากนี้หลายครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยคิดว่ามันจะเกิดขึ้นกับเขาจริงๆ

 

 

“คืนนี้น้องชายอยากนอนที่นี่ด้วยกันไหม?” จางซินหยูกัดริมฝีปากของเธออย่างเขินอาย

 

 

หลินปู้ฟานไม่ตอบคำถาม แต่กลับถามคำถามกลับไปแทน “คุณไม่คิดจะเป็นดาราบ้างเหรอ?”

 

 

“ฉันไม่ได้มีความสามารถขนาดนั้นหรอก”

 

 

“คุณมี” หลินปู้ฟานยก”คู่มือนักแสดง”ขึ้นมา “ผมเชื่อว่าคุณจะต้องเป็นดาราได้แน่นอน”

 

 

จางซินหยูหัวเราะกับตัวเองและพูดว่า “ฉันแค่อ่านมันเล่นๆ เท่านั้น ฉันรู้ตัวว่าฉันไม่ได้มีพรสวรรค์ขนาดนั้น”

 

 

“อย่าดูถูกตัวเอง”

 

 

“ฉันไม่มีพรสวรรค์ขนาดนั้นจริงๆ” จางซินหยูถอนหายใจและนั่งลงบนขอบเตียง “ในตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก ตอนทีฉันเห็นดาราในทีวี ฉันก็ใฝ่ฝันที่จะเป็นดารามาโดยตลอด แต่มันก็คงเป็นได้แค่ความฝันเท่านั้น”

 

 

“คุณจะรู้ได้ยังไงถ้าคุณไม่เคยลอง?”

 

 

“แล้วจะลองยังไง?”

 

 

“คุณสามารถไปที่เหิงติงได้ ที่นั่นเป็นแหล่งรวมสังคมของเหล่าผู้กำกับและนักแสดงมากมาย คุณดูดีมากและยังเต็มไปด้วยอารมณ์ของผู้ใหญ่จะต้องมีผู้กำกับใหญ่ๆ มองเห็นแววของคุณอย่างแน่นอน”

 

 

ในความเป็นจริงจุดเริ่มต้นของความเป็นดาราของจางซินหยูเริ่มขึ้นเมื่อเธอถูกผู้กำกับใหญ่บางคนจับตามอง

 

 

“ที่นั่นมีผู้หญิงที่หน้าตาดีอยู่มากมาย ถึงฉันจะไปที่นั่นมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก”

 

 

หลินปู้ฟานก้มหน้าคิด “ผมพอดูลายมือเป็นอยู่บ้าง ผมจะดูให้คุณฟรีๆ”

 

 

“ลองดูสิ” จางซินหยูยิ้มและยื่นมือเล็กๆ ออกไป

 

 

หลินปู้ฟานเก๊กและมองไปที่มือก่อนจะพูดว่า “คุณเคยจมน้ำตอนอายุ 14 แต่โชคดีที่พี่ชายข้างบ้านของคุณมาช่วยไว้ได้ ต่อมาคุณสารภาพรักกับพี่ชายคนนั้นแต่ก็ถูกปฏิเสธ คุณก็น่าจะมีน้องชายแต่ว่าเขาก็เสียไปตั้งแต่อยู่ในครรภ์ได้เพียง 5 เดือนเพราะแม่ของคุณประสบอุบัติเหตุล้มลงและแท้งเด็กคนนั้นและนั่นยังทำให้แม่ของคุณไม่สามารถมีลูกได้อีกต่อไปด้วย คุณเป็นคนที่เรียนดีมากแต่ก็ต้องลาออกมาทำงานตอนที่เรียนอยู่ปี 2 เพราะพ่อของคุณล้มป่วย…”

 

 

ข้อมูลทั้งหมดนี้ออกจากปากของจางซินหยูเองในรายการสัมภาษณ์ที่ว่านั้น หลินปู้ฟานจึงรู้ว่าความเป็นมาของเธอเป็นอย่างไร

 

 

หลังจากพูดจบ ปากของจางซินหยูก็เปิดกว้างเธอจ้องไปที่หลินปู้ฟานด้วยสายตาประหลาดใจ

 

 

“คุณ… คุณ… คุณเป็นเทพเจ้า?” จางซินหยูกล่าวด้วยความเหลือเชื่อ

 

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า… นี่เป็นเพียงความสามารถทั่วไปเท่านั้นครับ” หลินปู้ฟานยิ้มอ่อนๆ เขายืนขึ้นและแตะหัวของจางซินหยู “จางซินหยู ผมรู้ว่าคุณรู้สึกน้อยใจมาตั้งแต่ยังเด็ก เพราะพ่อของคุณอยากจะได้ลูกผู้ชายเขาจึงไม่สนใจคุณเลย และในตอนนี้ตอนที่พวกเขาแก่ชราและล้มป่วย คุณก็ยังต้องลาออกจากการเรียนเพื่อมาดูแลเขา ผมรู้ว่าคุณเคยคิดที่จะไม่สนใจชีวิตเขาและหนีไปอยู่ที่อื่น แต่ก็เพราะความเป็นคนดีของคุณคุณถึงไม่ได้ทำอย่างนั้น การที่คุณยอมสละโอกาสในชีวิตเพื่อกลับมาดูแลครอบครัวเป็นสิ่งที่ดีแล้ว แต่เชื่อผมเถอะว่าทั้งหมดนี้จะผ่านไปจนมันจะเป็นเพียงแค่ฉากหนึ่งในชีวิตของคุณเท่านั้น ในอนาคตคุณจะกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงอย่างแน่นอน คุณจะเป็นราดาที่ดีและได้แต่งงานกับผู้ชายที่รักคุณจริงๆ”

 

 

จิตใจของจางซินหยูอ่อนไหว น้ำตาเอ่อล้นออกมาจากดวงตาของเธอ “ทำไมคุณถึงรู้จักชื่อของฉันด้ว…”

 

 

“มันก็ความความสามารถทั่วไป อย่าไปสนใจมันเลย นี่ก็ดึกมากแล้วผมคงต้องขอตัวก่อน” หลินปู้ฟานยิ้มและเดินออกไปจากบ้าน

 

 

หลังจากหลินปู้ฟานจากไปจางซินหยูก็ร้องไห้ออกมา ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเธอต้องคอยต่อสู้กับหลายสิ่งหลายอย่างด้วยคนเดียวมาโดยตลอด แม้ว่าจะมีผู้ชายบางคนเข้ามาปลอบโยนเธอบ้างแต่ก็ไม่มีใครเลยที่เข้าใจเธอเหมือนกับหลินปู้ฟาน

 

 

โชคชะตาช่างน่าพิศวง หากหลินปู้ฟานไม่ปรากฏตัวจางซินหยูอาจจะต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าที่เธอจะเริ่มต้นเข้าสู่เส้นทางนักแสดง

 

 

วันรุ่งขึ้น หลินปู้ฟานไปรับรางวัล 12 ล้านหยวนที่ได้จากการพนันบอล หลังจากหักภาษี 20% แล้วยังเหลือ 8.6 ล้านหยวน

 

 

เงิน 8.6 ล้านหยวนถูกมอบให้หลินปู้ฟานในรูปแบบของเช็ค หลินปู้ฟานฝากเงินไว้ในธนาคารจากนั้นก็โอนเงิน 3 ล้านหยวนให้จางอี้หนี่

 

 

เมื่อจัดการธุรกรรมเสร็จ หญิงสาวจากธนาคารก็หว่านเสน่ห์ใส่หลินปู้ฟานเพื่อให้เขาซื้อกองทุนกับเธอ โดยบอกว่าเขาจะได้ดอกเบี้ยถึง 3.5% ต่อปี

 

 

หลินปู้ฟานยิ้ม “ในเวลาหนึ่งปีผมสามารถหาเงินได้หลายร้อยล้านดอลลาร์หรือมากกว่านั้นจากการใช้เงินจำนวนนี้ไปลงทุน มีเพียงคนธรรมดาเท่านั้นที่คิดจะใช้ดอกเบี้ยเพื่อเพิ่มทรัพย์สินให้ตัวเอง ในสายตาของพี่สาวสายผมดูเหมือนคนธรรมดาขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”

 

 

ก่อนที่เขาจะออกจากธนาคารหญิงสาวก็ยัดเยียดนามบัตรของเธอให้หลินปู้ฟานและยังบอกว่าเธอสามารถไปทานกาแฟกับเขาได้ทุกเมื่อ

 

 

หลินปู้ฟานเดินออกไปข้างนอกและโยนนามบัตรทิ้งอย่างไม่ใยดี เขาไม่ชอบผู้หญิงแบบนี้

 

 

ในตอนบ่าย ลุงซูมารับหลินปู้ฟานที่โรงเรียน

 

 

ทั้งสองไปที่โรงน้ำชา ลุงซูได้โอนเงิน 7 ล้านไปยังบัญชีของหลินปู้ฟานต่อหน้าหลินปู้ฟาน

 

 

“หลานทำเงินให้ลุง 20 ล้านหลังจากหักผลเสียของลุงและหนี้ของหลานก็เท่ากับว่าจะได้คนละ 8 ล้านถูกไหม?” ลุงซูพูดด้วยรอยยิ้ม

 

 

“ขอบคุณครับลุงซู”

 

 

“ไม่ๆ ลุงต่างหากล่ะที่ต้องขอบคุณ ถ้าไม่ได้หลานลุงคงต้องเสียเงินถึง 2 ล้านไปฟรีๆ แล้วตอนนี้ แถมตอนนี้นอกจากจะไม่เสียแล้วลุงยังได้เงินมาตั้ง 8 ล้าน”

 

 

“ยังไงผมก็ต้องขอบคุณคุณลุงเพราะเงินเดิมพันที่ผมเอามาก็เป็นเงินของคุณลุง”

 

 

“อ่าๆ เรื่องขอบคุณเอาไว้เท่านี้ก่อน ลุงว่าหลานต้องไปหาซื้อโทรศัพท์ก่อนนะ ลุงติดต่อหลานยากมากจริงๆ”

 

 

“ผมมีโทรศัพท์แล้วครับ”

 

 

ตอนเที่ยงซูชิงมอบโทรศัพท์มือถือให้กับหลินปู้ฟาน หลินปู้ฟานไม่ต้องการที่จะรับมันในตอนแรกซูชิงจึงบอกกับเขาว่าโทรศัพท์เครื่องนี้เป็นรางวัลจากจางอี้หนี่ หลินปู้ฟานจึงยอมรับมันไว้

 

 

ในตอนเย็น หลินปู้ฟานไปที่อินเทอร์เน็ตคาเฟ่ เขาพยายามหาช่องทางติดต่อของโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์อีกครั้ง เขาต้องการส่งแม่ของเขาไปรักษาตัวที่นั่น

 

 

แต่เงินเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ เขาต้องให้ทางโรงพยาบาลค้ำประกันให้เพื่อออกใบประกันสุขภาพสำหรับการส่งตัวผู้ป่วยไปต่างประเทศ

 

 

ใบประกันสุขภาพประเภทนี้จะต้องออกโดยคณบดีของโรงพยาบาลประจำจังหวัดเท่านั้น

 

 

แต่ปัญหาคือ เขาไม่รู้จักคณบดีคนไหนเลย

 

 

หลังจากคิดถึงเรื่องนี้ หลินปู้ฟานก็โทรหาซุนหว่านหมินและบอกว่าเขาต้องการพบคณบดี

 

 

ซุนหวั่นหมินบอกว่าคณบดีออกไปทำธุระอยู่และถ้าคณบดีกลับมาเขาจะถามให้ว่าจะให้เข้าพบได้ไหม

 

 

ไม่กี่วันต่อมา

 

 

จางอี้หนี่ ลุงซูและหลินปู้ฟานก็มาดูโรงงานที่อยู่ในเขตเผิงปู้ซึ่งเป็นโรงงานที่เจียงเฟิงจำนองไว้กับจางอี้หนี่

 

 

หลังจากเดินดูหนึ่งรอบ หลินปู้ฟานพูดว่า “ถ้าเราสร้างห้างสรรพสินค้าที่นี่ได้ มันจะทำเงินให้เราได้ไม่น้อยเลย”

 

 

สถานที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของห้างสรรพสินค้าในอนาคต

 

 

“การจะสร้างห้างสรรพสินค้าต้องใช้เงินไม่น้อยเลยนะ” ลุงซูนับนิ้วของเขา “อย่างน้อยก็ 300 ล้านหยวน”

 

 

“ไม่ต้องรีบร้อน เมื่อพื้นที่แถวนี้ได้รับการพัฒนา ในตอนนั้นมันจะไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะยื่นเรื่องกู้และจัดหาเงินทุน” หลินปู้ฟานกวาดตามองไปรอบๆ “ก่อนอื่นเราต้องพยายามกว้านซื้อที่ดินในเผิงปู้ให้ได้มากที่สุดก่อน เพราะถ้ารัฐบาลประกาศเขตที่จะได้รับการพัฒนาออกมาเมื่อไหร่ ราคาของมันจะต้องพุ่งขึ้นอย่างแน่นอน”

 

 

“ซื้อให้เยอะที่สุด?” จางอี้หนี่ถามด้วยความประหลาดใจ

 

 

มูลค่าอสังหาริมทรัพย์จะร้อนแรงอย่างมากหลังจากปี 2000 ราคาที่อยู่อาศัยจะพุ่งทยานขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 3 เมืองชั้นนำอย่างหยานจิง เซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น

 

 

ไม่เพียงแค่ในจีนเท่านั้น แต่ในหลายๆ ประเทศราคาที่อยู่อาศัยจะพุ่งสูงขึ้นเช่นกัน ตราบใดที่คุณมีเงินซื้อคุณก็จะได้กำไรแน่นอน

 

 

“ต่อไปเราจะไปดูที่เขตพื้นที่อยู่อาศัย ในอนาคตที่นั่นจะมีราคาสูงสุดในเผิงปู้”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด