อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) – บทที่ 31 กตัญญูเป็นจุดเริ่มต้นของความดี

อ่านนิยายจีนเรื่อง อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) ตอนที่ 31 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 31 กตัญญูเป็นจุดเริ่มต้นของความดี

 

 

การแสดงออกของคณบดีเฉินเป็นไปตามการเปลี่ยนแปลงของเนื้อหาในนิยาย บางครั้งประหม่า บางครั้งหัวเราะ บางครั้งก็ครุ่นคิด บางครั้งก็ขุ่นเคือง…

 

 

เขาราวกับจมเข้าไปในนิยาย

 

 

ครึ่งชั่วโมงต่อมา คณบดีเฉินก็ตะโกนอย่างตื่นเต้น “มันสุดยอดมาก แล้วเรื่องราวต่อจากนี้เป็นอย่างไร?”

 

 

คณบดีเฉินหลงใหลอย่างสมบูรณ์

 

 

“ผมยังไม่มีเวลาเขียนเรื่องราวต่อจากนี้ครับ”

 

 

“งั้นก็เขียนออกมาเร็วๆ หน่อย… ” หลังจากพูดคำนี้ คณบดีเฉินก็รู้ตัวและปิดปากของเขาทันที ต้นฉบับแบบนี้ไม่ใช่ว่า ถ้าต้องการแล้วจะเขียนออกมาได้ง่ายๆ ได้มันต้องใช้ทั้งความพยายามและเวลา เขายิ้มอย่างเจื่อนๆ และหัวเราะออกมา “นักเรียนหลิน เธอทำให้ชายชราคนนี้ประหลาดใจจริงๆ ฉันคิดไม่ถึงว่างานเขียนของเธอจะยอดเยี่ยมขนาดนี้ รูปแบบของมันใกล้เคียงกับงานเขียนของป่านเจี้ยนเฟิงโหวมากๆ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจและท่าทางของนางเอก ตอนที่เธอบอกว่าจะเขียนนิยายออกมาก่อนหน้านี้ ฉันคิดว่ามันเป็นเพียงแค่เรื่องตลกเท่านั้น ฉันไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะเขียนมันออกมาได้จริง… ขอบคุณ”

 

 

“แค่คณบดีเฉินชอบมันผมก็ดีใจแล้วครับ” หลินปู้ฟานคิดในใจ: ในที่สุดการทำงานหนักสามวันมานี้ก็ไม่สูญเปล่า

 

 

“นั่น…” คณบดีเฉินหยุดไปครู่หนึ่ง “เธอจะเขียนต่ออีกครั้ง… เมื่อไหร่?”

 

 

ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหรือดูรายการทีวีก็เป็นเหมือนกัน หลังจากความต้องการของคุณเพิ่มขึ้นถึงจุดหนึ่ง คุณก็ต้องการที่จะรู้ตอนจบทันที

 

 

“อีก 3 วัน ผมจะเขียนส่วนที่เหลือให้เสร็จภายใน 3 วัน”

 

 

“ดี… หนักเรียนหลินตอไปนี้เธอเรียกลุงว่าลุงเฉินเถอะ จากนี้ไปเราไม่ถือว่าเป็นคนอื่นคนไกลกันอีกต่อไปแล้ว” คณบดีเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

 

 

“ครับลุงเฉิน งั้นต่อจากนี้ลุงเฉินได้โปรดเรียกผมว่าเสี่ยวหลินนะครับ”

 

 

“ได้เลยๆ” หลังจากที่คณบดีเฉินพูดจบ เขาก็รู้สึกผิดหวังและอับอาย “ตั้งแต่ลุงได้เป็นคณบดีมา มีคนมากมายพยายามที่จะให้ของขวัญและเงินกับลุง แต่ลุงไม่เคยรับของพวกนั้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว มันน่าอายจริงๆที่ลุงรับ‘การติดสินบน‘ของเธอ”

 

 

หากไม่มีแหล่งที่มาของไตก็ไม่มีทางที่จะทำการปลูกถ่ายได้

 

 

“ลุงเฉินอย่าได้พูดแบบนั้นเลยครับ ผมรู้ว่าคุณลุงพยายามเต็มที่แล้ว”

 

 

“เสี่ยวหลิน ลุงจะใช้ความสัมพันธ์ทั้งหมดที่ลุงมีเพื่อช่วยแม่ของเธอให้ได้ หากยังหาแหล่งไตไม่ได้ลุงจะไม่มีทางยอมแพ้อย่างแน่นอน” คณบดีเฉินกล่าวอย่างหนักแน่น

 

 

“ขอบคุณครับ” หลินปู้ฟานรู้สึกอบอุ่น

 

 

ในพริบตาหนึ่งสัปดาห์ก็ผ่านไป

 

 

ในสัปดาห์นี้หลินปู้ฟานจะต้องทำการสอบปลายภาคของภาคเรียนที่ 1 ของชั้นมัธยมปลายปีที่ 2 และหลินปู้ฟานไม่ได้ออกแรงเต็มที่ เขายังคงรักษาคะแนนให้อยู่ในระดับกลางๆ อยู่

 

 

ด้วยความสามารถของวิทยากรระดับเหรียญทองของหลินปู้ฟาน เขาสามารถเป็นอันดับหนึ่งของเขตได้เลยด้วยซ้ำ

 

 

แต่เขามีความคิดของตัวเองอยู่

 

 

สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือการช่วยชีวิตแม่ของเขาก่อน

 

 

ส่วนเรื่องมหาวิทยาลัยยังไม่ได้เข้ามาอยู่ในหัวของเขาตอนนี้เพราะยังไงตอนเรียนจบ ถ้าเขาทำคะแนนได้อันดับต้นๆ ของเขต วิทยาลัยชื่อดังมากมายก็จะติดต่อเขาเข้ามาเอง

 

 

โรงเรียนจะพิจารณาที่อัตราความก้าวหน้าและจำนวนคนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำได้เช่น 985 และ 211

 

 

ทุกปีที่ผ่านมาจะมีนักเรียนชั้นปีที่ 2 จำนวนมากที่ถูกซื้อตัวให้ย้ายไปเรียนต่อที่โรงเรียนมัธยมอื่น ต้นกล้าที่ดีเหล่านั้นหากว่าพวกเขาสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำได้ทางโรงเรียนก็จะมีชื่อเสียงเช่นกัน บางครั้งก็จะมีการประกาศออกทางทีวีด้วย

 

 

เพราะวิธีนี้เป็นวิธีที่จะเพิ่มชื่อเสียงให้โรงเรียนได้ง่ายที่สุด

 

 

ส่วนนักเรียนมัธยมปลายบางคนที่มีความสามารถพิเศษก็สามารถไปรายงานตัวที่มหาวิทยาลัยหยานจิงและมหาวิทยาลัยหยานเซี่ยได้โดยตรง มหาวิทยาลัยทั้งสองแห่งนี้เป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในจีน

 

 

หลินปู้ฟานไม่มีเวลามากพอที่จะไปเสียเวลากับสิ่งเหล่านั้น

 

 

ท้ายที่สุดแล้วตัวตนจริงๆ ของเขาก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว เขารู้ว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต การเรียนเป็นบันไดสู่ความสำเร็จในชีวิตก็จริง แต่ถ้าหนังสือนั้นไม่ใช่หนังสือที่ดีมันก็ไม่ค่อยช่วยอะไรเท่าไหร่

 

 

ในขณะที่หลินปู้ฟานกำลังเขียนนิยาย สิ่งต่างๆ ในฝั่งของลุงซูก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่เดิมมีข่าวว่าจะมีการสร้างสุสานใหม่และสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ของกุ้ยฉานก็ดูเหมาะสมมากจริงๆ หลายๆ คนจึงเชื่อทันทีเมื่อเขาส่งคนกลับไปที่ภูเขาและกระจายข่าวเรื่องการสร้างสุสานใหม่ที่นั่น

 

 

บางคนบอกว่าการสร้างสุสานที่นี่เป็นเรื่องที่ดีเพราะพวกเขาสามารถทำธุรกิจขายกระดาษงานศพได้

 

 

แต่พวกเขาก็ต้องเปลี่ยนความคิด เมื่อรู้ว่าการจะขายอุปกรณ์งานศพพวงหรีดและกระดาษนั้นจำเป็นต้องมีใบอนุญาต

 

 

และในตอนนี้ก็ยังไม่มีการปล่อยให้คนธรรมดาขอใบอนุญาตนี้ได้

 

 

ภายในหนึ่งสัปดาห์สามารถซื้อบ้านมาได้มากกว่า 50 หลัง แต่พื้นที่รกร้างที่ใหญ่ที่สุดกลับยังไม่มีความคืบหน้าอะไร หลินปู้ฟานขอให้ลุงซูรีบจัดการเรื่องนี้เพราะราคาอาจจะเพิ่มขึ้น

 

 

สำนักงานผู้อำนวยการ

 

 

หลังจากอ่านต้นฉบับทั้งหมด คณบดีเฉินก็กรีดร้องออกมา “นี่เป็นงานเขียนที่ดีมาก ดีมากจริงๆ วิธีการแก้ปัญหาสมบูรณ์แบบจริงๆ ในที่สุดพระเอกก็สมหวังกับนางเอกหลังจากความยากลำบากมามากมาย เสี่ยวหลินเธอเป็นอัจฉริยะจริงๆ”

 

 

“ลุงเฉินผมเองก็เป็นแฟนของนิยายเรื่องนี้เหมือนกัน ผมแค่ลองเสี่ยงเขียนนิยายครึ่งหลังออกมาและก็โชคดีที่ลุงชอบมัน”

 

 

ในตอนนี้นิยายกำลังภายในมีเนื้อหาอยู่เพียงหลักแสนคำเท่านั้น ในยุคนี้จินต้าเซี่ยที่มีชื่อเสียงที่เขียนนวนิยายขายดีที่สุดในตอนนี้ เขาแต่งนิยายออกมามากกว่าหนึ่งโหลยังมีจำนวนคำรวมกันทั้งหมดเพียงแค่ 8 ล้านคำเท่านั้น ต่างจากนวนิยายออนไลน์ในอนาคตที่สามารถเขียนได้หลายสิบล้านคำและยังสามารถส่งต่อให้ลูกๆ หลานๆ เขียนต่อได้อีกด้วย

 

 

“ตำนานเก้ากระบี่” มีจำนวนคำเพียงแค่ 6 แสนคำและหลินปู้ฟานก็แค่เขียนส่วนที่เหลือ 3 แสนคำ

 

 

หลังจากเขียนไป 3 แสนคำใน 10 วัน หลินปู้ฟานก็หมดแรง

 

 

“เฮ้อ!” จู่ๆ คณบดีเฉินถอนหายใจออกมา

 

 

“ลุงเฉินเป็นอะไรไปครับ? ผมเขียนออกมาไม่ดีเหรอครับ?” หลินปู้ฟานถามอย่างกังวล

 

 

“ไม่ เธอเขียนออกมาได้ดีมากๆ”

 

 

“แล้วทำไมลุงถึงถอนหายใจ?”

 

 

“หลังจากที่ลุงได้อ่านนิยายที่ดีขนาดนี้แล้ว ลุงก็ไม่รู้ว่าในอนาคตลุงจะสามารถอ่านนิยายเรื่องอื่นได้อีกไหม”

 

 

“คุณลุงไม่ต้องห่วงหรอกครับ ในโลกนี้ยังมีนิยายดีๆ แบบนี้อีกมากมาย”

 

 

“นิยายพวกนี้ช่างแย่เสียจริงๆ ยิ่งลุงอ่านมากเท่าไหร่ลุงก็รู้สึกไม่พอมากเท่านั้น”

 

 

หลินปู้ฟานคิดถึงหลายสิ่งหลายอย่าง “ลุงเฉิน ลุงเคยอ่านนิยายโจรปล้นสุสานมาบ้างไหมครับ?”

 

 

“โจรปล้นสุสาน?” คณบดีเฉินเลิกคิ้วและส่ายหัว “ฉันยังไม่ได้อ่านนิยายเกี่ยวกับโจรปล้นสุสานเลย มันมีนิยายแบบนั้นอยู่ด้วยเหรอ?”

 

 

หลินปู้ฟานยิ้มเล็กน้อย “โจรปล้นสุสานมี 4 เล่มได้แก่ ปรมาจารย์สัมผัสทองคำ เต๋าภูเขาเคลื่อนคล้อย……”

 

 

จู่ๆ คณบดีเฉินก็เริ่มสนใจขึ้นมา เขานั่งฟังหลินปู้ฟานราวกับนักเรียนนั่งฟังอาจารย์

 

 

หลินปู้ฟานคุ้นเคยกับนิยายเรื่อง”โคมไฟผี”เป็นอย่างดีและนิยายชุด”โคมไฟผี”ก็เป็นนิยายที่ได้รับความนิยมไปทั่วอินเทอร์เน็ตในอนาคต

 

 

“อย่ามองไปที่ภูเขา เส้นทางรกทึบเป็นอุปสรรคที่หนักหน่วง ฝ่าฟันนับพันเพื่อชีวิตและความตาย…” หลินปู้ฟานเริ่มพูดถึงบทของ”เมืองโบราณจิ่งจือ”ในนิยายชุด”โคมไฟผี”

 

 

เรื่องราวคมคายและยอดเยี่ยม

 

 

เวลาเดินไปอย่างช้าๆ หลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว คณบดีเฉินก็หลงใหลในนิยายโคมไฟผีอย่างมาก

 

 

“เสี่ยวหลินมันทั้งน่าตื่นเต้นและแปลกใหม่มากๆ ปรากฎว่าโจรปล้นสุสานมีความรู้ลึกซึ้งมากมาย น่าทึ่งจริงๆ” คณบดีเฉินอุทาน

 

 

“ผมดีใจที่ลุงชอบ”

 

 

“เสี่ยวหลิน คืนนี้เธอพอจะมีเวลาไหม?” คณบดีเฉินถาม

 

 

หลินปู้ฟานตอบว่าเขามีเวลา

 

 

“ลุงจะเขียนที่อยู่ให้ คืนนี้เธอมาที่บ้านของลุงเพื่อเล่าเรื่องนี้ต่อได้ไหม?”

 

 

“ไม่มีปัญหาครับผม” หลินปู้ฟานตื่นเต้น เมื่อเขาสามารถไปที่บ้านของคณบดีเฉินได้ก็เท่ากับว่าตอนนี้เขาไม่ถือว่าเป็นคนนอกสำหรับคณบดีเฉินแล้ว

 

 

คืนนั้น หลินปู้ฟานไปที่บ้านตามที่อยู่ที่คณบดีเฉินให้ไว้

 

 

บ้านของคณบดีเฉินอยู่ในพื้นที่ทำงานบนถนนป๋านฉาน คนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ที่นี่เป็นพนักงานของโรงพยาบาล หลินปู้ฟานเดินไปที่ประตูบ้านของคณบดีเฉิน เขาจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนเดินเข้าไป

 

 

เขาวางแผนที่จะพูดถึง”ศาลเจ้าคุนหลุน”ในซีรีส์”โคมไฟผี”ในคืนนี้และหลังจากที่เขาเล่าจบ เขาก็จะถามถึงใบรับรองการรักษาที่ต่างประเทศในขณะที่คณบดีเฉินกำลังมีความสุข

 

 

หลังจากที่เขาว่างแผนเสร็จแล้ว เขาก็เคาะประตู

 

 

“เสี่ยวหลินในที่สุดเธอก็มา เข้ามาก่อน เข้ามาๆ” คณบดีเฉินทักทายหลินปู้ฟานอย่างเป็นกันเอง

 

 

นี่คือบ้านที่มี 3 ห้องนอนและ 1 ห้องนั่งเล่น เฟอร์นิเจอร์เก่าและทีวีสียังคงเป็นแบบ 19 นิ้ว เขาสำรวจไปรอบๆ และก็ไม่เห็นว่ามีของอะไรมีค่าเลย

 

 

คณบดีเฉินเป็นคนที่ไม่รับของพวกนั้นจริงๆ ถ้าเขาไม่รู้มาก่อน เขาไม่มีทางรู้ได้เลยว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านของประธานโรงพยาบาลประจำจังหวัด

 

 

“ลุงเฉิน ลุงอยู่คนเดียวเหรอครับ?” หลินปู้ฟานถาม

 

 

“ภรรยาของลุงเสียชีวิตไปเมื่อ 10 ปีที่แล้วและลูกสาวของลุงก็อยู่ที่วิทยาลัย”

 

 

“โอ้!”

 

 

คณบดีเฉินหยิบชาผู่เอ๋อร์ออกมาและขอให้หลินปู้ฟานเริ่มเล่าต่อ หลินปู้ฟานเริ่มเล่าถึง”ศาลเจ้าคุนหลุน”

 

 

หลินปู้ฟานเล่าด้วยท่าทางเกินจริง ทำให้เรื่องที่เล่าออกมามีอรรถรสอย่างมาก

 

 

คณบดีเฉินฟังด้วยความเอร็ดอร่อย เขาปรบมือเป็นระยะๆ และส่งเสียงอุทานออกมาเมื่อได้ยินเรื่องสยองขวัญ เขากลั้นหายใจเหมือนเด็กๆ

 

 

สามชั่วโมงผ่านไปในพริบตา แต่คณบดีเฉินก็ยังรู้สึกไม่พอ “เสี่ยวหลินคืนนี้เธอนอนที่นี่ได้ไหม? ลุงอยากจะฟังเรื่องนี้ต่ออีกสักหน่อย”

 

 

“ได้ครับ!” หลินปู้ฟานพยักหน้าเห็นด้วย

 

 

หลังจากจิบชาผู่เอ๋อร์แล้วหลินปู้ฟานก็เริ่มพูดคุยเกี่ยวกับธุระของเขา “ลุงเฉินครับ หลายวันที่เจอผมมานี้ลุงคิดว่าผมเป็นคนยังไง?”

 

 

“ลุงคิดว่าเธอเป็นเด็กที่ฉลาด ความสามารถด้านวรรณกรรมเธอไม่เป็นรองใคร และยังเป็นคนที่มีความกตัญญูมากๆ คนหนึ่ง”

 

 

“แล้วลุงคิดว่าสิ่งไหนควรจะมาเป็นอับดับแรกครับ ความกตัญญูหรือความสามารถด้านวรรณกรรม?”

 

 

“แน่นนอนว่าความกตัญญูต้องมาก่อนอยู่แล้วสิ คนเราเกิดมาหากไร้ซึ่งความกตัญญูแทนคุณคนก็คงไม่สามารถเรียกตัวเองว่าเป็นคนดีได้ คนที่ไร้ซึ่งความกตัญญูไม่สามารถแทนตัวเองว่าเป็นคนได้เสียด้วยซ้ำ”

 

 

“ผมก็คิดแบบนั้นเช่นกันครับลุงเฉิน ผมจะไม่อ้อมค้อมแล้วกันนะครับ เมื่อไม่กี่วันก่อนญาติห่างๆ ของครอบครัวผมที่อยู่ที่อเมริกา เขาบอกว่าเขาเป็นเพื่อนกับรองคณบดีของโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์และเขาสามารถช่วยคุยให้แม่ของผมเข้ารับการรักษาที่นั่นได้ แต่ในการที่จะส่งแม่ของผมไปรักษาที่นั่นได้นั้น แม่ของผมจำเป็นที่จะต้องมีหนังสือรับรองจากโรงพยาบาลประจำจังหวัดเสียก่อน… ลุงเฉินครับลุงคงเคยได้ยินเรื่องของมู่เหลียนเซิงที่ยอมเสียสละตัวเองเพื่อช่วยแม่ของเธอใช่ไหมครับ? ผมเองก็เหมือนกับมู่เหลียนเซิงครับ ผมก็ต้องการที่จะช่วยแม่ของผมเช่นกัน”

 

 

หลังจากพูดเสร็จ หลินปู้ฟานก็คุกเข่าลงต่อหน้าคณบดีเฉิน

 

 

คณบดีเฉินรีบเข้าไปประคองหลินปู้ฟาน เขารู้สึกอาย แม้ว่าจะไม่มีข้อกำหนดที่ชัดเจนว่าไม่สามารถออกใบรับรองแพทย์ไปต่างประเทศให้โรงพยาบาลเอกชนได้ก็จริง แต่มันก็ไม่เคยมีใครเคยทำแบบนั้นมาก่อน

 

 

การทำลายแบบอย่างที่รักษากันมาเนิ่นนาน มันอาจจะทำให้ชื่อเสียงของคนรุ่นก่อนพังพินาศได้

 

 

“ลุงเฉินการช่วยชีวิตคนนั้นดีกว่าการสร้างเจดีย์ 7 ชั้น เมตตาผมเถอะนะครับ ผมยังไม่ได้ทดแทนบุญคุณของแม่เลย” หลินปู้ฟานร้องไห้ออกมา เขาไม่สามารถอดกลั้นอารมณ์ของตัวเองได้อีกต่อไป

 

 

คณบดีเฉินขมวดคิ้ว เขากำลังรู้สึกขัดแย้งในตัวเอง

 

 

ในตอนนั้นเอง ประตูห้องนั่งเล่นก็เปิดออกและบางคนก็เดินเข้ามา

 

 

“พ่อจะบีบให้หนูตายเลยหรือไง?” หญิงสาวคำราม

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด