อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) – บทที่ 20 สิ้นสุดวาสนา

อ่านนิยายจีนเรื่อง อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) ตอนที่ 20 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 20 สิ้นสุดวาสนา

 

 

ในชาติก่อน หลินปู้ฟานอาศัยอยู่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจในช่วงชีวิตสุดท้ายของเขา ทำให้เขารู้จักที่นั่นดีมาก

 

 

“ดี ทุกอย่างคงต้องพึ่งหลานแล้วล่ะ” จางอี้หนี่ตบต้นขาของตัวเองราวกับว่าตอนนี้เธอได้กำไรจากการลงทุนแล้ว

 

 

ลุงซูกล่าวว่า “ลุงว่ามันจะดีกว่าถ้าเราบอกเรื่องนี้กับหัวหน้าจ้าวและหัวหน้าฉีเพราะเงินที่พวกเรามีไม่ได้มากอะไร ลุงคิดว่ามันน่าจะดีกว่าถ้าเราได้ร่วมมือกัน”

 

 

ก่อนที่จางอี้หนี่จะได้พูดอะไร หลินปู้ฟานก็โบกมือขัดไว้ก่อน “ลุงซูผมว่าการทำแบบนั้นไม่ใช่เรื่องดีเลย การที่มีคนรู้ยิ่งมากก็ยิ่งควบคุมยาก ลุงคิดว่าถ้าเรื่องนี้หลุดออกไปพวกเราจะต้องรับมือกับหมาป่าแบบไหนกัน? แล้วคุณลุงแน่ใจได้ไหมว่าการรวมเงินทุนจะเป็นเรื่องดี? ลุงยังแน่ใจไหมว่าหลังจากรวมทุนแล้วลุงจะยังเก็บส่วนที่ดีที่สุดไว้กินเองได้? ผมว่าเรื่องนี้คนยิ่งรู้น้อยเท่าไหร่ยิ่งดีมากเท่านั้น”

 

 

สิ่งที่หลินปู้ฟานพูดนั้นสมเหตุสมผลอย่างมาก

 

 

เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นก่อนหน้าแล้ว เหล่าเฉียวผู้ก่อตั้งปิงเก๋าได้ทำทุกๆ อย่างเพื่อให้บริษัทปิงเก๋าขึ้นไปอยู่ในจุดสูงสุด แต่สุดท้านเขาก็ถูกหมาป่าที่เขาเชิญชวนเข้ามาเตะเขาออกจากบริษัทในตอนท้าย

 

 

และยังมีอีกเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศจีนเหมือนกัน หวังซื้อหัวหน้าด้านอสังหาริมทรัพย์ของหว่านเก๋อเขาได้นำหว่านเก๋อขึ้นไปสู่ความรุ่งโรจน์แต่สุดท้ายเขาก็ถูกไล่ออก

 

 

ดังนั้นอย่าโลภเกินไป กินเท่าที่กินได้และเลือกกินส่วนที่ดีที่สุดก็พอไม่อย่างนั้นเราจะเสียมากกว่าได้

 

 

หลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง ลุงซูและจางอี้หนี่ก็พยักหน้าเห็นด้วยกับที่หลินปู้ฟานพูด

 

 

“น่าละอายจริงๆ เมื่อเทียบกับหลานแล้วลุงยังขาดประสบการณ์อีกมากจริงๆ” ลุงซูคิดเสมอว่าตัวเองฉลาด แต่วันนี้เขาได้พูดอะไรโง่ๆ ออกมาจริงๆ

 

 

เดิมทีจางอี้หนี่ก็มีความคิดเหมือนกับลุงซู แต่หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของหลินปู้ฟานแล้วเธอก็เปลี่ยนใจทันที ตอนนี้เรื่องเขตการพัฒนายังคงอยู่ในวาระการประชุมอยู่หากทิศทางของลมถูกคนอื่นล่วงรู้เสียก่อน ทุกคนต้องเสียผลประโยชน์ที่ควรจะได้ไปแน่นอน

 

 

“เอาล่ะวันนี้เราจะหาวิธีระดมทุนและวางแผนเพื่อรับชิ้นเค้กที่ดีที่สุดให้ได้ ถ้าเรื่องนี้เป็นไปด้วยดีหลานจะได้รับส่วนแบ่งด้วยแน่นอน” จางอี้หนี่กล่าว

 

 

“เรื่องนี้ต้องรบกวนเสี่ยวหลินของเราแล้ว” ลุงซูยิ้มอย่างอ่อนโยน

 

 

“เรื่องนี้ยังไม่จำเป็นต้องรีบขนาดนั้น” หลินปู้ฟานพูดด้วยท่าทางของผู้ใหญ่ ดูเหมือนว่าจะถึงเวลาที่เขาจะพูดสิ่งที่เขาต้องการตั้งแต่แรกแล้ว “นอกจากเรื่องนี้ ผมยังมีอีกเรื่องที่จะขอรบกวนคุณลุงกับคุณป้าสักหน่อย”

 

 

“หลานพูดมาได้เลย ไม่ว่าเรื่องอะไรตราบใดที่ลุงทำได้ลุงจะไม่ปฏิเสธหลานแน่นอน” ลุงซูพูดพลางตบหน้าอกของเขา

 

 

“เสี่ยวหลิน หลานไม่ได้ถือว่าเป็นคนอื่นคนไกลสำหรับป้าอยู่แล้ว หลานต้องการอะไรพูดมาได้เลย” จางอี้หนี่กล่าวเสริม

 

 

“คุณลุงกับคุณป้าพอจะ… ให้ผมยืมเงินสัก 3 ล้านได้ไหม?”

 

 

หลังจากได้ยินจำนวนเงินที่หลินปู้ฟานต้องการ ลุงซูและจางอี้หนี่ถึงกับอึ้ง

 

 

“เสี่ยวหลินเราจะต้องนำเงินไปลงทุนในเขตพัฒนาเร็วๆ นี้ ลุงไม่สามารถนำเงินขนาดนั้นออกมาได้” ลุงซูกล่าว

 

 

“เสี่ยวหลินหลานต้องการลงทุนในเขตพัฒนาด้วยอย่างงั้นนเหรอ? หลานไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอกเราจะแบ่งส่วนแบ่งให้หลานอย่างเท่าเทียมแน่นอน” จางอี้หนี่กล่าว

 

 

หลินปู้ฟานคิดไว้แล้วว่าพวกเขาจะต้องพูดแบบนี้ออกมา “อย่าตกใจไปครับคุณลุงคุณป้าผมแค่จะยืมเงินแค่สามวันเท่านั้น หลังจากสามวันผมจะคืนให้ทั้งหมด”

 

 

หลินปู้ฟานต้องการใช้เงิน 6 ล้านนี้ไปลงทุนในฟุตบอลโลกรอบชิงชนะเลิศในวันที่ 12 กรกฎาคมที่จะถึงนี้ และหลังจากบอลโลกจบลง 1 วันเขาสามารถกดเงินรางวัลออกมาได้ทันที

 

 

ลุงซูและจางอี้หนี่มองหน้ากัน

 

 

“ลุงขอถามได้ไหมว่าหลานจะเอาเงินไปทำอะไร?” ลุงซูถาม

 

 

“เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมผมจะบอกพวกคุณเอง ถ้าคุณกังวลว่าจะไม่ได้เงินคืนก็ลืมมันเถอะ” หลินปู้ฟานยืนขึ้นและกำลังจะจากไป

 

 

“หลานอย่าเพิ่งใจร้อน นั่งลงก่อน” จางอี้หนี่ดึงแขนของหลินปู้ฟาน “หลานช่วยชีวิตป้าเอาไว้ เรื่องเงินแค่นี้ไม่ใช่ปัญหา”

 

 

หลังจากที่ได้รู้จักหลินปู้ฟานมาสักพัก มันจึงทำให้เธอเชื่อใจหลินปู้ฟานอย่างมาก

 

 

ลุงซูแตะคางของเขาและเห็นด้วย

 

 

“ขอบคุณครับ ถ้าเป็นไปได้คุณลุงกับคุณป้าช่วยโอนเงินให้ผมพรุ่งนี้เลยนะครับ แล้วผมจะคืนเงินทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยให้ในวันที่ 13”

 

 

“ดอกบงดอกเบี้ยอะไร เรื่องนั้นไม่จำเป็น”

 

 

“ใช่ เราเป็นเหมือนญาติกันเรื่องเล็กน้อยแบบนั้นอย่าได้พูดถึงเลย” ลุงซูจงใจดึงหลินปู้ฟานเข้ามาใกล้มากขึ้น

 

 

พวกเขาพูดคุยเกี่ยวกับธุรกิจกันหลังจากที่จางอี้หนี่สั่งให้ครัวนำอาหารมาเสิร์ฟ อาหารที่มาเสิร์ฟล้วนเป็นอาหารทะเลที่มีชื่อเสียงทั้งหมด

 

 

ระหว่างรับประทานอาหาร หลินปู้ฟานและทั้งสองคนตกลงกันว่าจะไปเที่ยวที่เผิงปู้ในสัปดาห์หน้า เพื่อเลือกสถานที่ที่ดีที่สุดและเลือกชิ้น”เค้ก”

 

 

ระหว่างรับประทานอาหาร จางอี้หนี่แอบคำนวณว่าร้านอาหารและอสังหาริมทรัพย์ของเธอสามารถยื่นกู้เงินจากธนาคารได้ประมาณ 10 ล้านและเงินฝากพันธบัตรตั๋วเงินและเงินสดซึ่งมีอีกประมาณ 5 ล้านหากลงทุน 15 ล้านในเขตพัฒนา เงินพวกนี้อาจจะเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า เท่ากับ 150 ล้าน

 

 

แล้วเธอจะกลายเป็นมหาเศรษฐี

 

 

เมื่อคิดอย่างนั้นเธอก็ตื่นเต้นขึ้นมา ในยุคนี้การมีเงินมากขนาดนั้นถือว่าเธอเป็นมหาเศรษฐีระดับต้นๆ ของประเทศได้เลย

 

 

ลุงซูก็เป็ฯคนหนึ่งที่ร่ำรวยเหมือนกัน เขาร่ำรวยกว่าจางจางอี้หนี่เพราะเขามีธุรกิจบางอย่างที่ไม่ไม่ได้เปิดเผยออกมาเช่นบ่อนใต้ดินและไนท์คลับมากมาย เขามีเงินพร้อมลงทุนอยู่ประมาณ 30 ล้าน

 

 

เมื่อทานอาหารไปได้อีกสักพัก หลินปู้ฟานก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ

 

 

เมื่อออกมาจากห้องน้ำเขาก็เห็นหลินปิง

 

 

หลินปิงสวมชุดยาวตรงสีสันสดใสพร้อมกับรอยสักที่คิ้วอยู่บนใบหน้าสีแดงอ่อนๆ เธอดูภูมิใจราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ

 

 

วันนี้หลินปิงเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงที่นี่ให้กับเจ้านายชื่อกู่ซินเยว่ กู่ซินเยว่เป็นเจ้าของโรงงานเสื้อผ้า ส่วนหลินปิงเป็นตัวแทนจำหน่าย สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเปิดร้านเสื้อผ้าคือช่องทางการซื้อเสื้อผ้าที่ทันสมัยและแหล่งที่มาของสินค้าที่ถูกกว่าเจ้าอื่นๆ ยิ่งคุณมีของพวกนี้มากเท่าไหร่คุณก็จะสามารถสร้างกำไรได้มากเท่านั้น

 

 

นอกจากจะมีโรงงานเสื้อผ้าเป็นของตัวเองแล้ว กู่ซินเยว่ยังเป็นเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในหางโจวตอนนี้อีกด้วย ร้านเสื้อผ้ามากมายต่างก็ต้องการจะเป็นตัวแทนจำหน่อยให้กับแบรนด์ของเธอ

 

 

การเป็นตัวแทนจะหน่ายก็เหมือนกับการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเหมือนกับระบบแฟรนไชส์

 

 

หลินปิงเพิ่งได้มาเป็นตัวแทนจำหน่าย เธอจึงขอเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงนี้เพื่อแสดงความขอบคุณต่อกู่ซินเยว่

 

 

“เด็กน้อยเธอมาที่นี่ได้อย่างไง?” หลินปิงไม่ได้ปฏิบัติต่อหลินปู้ฟานเหมือนเป็นหลานชาย แต่เธอทำเหมือนหลินปู้ฟานเป็นคนอื่น เธอจึงเรียกหลินปู้ฟานว่า”เด็กน้อย”และแน่นอนว่าหลินปู้ฟานเกลียดป้าคนนี้

 

 

“แล้วทำไมผมจะมาที่นี่ไม่ได้?” หลินปู้ฟานถามกลับอย่างมีวาทศิลป์

 

 

“เด็กอย่างแกมีปัญญาจ่ายค่าอาหารที่นี่ด้วยหรือไง?” หลินปิงยิ้มเยาะ “หรือว่าแกมาหาฉันเพื่อขอยืมเงิน?”

 

 

เมื่อมองย้อนกลับไปที่โรงพยาบาล หลินเจิ้งตงคุกเข่าเพื่อขอยืมเงินหลินปิงด้วยน้ำตาราวกับขอทานแต่หลินปิงกลับยอมให้ยืมเพียงแค่ 1 พันเท่านั้น

 

 

“ให้ตายเถอะ! คุณยังจะมีหน้ามาพูดแบบนี้อีกเหรอ? ผมว่าคุณควรจะต้องระวังไว้สักหน่อยจะดีกว่านะครับ ระวังว่าสิ่งที่คุณเคยทำมันจะย้อนคืนสนองตัวเอง”

 

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า… ระวัง? ระวังอะไร? ผีเร่ร่อนอย่างแกจะมาทำอะไรฉันได้? ออกไป! อย่ามาขวางทาง…” หลินปิงผลักหลินปู้ฟานออกไปและเดินเข้าไปในห้องน้ำหญิง

 

 

หลังจากกลับไปที่ห้อง จางอี้หนี่เริ่มคุยกับหลินปู้ฟานเกี่ยวกับขั้นตอนต่อไปต่อ

 

 

สิบนาทีต่อมาประตูห้องก็ถูกเปิดออก ผู้หญิงผมสั้นในเสื้อเชิ้ตเปิดคอสีขาวและกระโปรงสั้นก็เดินเข้ามา

 

 

“ไม่คิดว่าจะได้เจอพี่จางในวันนี้”

 

 

“โอ้น้องกู่ ทำไมไม่บอกพี่ว่าน้องจะมา พี่จะได้สั่งให้พ่อครัวเตรียมอาหารเพิ่มอีกสักหลายๆ อย่าง”

 

 

“ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกค่ะพี่ วันนี้น้องแค่มาทานอาหารกับตัวแทนจำหน่ายคนใหม่ของน้องเท่านั้น พอน้องรู้มาว่าพี่อยู่ที่ห้องนี้น้องจึงแวะมาทักทาย”

 

 

“มาๆ นั่งลงก่อน” จางอี้หนี่ลุกขึ้นเชิญอย่างสุภาพ

 

 

กู่ซินเยว่กวาดมองไปรอบๆ เธอรู้จักทุกๆ คนที่อยู่ที่นี่ยกเว้นเพียงแค่หลินปู้ฟานที่นั่งอยู่ถัดจากลุงซู เธอจึงถามออกมา “หนุ่มน้อยคนนี้คือลูกของหัวหน้าซูเหรอ?”

 

 

กู่ซินเยว่คิดว่าหลินปู้ฟานเป็นลูกชายของลุงซู

 

 

“จะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร นี่คือน้องชายของฉันเอง” ลุงซูกล่าว

 

 

“น้องชาย?” กู่ซินเยว่ตะลึง

 

 

“ฉันยังไม่ได้แก่เกินไปที่จะมีน้องชายจริงไหม? ฮ่าฮ่าฮ่า…” ลุงซูกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

 

“ป้าจะเสียมารยาทแล้ว สวัสดีจ่ะหนุ่มน้อย ป้าชื่อกู่ซินเยว่” กู่ซินเยว่ยื่นมือออกไป

 

 

“สวัสดีครับ ผมหลินปู้ฟานเป็นเพื่อนร่วมชั้นของซูชิง” หลินปู้ฟานตอบอย่างสุภาพ

 

 

กู่ซินเยว่ปิดปากยิ้มและส่งสายตาไปที่จางอี้หนี่ “งั้นเขาก็เป็นหลานเขยในอนาคตของน้อง?”

 

 

นี่เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างมาก

 

 

“ในอนาคตน่ะอาจจะใช่” จางอี้หนี่ตอบอย่างเปิดเผย

 

 

กู่ซินเยว่เลิกคิ้วและคิดในใจ: พี่สาวคนนี้มีสายตาที่สูงมาก ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะไม่ธรรมดา

 

 

ในตอนนั้นเองประตูก็ถูกเปิดออกอีกครั้งและหลินปิงก็เดินเข้ามา

 

 

เมื่อหลินปิงรู้ว่ากู่ซินเยว่จะมาทักทายเจ้านายคนอื่นๆ ที่นี่เธอจึงอยากตามมาที่นี่ด้วย ถ้าเธอได้รู้จักเจ้านายเพิ่มอีกสักสองสามคน เธอก็จะสามารถขยายเครือข่ายของเธอได้กว้างขึ้นไปอีก

 

 

แต่กู่ซินเยว่ไม่อนุญาตให้เธอตามมาด้วย แต่ในตอนที่หลินปิงกำลังผิดหวัง อยู่ๆ โทรศัพท์ของกู่ซินเยว่ที่วางบนโต๊ะอาหารก็ดังขึ้น เธอจึงรีบหยิบโทรศัพท์และตามเข้ามาในห้องของจางอี้หนี่ทันที

 

 

“หัวหน้ากู่ เมื่อกี้โทรศัพท์ของคุณดังน่ะค่ะ” หลินปิงส่งมือถือด้วยสีหน้าเรียบเฉย

 

 

กู่ซินเยว่รับโทรศัพท์มาดูและเก็บไว้ในกระเป๋าของเธอ

 

 

“คนนี้คือ?” จางอี้หนี่ถาม

 

 

“โอ้ เธอคนนี้คือตัวแทนจำหน่ายที่น้องพูดถึง” กู่ซินเยว่แนะนำ

 

 

หลินปิงพยักหน้าและโค้งคำนับให้ลุงซูกับจางอี้หนี่และยื่นนามบัตรของเธอให้ แต่เมื่อเธอเห็นหลินปู้ฟานดวงตาของเธอก็หยุดนิ่งทันที “เด็กน้อยเธอมาทำอะไรที่นี่?”

 

 

หลินปิงต้องวางตัว เธอจึงไม่ได้เอะอะโวยวายอะไรออกไป

 

 

“ทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ไม่ได้ละครับ? คุณป้า”

 

 

เมื่อเห็นว่าหลินปิงเป็นป้าของหลินปู้ฟานทั้งลุงซูและจางอี้หนี่ก็ยืนขึ้นและพูดอย่างกระตือรือร้นทันที “ที่แท้ก็เป็นป้าของหลานหลินนี่เอง เสียมารยาทแล้วๆ”

 

 

ด้วยระดับของลุงซูและจางอี้หนี่ พวกเขาไม่จำเป็นต้องให้ความสนใจกับเจ้าของร้านเสื้อผ้าเล็กๆ เลยด้วยซ้ำ ที่พวกเขายอมรับนามบัตรของเธอนั้นเป็นเพียงแค่การทำตามมารยาทเพียงเท่านั้น แต่หลังจากที่หลินปู้ฟานบอกว่าอีกฝ่ายป้านั้นของเขา ท่าทางของพวกเขาก็เปลี่ยนไปทันที

 

 

หลินปิงสับสน เธอรู้ว่าเจ้านายทั้งหมดที่นี่ไม่ใช่คนธรรมดาแล้วหลินปู้ฟานมาร่วมโต๊ะกับพวกเขาได้อย่างไร

 

 

“ที่แท้ก็ครอบครัวเดียวกัน!” กู่ซินเยว่พูดด้วยรอยยิ้ม “โลกช่างกลมจริงๆ”

 

 

ในตอนนี้กู่ซินเยว่คิดว่าเธอจะต้องดูแลหลินปิงให้ดีในอนาคตเพราะเธอเป็นป้าของหลานเขยในอนาคตของเธอ

 

 

ใบหน้าของหลินปู้ฟานมืดลง ดวงตาของเขากลายเป็นเย็นชาและมองไปที่หลินปิง “จะเรียกว่าครอบครัวเดียวกันก็คงไม่ได้ ป้าจางป้ารู้ใช่ไหมครับว่าแม่ของผมกำลังป่วยหนักและต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล?”

 

 

“แน่นอนป้ารู้”

 

 

“ในตอนนั้น พ่อของผมถึงกับยอมคุกเข่าเพื่ออ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากผู้หญิงคนนี้ที่เป็นพี่สาวของพ่อผม เธอทั้งร่ำรวยแต่งตัวดูดีและมีธุรกิจใหญ่โต แต่เธอกลับทำกับพ่อของผมไม่ต่างจากขอทาน เธอให้เงินพ่อของผมเพียงแค่ 1 พันเท่านั้น เธอยื่นส่งเงินให้เพียงแค่ 1 พันในตอนที่แม่ของผมกำลังจะตาย ทั้งๆ ที่พ่อของผมคุกเข่าอ้อนวอนขอร้อง คนแบบนี้ผมควรจะนับเขาเป็นครอบครัวของผมจริงๆเหรอ?” หลินปู้ฟานหัวเราะเยาะ “แน่นอน เงินนั่นเป็นของคุณมันเป็นสิทธิ์ของคุณว่าให้ยืมหรือไม่ก็ได้ ใครใช้ให้บ้านผมยากจน ใครใช้ให้แม่ของผมป่วยล่ะจริงไหม?”

 

 

หลินปิงเหงื่อตก เธอรีบเปิดกระเป๋าและหยิบเงินออกมาหนึ่งปึกทันที “เสี่ยวหลิน เอาเงินพวกนี้ไปก่อนแล้วป้าจะไปที่ธนาคารเพื่อเบิกเงินมาเพิ่มให้พรุ่งนี้”

 

 

“มันสายไปแล้ว” หลินปู้ฟานพูดด้วยเสียงต่ำ

 

 

จางอี้หนี่และคนอื่นๆต่างก็แสดงแววตารังเกียจออกมาทันที หลินปิงคนนี้ช่างหน้าไม่อายจริงๆ

 

 

“กรุณาออกไปจากห้องของเราด้วย คุณไม่มีสิทธิ์อยู่ที่นี่” จางอี้หนี่ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว

 

 

หลินปิงยืนขึ้นด้วยความโกรธ เธอก้าวไปสองก้าวแล้วหันหลับมาพูดกับกู่ซินเยว่ “หัวหน้ากู่ ฉันจะรอคุณอยู่ข้างนอก”

 

 

กู่ซินเยว่เกลียดคนประเภทนี้มากที่สุด เพราะในตอนที่เธอเพิ่งเริ่มทำธุรกิจครั้งแรกเธอเคยไปขอให้ญาติของเธอช่วยเหลือ แต่ก็ไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียวที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเธอ เท่านั้นยังไม่พอเพราะเมื่อเธอได้ดีคนพวกนั้นกลับมาเรียกร้องผลประโยชน์จากความเป็นญาติจากเธอซ้ำอีก

 

 

“คุณหลิน ฉันว่าวาสนาระหว่างเราคงจบลงแค่ตรงนี้แล้วล่ะค่ะ” กู่ซินเยว่กล่าวอย่างเย็นชา

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด