อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) – บทที่ 16 อย่าไปเลยได้ไหม

อ่านนิยายจีนเรื่อง อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) ตอนที่ 16 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 16 อย่าไปเลยได้ไหม

 

 

“~ความใฝ่ฝันเมื่อแรกเริ่มของคุณสำเร็จแล้วหรือยัง หรือหรือว่าคุณจะทิ้งมันไป” เนื้อเพลงกระแทกใจซงเซิ่นฮุย

 

 

“ชายชรา” เป็นเพลงที่สื่อถึงความฝันและความผันผวนของชีวิต

 

 

หลังจากที่หลินปู้ฟานร้องเพลงจบ ทุกๆ คนก็จ้องมองมาที่เขาเป็นเวลานาน พวกเขายังคงตกอยู่ในภวังค์แห่งเสียงเพลง

 

 

เมื่อเวลาผ่านไปเสี่ยวเหยาเริ่มปรบมือออกมาเป็นคนแรก “นี่เป็นเพลงที่ดีมากที่สุดที่ฉันเคยฟังมาเลย เพลงนี้จะฝังแน่นเข้าไปในจิตใจของผู้คนได้อย่างแน่นอน”

 

 

“เด็กคนนี้มีพรสวรรค์ด้านนี้จริงๆ..” หลัวเสี่ยวเสี่ยวพูดพร้อมกับปรบมือ

 

 

ชูซิงรู้สึกประหลาดอย่างใจมาก

 

 

เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าหลินปู้ฟานจะร้องเพลงได้ไพเราะขนาดนี้!

 

 

ซงเซิ่นฮุยพูดออกมาหลังจากได้สติ “เพลงนี้มีชื่อว่าอะไร?”

 

 

“ชาย… ชรา”

 

 

“ชายชรา? ทำไมฉันไม่เคยได้ยินมันมาก่อนเลย? ฉันจะหาซื้อเทปมาฟังได้จากที่ไหน?”

 

 

“Old Boy”เป็นภาพยนตร์ที่จะเปิดตัวในปี 2010 และเพลง”ชายชรา”ก็เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ซงเซิ่นฮุยจะไม่เคยได้ยินเพลงนี้

 

 

หลินปู้ฟานยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “คุณต้องไม่เคยฟังเพลงนี้มาก่อนแน่นอนอยู่แล้ว เพราะนี่เป็นเพลงที่ผมแต่งขึ้นมาเอง”

 

 

หลินปู้ฟานเคยทำวงดนตรีสมัยที่เขาอยู่ในวิทยาลัยและเขาก็มีทักษะในการเล่นและร้องเพลงเป็นอย่างมาก

 

 

“คุณเป็นคนแต่งเพลงนี้เอง?” ซงเซิ่นฮุยเสี่ยวเหยาและคนอื่นๆ ตกตะลึง

 

 

“คุณเป็นใครกันแน่?” หัวซานนึกขึ้นมาได้ว่าเขาไม่เคยเห็นหลินปู้ฟานมาก่อน

 

 

หลัวเสี่ยวเสี่ยวรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อแนะนำหลินปู้ฟานและหลินปู้ฟานก็แนะนำซูชิงอีกที

 

 

สมาชิกของวงแต่ละคนก็เริ่มแนะนำตัวเอง

 

 

“คุณเป็นคนที่น่าทึ่งมากๆ ผมเชื่อว่าคุณจะต้องมีอนาคตที่ดีแน่นอน” ซงเซิ่นฮุยรู้สึกอิจฉา “การทำดนตรีมันขึ้นอยู่กับความสามารถจริงๆ”

 

 

“ใช่ เนื้อเพลงนี้มันดีมากๆ มันได้เข้ามาถึงในหัวใจของฉันเลย” เสี่ยวเหยามองไปที่หลินปู้ฟาน

 

 

หัวซานนึกถึงเพลง”Old Boys”ที่พึ่งได้ฟังไปเมื่อครู่แล้วพูดออกมา “จังหวะของเพลงนี้ก็ดีมากๆ เช่นกัน โดยเฉพาะในท่อนคอรัสที่เป็นเสียงแหบกับเนื้อเพลงที่เป็นเหมือนกับการถามจิตวิญญาณของตัวเอง มันช่าง… สวยงาม”

 

 

หลินปู้ฟานยิ้ม “ถ้าผมเอาเพลงนี้เข้าร่วมการประกวด มันจะพอมีความหวังที่จะเอาชนะหลิวเฟยหยางได้ไหม?”

 

 

“ได้แน่นอน!”

 

 

“แน่นอนที่สุด”

 

 

“นายเอาชนะไอ้นั่นได้แน่”

 

 

“ผมจะให้พี่ฮุยร้องเพลงนี้ส่วนเบสปล่อยให้เป็นหน้าที่ผม พี่คิดว่าไง?” หลินปู้ฟานพูด

 

 

“ได้จริงๆ เหรอ?” ซงเซิ่นฮุยเริ่มตื่นเต้น “แต่นี่คือเพลงของคุณ จะให้พวกเราจะเอาไปใช้ได้ยังไง?”

 

 

“ถึงผมจะเก็บเพลงนี้ไว้มันก็ไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์”

 

 

ในช่วงบ่าย การแข่งขันร้องเพลงถูกจัดขึ้นในหอประชุม มีวงดนตรีและนักร้องเดี่ยวหลายคนเข้าร่วม ที่นั่งแถวหน้าคือคณะกรรมการและครูของโรงเรียน และด้านหลังก็มีที่นั่งหลายร้อยที่ที่เต็มไปด้วยนักศึกษา

 

 

ด้านหลังเวที

 

 

ซงเซิ่นฮุยและคนอื่นๆ กำลังเตรียมตัวสำหรับขั้นตอนสุดท้ายก่อนขึ้นแสดง

 

 

เนื้อหาของเพลง”Old Boys”ไม่ได้จดจำยากนัก หลินปู้ฟานใช้เวลาแค่ไม่นานในการเขียนโน้ตเพลงและเนื้อเพลงออกมา

 

 

“ซงเซิ่นฮุยดูเหมือนว่านายต้องการที่จะทำให้ตัวเองอับอายจริงๆ สินะ?” หลิวเฟยหยางเปิดประตูห้องรับรองและพูดอย่างเยาะเย้ย

 

 

ที่หลิวเฟยหยางไม่พอใจซงเซิ่นฮุยก็เพราะว่าผู้หญิงที่เขาชอบนั้นไปชื่นชอบซงเซิ่นฮุย มันจึงทำให้เขาไม่พอใจอย่างมาก

 

 

“หลิวเฟยหยาง ไม่แน่ว่าคนที่จะแพ้อาจจะเป็นนายก็ได้นะ ใครจะรู้” ซงเซิ่นฮุยกล่าวอย่างมั่นใจ

 

 

“หึ! อย่าคุยโตให้มากเกินไป” หลิวเฟยหยางยิ้มอย่างดูถูก ดวงตาของเขากวาดมองไปที่หลินปู้ฟานที่กำลังปรับตัวให้ชินกับเบสอยู่ “เหอะๆ ไม่คิดว่าจะหามือเบสคนใหม่ได้เร็วขนาดนี้ นายชื่ออะไร?”

 

 

ดวงตาของหลินปู้ฟานหลี่ลงและมองไปที่หลิวเฟยหยาง “เราไม่จำเป็นต้องรู้จักกันและคุณไม่มีค่าพอที่จะรู้จักผม”

 

 

“ก็ดี! ฉันจะคอยดูว่าหลังจากที่แกแพ้การแข่งครั้งนี้ แกจะทำหน้ายังไง”

 

 

สิบนาทีต่อมาก็ถึงรอบของซงเซิ่นฮุยที่จะต้องขึ้นแสดง

 

 

ก่อนหน้านี้ทีมของหลิวเฟยหยางได้คะแนนไป 90 คะแนนและได้รับเสียงปรบมือเยอะมาก

 

 

“วงต่อไปที่จะขึ้นมาร้องก็คือ “Sparkle Band” ที่มาพร้อมกับเพลง ชายชรา” พิธีกรกล่าวบนเวที

 

 

ซงเซิ่นฮุยหายใจเข้าลึกๆ “ทุกคนไปกันเถอะ”

 

 

เมื่อเสียงดนตรีของเพลงชายชราดังขึ้น ดวงตาของกรรมการทั้งหมดก็สว่างขึ้นทันที

 

 

แม้ว่าเขาจะฝึกร้องเพลงนี้ได้ไม่นาน แต่ซงเซิ่นฮุยก็ร้องเพลงนี้ออกมาได้ดีพอสมควร อาจจะเป็นเพราะว่าความหมายของเพลงชายชรานั้นเป็นเช่นเดียวกับชีวิตของซงเซิ่นฮุย เขาถึงได้สื่ออารมณ์ของความฝัน ความปรารถนา ความสูญเสียและความลังเลใจออกมาได้อย่างลึกซึ้ง

 

 

หากยังมีวันพรุ่งนี้ ผมขออวยพรให้คุณ…อันเป็นที่รัก

 

 

เพลงนี้ก้องกังวานในหัวใจของทุกคน

 

 

ครูสอนดนตรีอายุ 50 ปีที่เป็นหนึ่งในคณะกรรมการถอดแว่นออกและเช็ดน้ำตา ความฝันของเขาคือการเป็นร็อคสตาร์ แต่เขาก็ทำมันไม่สำเร็จ

 

 

หลังจากที่เพลงจบลง หอประชุมก็ระเบิดออก…

 

 

เสียงปรบมือดังขึ้นอย่างล้นหลาม

 

 

ทุกๆคนลุกขึ้นยืน

 

 

“น่าทึ่ง น่าทึ่งมากๆ”

 

 

“น่าประทับใจจริงๆ”

 

 

“ความฝันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ฉันเกือบลืมมันไปแล้ว”

 

 

“ชีวิตที่ผ่านมาเป็นดั่งมีดแกะสลักไร้ปราณี ที่หั่นเฉือนจนพวกเราล้วนเปลี่ยนแปลงไป… ท่อนนี้มันช่างกินใจ”

 

 

“คนที่ผมเคยรักในวันนั้น วันนี้คุณเป็นอย่างไรบ้าง….”

 

 

98 คะแนน

 

 

พวกเขาจบด้วยคะแนนสูงสุด

 

 

หลิวเฟยหยางยืนตกตะลึงอยู่หลังเวที นี่คือเพลงของพวกเขาจริงๆ เหรอ? ก่อนหน้านี้มันไม่ใช่เพลงนี้นี่?

 

 

เจ้าลิงแอบออกไปร้องไห้ เขารู้สึกละอายใจที่ได้ละทิ้งพี่ชายของเขาในเวลาที่เขากำลังลำบาก

 

 

พี่ฮุย พี่ร้องเพลงได้ดีจริงๆ ผมไม่น่าทำแบบนั้นกับพี่เลย

 

 

ทุกอย่างจบลงด้วยการที่ซงเซิ่นฮุยได้เป็นตัวแทนของวิทยาลัยในการแข่งขันร้องเพลงระดับเขตที่กำลังจะจัดขึ้น

 

 

กลับเข้ามาในห้องฝึก ซงเซิ่นฮุยจับมือหลินปู้ฟานอย่างขอบคุณ หลัวเสี่ยวเสี่ยวพุ่งถลาเข้ามาจากด้านหลังและกระโดดขี่หลังของซงเซิ่นฮุย

 

 

“เสี่ยวฮุย นายอย่าได้ยอมแพ้ในอนาคต เข้าใจไหม?”

 

 

“แน่นอน”

 

 

“เอ่อ…” หลินปู้ฟานลังเลอยู่สองสามครั้งก่อนที่จะถาม “คุณสองคนเป็นอะไรกัน?”

 

 

หลินปู้ฟานนั้นต้องการให้ซงเซิ่นฮุยไปคบกับซุนหยาน แต่ดูแล้วความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลัวเสี่ยวเสี่ยวนั้นจะไม่ธรรมดา

 

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า น้องหลินนายอิจฉาเหรอ?” หลัวเสี่ยวเสี่ยวหันหลังให้ซงเซิ่นฮุย “ไม่ต้องห่วงไป พี่สาวคนนี้จะไม่ยอมให้น้องชายตัวน้อยที่น่ารักของพี่ต้องเดียวดายแน่นอน พี่อนุญาตให้นายเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของฮาเร็มพี่ได้”

 

 

“เธอกำลังพูดเรื่องอะไร ปู้ฟานไม่มีทางไปเป็นฮาเร็มเธอแน่นอน” ซูชิงแก้มป่องไม่พอใจ

 

 

“เธอกำลังหึงอยู่เหรอ? อ๊าาา น่าร๊ากกกกเกินไปแล้วววว” หลัวเสี่ยวเสี่ยวบีบแก้มของซูชิง

 

 

“ง่าาา~ ง่าาา…” ซูชิงส่ายหัวและปัดมือของหลัวเสี่ยวเสี่ยวออก

 

 

ซงเซิ่นฮุยยิ้ม “ลูกพี่ลูกน้อง อย่าแกล้งเธอเลย”

 

 

“ลูกพี่ลูกน้อง?” หลินปู้ฟานถึงกับผงะ “หลัวเสี่ยวเสี่ยวเป็นลูกพี่ลูกน้องของคุณ?”

 

 

“ใช่”

 

 

“เฮ้อ… ค่อยยังชั่ว” หลินปู้ฟานกังวลว่าหลัวเสี่ยวเสี่ยวและซงเซิ่นฮุยจะเป็นคู่รักกัน เพราะมันจะเป็นเรื่องยากที่จะพูดเรื่องซุนหยาน “พี่ฮุย ผมมีอะไรจะถามคุณ”

 

 

หลินปู้ฟานและซงเซิ่นฮุยเดินออกจากห้องไป พวกเขาเดินไปตามทางเดินในสวนของมหาวิทยาลัย

 

 

“ที่ผมเดินทางมาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อมาหาพี่โดยเฉพาะ…” หลินปู้ฟานพูดสิ่งที่เตรียมมา “ผมรู้ว่าความรู้สึกมันไม่สามารถบังคับกันได้ แต่ผมต้องการให้พ่อของซุนหยานมาเป็นหมอประจำตัวให้แม่ของผมจริงๆ เพราะแบบนั้นผมจึงมาขอให้พี่ฮุยช่วย”

 

 

ซงเซิ่นฮุยหัวเราะจนลักยิ้มทั้งสองข้างปรากฏออกมา ดวงตาที่ลึกล้ำของเขาจ้องมองไปที่ท้องฟ้า…

 

 

ซงเซิ่นฮุยจะไปที่ถนนเซี่ยงจี่เพื่อเล่นกีตาร์และแสดงงานศิลปะของเขาในทุกๆ คืนของวันเสาร์และซุนหยานก็ได้พบกับซงเซิ่นฮุยที่นั่น

 

 

~โชคชะตาช่างเหมือนกับสะพานที่มีคุณและฉันยืนอยู่ตรงข้ามกัน

 

 

ซุนหยานตกหลุมรักซงเซิ่นฮุยตั้งแต่แรกพบ

 

 

อารมณ์เศร้าบวกกับเพลงที่แสนเศร้าทำให้ซุนหยานหลงไหล

 

 

หลังจากเฝ้าสังเกตอยู่นานก็ทำให้ซุนหยานได้รู้ว่าซงเซิ่นฮุยจะมาเล่นกีตาร์ที่นี่ทุกคืนวันเสาร์ ในทุกๆ เสาร์ซุนหยานก็จะไปที่ถนนเซี่ยงจี่เพื่อรอดูซงเซิ่นฮุยร้องเพลง เธอจะเป็นคนแรกที่ไปและเป็นคนสุดท้ายที่จากไปเสมอ

 

 

มีครั้งหนึ่งที่ฝนตกหนักทำให้ซงเซิ่นฮุยออกไปร้องเพลงไม่ได้และนั่นก็ทำให้ซุนหยานต้องยืนรอเขาจนถึง 5 ทุ่ม แต่เขาก็ไม่มา

 

 

สัปดาห์ต่อมา ซงเซิ่นฮุยมาปรากฏตัวบนถนนเซี่ยงจี่อีกครั้ง เขายังคงจำได้ว่าในคืนนั้นเขายังคิดอยู่เลยว่าทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงยังไม่มา? เพราะปกติเธอน่าจะมาก่อนเขาเสมอ

 

 

หลังจากเล่นไปได้ครึ่งชั่วโมงซุนหยานปรากฏตัวขึ้นมา ในตอนนั้นเธอมาพร้อมกับแมสปิดปากและร่างกายที่ดูอ่อนแอ

 

 

“คุณ… ในที่สุดคุณก็มา” ซุนหยานถอดหน้ากากของเธอออก เธอหอบหายใจพร้อมกับรอยยิ้มที่พึงพอใจบนใบหน้า

 

 

“โอ้ วันเสาร์ที่แล้วฝนตกหนักมากผมเลยมาไม่ได้ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ครับ”

 

 

“ฉันรู้..”

 

 

ซงเซิ่นฮุยตกตะลึง “วันนั้นคุณมาที่นี่?”

 

 

“ใช่ คืนนั้นฉันมารอคุณทั้งคืน แต่คุณก็ไม่ได้มา” ในคืนนั้นหลังจากซุนหยานกลับไปเธอก็เป็นไข้หนัก แม้ว่าจะผ่านมาหนึ่งสัปดาห์แล้ว แต่ไข้ของเธอก็ยังไม่หายดี

 

 

ในตอนนั้น เมื่อได้ยินอย่างนั้นซงเซิ่นฮุยรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในใจของเขา

 

 

หลังจากที่ฟังสิ่งที่ซงเซิ่นฮุยพูด หลินปู้ฟานก็พูดว่า “แสดงว่าพี่ฮุยก็ถูกใจเธออยู่เหมือนกันใช่ไหม?”

 

 

“ก็แน่สิ ยัยเด็กนั่นออกจะน่ารักขนาดนั้น”

 

 

“แล้วทำไมพี่ไม่คบกับเธอ?”

 

 

“โถ่ นายก็น่าจะเห็นว่าวันๆ พี่อยู่แต่กับการเพลง ไหนจะต้องแต่งเพลงไหนจะต้องซ้อมอีก แล้วอย่างนี้พี่จะเอาเวลาไหนไปคบกับใครได้?”

 

 

“โถ่เอ้ย ทำไมพี่ถึงได้เป็นคนที่โง่อะไรได้ขนาดนี้ ถ้าหากพี่ไม่มีความรักแล้วพี่จะแต่งเพลงให้เพราะได้ยังไง? พี่รีบไปคบกับเธอเดี๋ยวนี้เลยนะ”

 

 

เสาร์ต่อมา ซงเซิ่นฮุยมาเล่นดนตรีที่ถนนเซียงจี้อย่างเคย และห่างออกไปจากข้างหน้าของเขาประมาณ 10 เมตรก็มีซุนหยานที่กำลังกำลังยืนมองมาที่เขาอย่างอ่อนโยน

 

 

เมื่อถึง 4 ทุ่มคนที่ถนนเริ่มจะหมดแล้ว ซงเซิ่นฮุยจึงหยุดร้องและเริ่มเก็บอุปกรณ์

 

 

ซุนหยานเดินเข้ามาและพูดกับเขาอย่างเศร้าๆ “นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันได้มาฟังคุณร้องเพลงแล้ว ฉันกำลังจะไปเรียนต่อที่อเมริกาในสัปดาห์หน้าแล้ว”

 

 

ซุนหยานยื่นมือออกไปพร้อมกับดวงตาของเธอที่กระพริบด้วยเสน่หาและความไม่เต็มใจ “ก่อนที่ฉันจะไปคุณช่วยจับมือกับฉันสักสักครั้งจะได้ไหม?”

 

 

ซงเซิ่นฮุยกุมมือที่ไร้ที่ติของซุนหยานอย่างอ่อนโยน

 

 

“อย่าไปเลยนะ” ซงเซิ่นฮุยดึงซุนหยานเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขน

 

 

ซุนหยานรู้สึกประหลาดใจ เธอสั่นราวกับลูกกวางน้อยที่กำลังหวาดกลัว “คุ… คุณพูดว่าอะไรนะ?”

 

 

“ผมบอกว่า อย่าไปนะ อย่าหายไปจากผมเลยนะ”

 

 

“…”

 

 

“อื้ม ฉันจะไม่ไป… ฉันจะอยู่ที่นี่… ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น…” น้ำตาของซุนหยานไหลออกมา มือของเธอกอดซงเซิ่นฮุยไว้แน่น

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด