อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) – บทที่ 15 Old Boys

อ่านนิยายจีนเรื่อง อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) ตอนที่ 15 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 15 Old Boys

 

 

“พี่สาวลู่ ผมเป็นห่วงคุณจริงๆ ที่คุณจะต้องแบ่งเวลาไปให้คนนั้นทีคนนี้ทีแบบนี้ แล้วอย่างนี้คุณจะเอาเวลาที่ไหนไปร่วมงานเดินแบบได้อีก? ผมว่าคุณน่าจะยกตำแหน่งนี้ให้กับพี่สาวหลัวไปน่าจะดีกว่านะครับ” หลินปู้ฟานตบไหล่ลู่เฉียวเฉียวและพูดด้วยใบหน้าชั่วร้าย “คนอย่างผมไม่รังเกียจหรอกนะที่จะฉีกคุณออกเป็นชิ้นๆ”

 

 

“นาย… นายกำลังขู่ฉัน?” ลู่เฉียวเฉียวขมวดคิ้ว

 

 

“จะขู่หรือไม่คุณต้องคิดเอาเอง คุณคงไม่ต้องการให้เรื่องฉาวโฉ่ของคุณถูกเผยแพร่ไปในเว็บไซต์ของวิทยาลัยหรอก ใช่ไหม?”

 

 

“นาย…” ลู่เฉียวเฉียวกัดฟัน

 

 

“แต่ผมว่าไหนๆ คุณก็อยากดังอยู่แล้วนี่ เป็นแบบนี้มันก็ไม่น่าจะเสียหายอะไรนะจริงไหม?”

 

 

ลู่เฉียวเฉียวเกือบจะระเบิดอารมณ์ออกมา แต่เธอก็หยุดไว้ได้ก่อน

 

 

“ก็ได้ฉันตกลง”

 

 

ลู่เฉียวเฉียวกลับไปบอกกับผู้อำนวยการหลี่ว่าเธอไม่สามารถเข้าร่วมได้แล้ว เนื่องจากเธอป่วยและขอร้องให้เขารับหลัวเสี่ยวเสี่ยวกลับเข้ามาแทนที่ของเธอ ผู้อำนวยการหลี่ไม่เข้าใจแต่ในเมื่อมันเป็นความต้องการของลู่เฉียวเฉียว เขาก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ให้หลัวเสี่ยวเสี่ยวกลับมาร่วมทีมเหมือนเดิม

 

 

หลังจากการซ้อมจบลง หลัวเสี่ยวเสี่ยวก็พาหลินปู้ฟานและซูชิงไปที่โรงอาหารเพื่อทานอาหารกลางวัน

 

 

ในขณะที่ทั้งสามกำลังทานอาหารอยู่ หลัวเสี่ยวเสี่ยวก็พูดออกมาอย่างสงสัย “ลู่เฉียวเฉียวเป็นอะไร? ทำไมอยู่ๆ เธอถึงขอสละสิทธิ์เอง”

 

 

“พี่ไม่ต้องสนหรอกว่าเพราะอะไร เพราะยังไงตอนนี้พี่ก็ได้เข้าร่วมงานนี้ตามที่พี่ต้องการแล้ว จริงไหม?” หลินปู้ฟานพูดพร้อมกับข้าวเต็มปาก

 

 

“ก็จริง”

 

 

เมื่อทั้งสามทานอาหารไปได้ไม่นาน ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งที่ดูเร่งรีบวิ่งเข้ามาทางพวกเขา

 

 

“เสี่ยวเสี่ยวตอนนี้ซงเซิ่นฮุยกำลังแย่แล้ว เธอต้องไปโรงยิมตอนนี้เลยนะ” นักศึกษาหญิงตัวเล็กพูดอย่างกังวล

 

 

สมองของหลินปู้ฟานส่งเสียงอื้ออึง ซงเซิ่นฮุย!

 

 

“เกิดอะไรขึ้น?” หลัวเสี่ยวเสี่ยวถามอย่างกังวล

 

 

“บ่ายนี้สมาชิกคนหนึ่งในวงของซงเซิ่นฮุยบอกว่าต้องการจะลาออกและจะย้ายไปอยู่กับวงของหลิวเฟยหยางแทน”

 

 

“เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง?” หลัวเสี่ยวเซียวทิ้งตะเกียบและรีบวิ่งไปที่โรงยิม

 

 

หลินปู้ฟานและซูชิงรีบตามไป

 

 

เมื่อมาถึงห้องฝึกซ้อมของโรงยิม พวกเขาก็ได้ยินเสียงคนกำลังทะเลาะกัน

 

 

“อาฮุย ฉันรู้ว่าฉันไม่ควรละทิ้งนายไปในเวลานี้ แต่ผู้คนย่อมต้องการไปที่ที่สูงขึ้นและฉันก็เชื่อว่าถ้าหากฉันไปอยู่กับหลิวเฟยหยางฉันจะสามารถไปได้ไกลกว่านี้ ฉันได้ฟังเพลงของหลิวเฟยหยางมาแล้วและฉันเชื่อว่าในการแข่งขันที่ใกล้จะถึงนี้ นายไม่มีทางเอาชนะเขาได้แน่นอน” เด็กผู้ชายสวมแจ็คเก็ตกับกางเกงยีนส์ขาดๆ พูดออกมา

 

 

ชายกางเกงยีนส์ขาดๆ คนนี้ถือเบสอยู่ในมือ เขาคงจะเป็นมือเบสของวงดนตรีวงนี้

 

 

“เจ้าลิง พวกเราสร้างวงดนตรีนี้มาด้วยกันตั้งแต่สมัยม.ปลาย เราเป็นเหมือนพี่น้องกันไม่ใช่เหรอ? แล้วนายจะทิ้งฉันไปอย่างนี้นายไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือไง?” ซงเซิ่นฮุยพูดด้วยความรู้สึกเสียใจ

 

 

เจ้าลิงเงยหน้าขึ้น เขากัดฟันและถอนหายใจ “อาฮุย นายก็รู้ว่าฉันฝันมาตลอดชีวิตว่าฉันจะต้องเป็นส่วนหนึ่งของวงดนตรีชื่อดังให้ได้และหลังจากที่ฉันติดตามนายมาหลายปี มันก็ทำให้ฉันรู้ว่านายไม่สามารถพาฉันไปถึงจุดนั้นได้ ไม่มีใครจะมาหยุดความฝันของฉันไว้ได้ ต่อให้คนคนนั้นเป็นนายก็ตาม!”

 

 

หลังจากพูดจบเจ้าลิงก็หันหลังและเดินจากไป

 

 

หลัวเสี่ยวเสี่ยวคว้าคอเสื้อของเจ้าลิงและตะโกน “เจ้าลิงนายจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”

 

 

“เสี่ยวเสี่ยว… ปล่อยฉันเถอะ” เจ้าลิงไม่กล้าสบตากับหลัวเสี่ยวเสี่ยว

 

 

“ถึงครอบครัวของฉันและซงเซิ่นฮุยจะด้อยกว่าหลิวเฟยหยาง แต่การที่นายมาทรยศต่อศรัทธาของพวกเราแบบนี้… นายยังเป็นคนอยู่หรือป่าว?” หลัวเสี่ยวเสี่ยวตะโกนด้วยความโกรธ

 

 

“ฉันขอโทษ!” เจ้าลิงผลักหลัวเสี่ยวเสี่ยวออกและวิ่งออกไป

 

 

ซงเซิ่นฮุยทรุดลงกับพื้นด้วยหัวใจที่ปวดร้าว

 

 

ดูเหมือนว่าฉันจะไม่เหมาะกับการทำเพลงจริงๆ

 

 

เขาเริ่มสงสัยในความสามารถของตัวเองและเริ่มตั้งคำถามว่าความฝันทางดนตรีของเขามันยังมีทางเป็นไปได้หรือเป็นแค่เพียงเรื่องเพ้อฝันเท่านั้น

 

 

ข้างหลังของซงเซิ่นฮุยเป็นเด็กผู้หญิงที่แต่งตาแบบสโมกกี้อาย เธอยืนอยู่ถัดจากเปียโนอิเล็กทรอนิกส์

 

 

นอกจากนี้ยังมีเด็กผู้ชายผมสั้นไว้หนวดไว้เคราและโพกผ้าคลุมศีรษะที่นั่งอยู่ข้างๆ กลองชุด ทั้งสองคนดูเศร้าไม่ต่างกัน

 

 

“เสี่ยวฮุยอย่าเพิ่งท้อนะแค่ขาดมือเบสไปคนเดียว มันไม่ได้แปลว่านายจะต้องแพ้ซะหน่อย ด้วยความสามารถของนาย ฉันเชื่อว่าการทดสอบบ่ายนี้นายต้องชนะแน่นอน” หลัวเสี่ยเสี่ยวปลอบโยน

 

 

ซงเซิ่นฮุยก้มหน้าลงเงียบๆ..

 

 

“เสี่ยวเหยา หัวซาน พวกเธอสองคนก็ด้วยอย่าเพิ่งยอมแพ้นะ” หลัวเสี่ยวเสี่ยวตะโกนให้กำลังใจทั้งสองหวังว่าทั้งสองจะยืนหยัดและอยู่กับซงเซิ่นฮุยต่อไป

 

 

เสี่ยวเหยาและหัวซานกลับเงียบไม่ตอบอะไร ในใจของพวกเขารู้ดีว่าการทดสอบในครั้งนี้ พวกเขาจะต้องแพ้อย่างแน่นอน

 

 

พ่อแม่ของซงเซิ่นฮุยเป็นชนชั้นสูงในสังคม พ่อของเขาเป็นทนายความและแม่ของเขาก็เป็นถึงผู้จัดการธนาคาร

 

 

ตั้งแต่เด็กพ่อแม่ของเขาคอยฝึกฝนซงเซิ่นฮุยให้มีความสามารถพิเศษในสายงานธุรกิจมาโดยตลอด โดยที่พวกเขาไม่เคยได้คาดคิดมาก่อนเลยว่าซงเซิ่นฮุยจะเลือกก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งดนตรี

 

 

ตอนเรียนมัธยมซงเซิ่นฮุยเคยปกปิดพ่อแม่ของเขาเพื่อไปลงสมัครเข้าสอบในสาขาศิลปะและกว่าพ่อแม่ของเขาจะรู้มันก็สายไปแล้ว พวกเขาจึงต้องจำใจปล่อยให้ซงเซิ่นฮุยให้เรียนในสาขาดนตรี แต่มีข้อแม้ว่าซงเซิ่นฮุยจะต้องชนะในการแข่งขันร้องเพลงมหาวิทยาลัยครั้งใหญ่ให้ได้ หากว่าเขาทำไม่ได้เขาก็ต้องล้มเลิกความฝันทางดนตรีทั้งหมด

 

 

แต่ตอนนี้แม้แต่โอกาสที่จะชนะการทดสอบก็ยังไม่มีเลยแล้วเขาจะไปชนะการแข่งขันครั้งใหญ่ได้ยังไง

 

 

เมื่อนึกถึงสิ่งที่เขาพยายามทำมาทั้งหมด เขาเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองและน้ำตาของเขาก็เริ่มไหลลินออกมา

 

 

เสี่ยวเหยาตอกบุหรี่ออกมาและจุดสูบ “อาฮุยพอเถอะ บางทีพวกเราอาจจะไม่เหมาะกับเส้นทางสายนี้จริงๆ”

 

 

เสี่ยวเหยาไม่ได้มีความฝันที่ยิ่งใหญ่อะไรมากมาย หลังเรียนจบเธออยากเป็นเพียงแค่ครูสอนดนตรีเท่านั้น

 

 

“เห็นแล้วใช่ไหมว่าเรามันคนละระดับกัน” เด็กชายตัวสูงผมยาวหน้าตาดีเดินเข้ามา เขามองต่ำมาที่ซงเซิ่นฮุยด้วยสีหน้ามีชัย

 

 

“หลิวเฟยหยางนายมาทำอะไร? ที่นี่ไม่ต้อนรับนาย ออกไป!” หลัวเสี่ยวเสี่ยวพูดออกมาอย่างโกรธเคือง

 

 

“สมองของเธอมีปัญหาหรือไงหลัวเสี่ยวเสี่ยว? ที่นี่ไม่ใช่บ้านของเธอนะ” หลิวเฟยหยางมองไปที่ซงเซิ่นฮุยอย่างดูถูก “ซงเซิ่นฮุยฉันจะบอกอะไรนายให้อย่างนะ นายรู้ไหมว่าการที่นายแพ้ไปอย่างนี้น่ะมันดีที่สุดแล้ว เพราะฉันเคยฟังเพลงที่นายแต่ง… มันห่วยแตกสุดๆ ไปเลยว่ะ! ฉันกลัวว่าถ้านายเอาเพลงนี้ขึ้นไปร้องบนเวทีจริงๆ มันจะทำให้เพื่อนๆ ของนายอับอายขายหน้าเปล่าๆ”

 

 

“หลิวเฟยหยางหุบปากของแกไปเลย!” หลัวเสี่ยวเสี่ยวตะโกนด้วยความโกรธ

 

 

“จึๆ ซงเซิ่นฮุย นายเองก็มีหน้าตาดีพอใช้ได้นะ ทำไมนายไม่ไปลองเป็นคาวบอยในบาร์เกย์ดูละ? ฉันว่ามันน่าจะทำเงินให้นายได้ไม่น้อยเลยนะ”

 

 

“ไอ้เวรนี่…” หลัวเสี่ยวเสี่ยวผลักหลิวเฟยหยาง

 

 

“ฮ่าฮ่า ก็ได้ๆ.. ฉันไปแล้วก็ได้” หลิวเฟยหยางจากไป

 

 

“เสี่ยวฮุยอย่าไปฟังคำพูดของหมอนั่นเลย นายต้องเอาชนะเขาได้แน่นอน เชื่อฉันสิ!” หลัวเสี่ยวเสี่ยวพูดพร้อมกับจับไหล่ซงเซิ่นฮุย

 

 

“อาฮุย การแข่งขันกำลังจะเริ่มขึ้นในตอนบ่าย ไม่ว่ายังไงพวกเราก็จะต้องไปลงแข่ง” มือกลองกล่าว

 

 

หลังจากนั้นไม่นานซงเซิ่นฮุยก็ลุกขึ้น “เอาล่ะ เรามาพยายามด้วยกันเถอะ”

 

 

ซงเซิ่นฮุยเป็นมือกีต้าร์โดยมีหัวซานเป็นมือกลองและเสี่ยวเหยาเป็นคีย์บอร์ด พวกเขาเริ่มซ้อมเพลง”หมี่เซียง”ที่พวกเขาช่วยกันแต่งอีกครั้ง

 

 

“บนถนนว่างเปล่าไร้ซึ่งผู้คน มักมีหญิงสาวมายืนรอเสมอ…” ซงเซิ่นฮุยร้องขณะเล่นกีตาร์

 

 

หลินปู้ฟานแตะคางของเขาและตั้งใจฟัง

 

 

“มัน… ธรรมดามากๆ” ซูชิงอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา

 

 

หลินปู้ฟานยิ้มอย่างขมขื่นและคิดในใจ: มันก็เป็นอย่างที่เธอพูดจริงๆ เพลงนี้แต่งออกมาได้… ธรรมดามาก มันไม่ได้มีลูกเล่นดึงดูดอะไรเลย แทบไม่แตกต่างอะไรจากการฟังพระสวดเลย

 

 

ซงเซิ่นฮุยถือว่าเป็นคนที่มีเสียงที่ดีคนหนึ่ง เสียงสูงของเขาสามารถโดดเด่นออกมาจากเสียงเบสได้

 

 

ในระหว่างที่กำลังซ้อมกันอยู่ จู่ๆ ซงเซิ่นฮุยก็หยุดลง

 

 

“พอเถอะทุกคน เราไม่จำเป็นต้องซ้อมกันอีกแล้วล่ะ” ซงเซิ่นฮุยสูญเสียความมั่นใจ

 

 

“เสี่ยวฮุย พยายามอีกหน่อยเถอะ นายต้องทำได้แน่นอน” หลัวเสี่ยวเสี่ยวให้กำลังใจ

 

 

“ฉันคงไม่เหมาะกับถนนสายนี้จริงๆ” หลังจากพูดแบบนั้นน้ำตาของซงเซิ่นฮุยก็ไหลออกมาช้าๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนพูดว่าเขาไม่เหมาะกับเส้นทางสายนี้ ก่อนหน้านี้ก็มีหลายๆ คนดูถูกเขามาตลอดและก็ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเรื่องจริงซะด้วยสิ ด้วยความสามารถแค่นี้การที่จะชนะการประกวดระดับประเทศมันคงเป็นไปไม่ได้

 

 

“เสี่ยวฮุย” เมื่อเห็นซงเซิ่นฮุยร้องไห้ หลัวเสี่ยวเสี่ยวกัดริมฝีปากของเธอและดวงตาของเธอก็ชุ่มชื่นขึ้นมาเช่นกัน

 

 

หลินปู้ฟานถอนหายใจและค่อยๆ เดินไปหยิบกล่องเปียโนไฟฟ้าสำรองที่อยู่ข้างห้องขึ้นมา เขาเสียบปลั๊กไฟ ต่อแจ็คเสียงแล้วนั่งลง “บนถนนแห่งความสำเร็จเส้นทางไม่เคยง่ายเลย แต่เพียงแค่เราเดินไปเรื่อยๆ ซ้ำๆ ความสำเร็จนั้นต้องเป็นของเราแน่นอนสักวัน คุณจะยอมแพ้และทิ้งทุกๆ สิ่งที่พยายามมาตลอดเพียงเพราะแค่เสียคนในวงไปเพียงแค่คนเดียวนี่… ความฝันของคุณมันอ่อนแอขนาดนั้นเลยหรือยังไง? เขาว่ากันว่าในยามที่เราเป็นเด็กความฝันของเรานั้นมีค่าดั่งทองคำ แต่เมื่อเราโตขึ้นและแก่ชราลงความฝันของเราจะเป็นได้เพียงน้ำตาเท่านั้น…”

 

 

ซงเซิ่นฮุยมองไปที่หลินปู้ฟาน เขาขมวดคิ้ว “คุณต้องการจะทำอะไร?”

 

 

“ร้องเพลงไง ดูไม่ออกเหรอ?”

 

 

ไม่นานเสียงโหมโรงของเพลง “Old Boys” ก็ดังก้องไปทั่วทั้งโรงยิมที่ว่างเปล่า…

 

 

~นั่นคือคนที่ผมแอบรักอยู่ทุกวันคืน

 

 

~ผมจะบอกความในใจออกไปอย่างไร

 

 

~เธอจะรับรักผมบ้างไหม

 

 

~บางทีอาจไม่มีวันที่จะได้เอ่ย “คำนั้น” กับเธอ

 

 

~ชะตากำหนดให้แยกย้ายไปสุดฟ้า

 

 

~จะให้เหลือความผูกพันอันใด

 

 

~ความฝัน มักจะอยู่ไกลเกินไขว่คว้า

 

 

~ผมควรที่จะปล่อยมันไปใช่ไหม

 

 

~ใบไม้ผลิ ใบไม้ร่วงผ่านไปอีกฤดู

 

 

~แล้ววสันตฤดู(วันที่สมหวัง)เล่า วันใดจะมาถึง

 

 

~วัยหนุ่มสาวคล้ายดั่งสายน้ำเชี่ยวกราก

 

 

~ไปแล้วไปลับ ไม่ทันได้ร่ำลา

 

 

~หลงเหลือเพลงตัวผมที่เฉื่อยชา ไร้สิ้นไฟฝันดั่งวันเก่าก่อน

 

 

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด