อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) – บทที่ 36 คุณค่าทางประวัติศาสตร์

อ่านนิยายจีนเรื่อง อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) ตอนที่ 36 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 36 คุณค่าทางประวัติศาสตร์

 

 

“ทำไมฉัน… ถึงมานอนอยู่ที่นี่?” หลินปู้ฟานลุกขึ้นและมองไปที่เสื้อผ้าทั้งหมดที่ใส่อยู่ เมื่อเห็นว่าพวกมันยังอยู่ครบเขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา “ที่นี่ที่ไหน?”

 

 

“ห้องของฉันเอง”

 

 

“ทำไมฉันถึงมานอนอยู่ในห้องของเธอ?”

 

 

“นายลืมสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไปหมดแล้วเหรอ?”

 

 

ทุกคนไปที่พาราไดซ์บาร์เมื่อคืนนี้ ทันทีที่พวกเขาดื่มไปเล็กน้อยอารมณ์ของพวกเขาก็พุ่งสูงขึ้น หลัวเสี่ยวเสี่ยวตะโกนและบอกว่าควรชวนซูชิงมาด้วยและหลินปู้ฟานก็ชวนซูชิงทันที เขาทำไปทั้งหมดโดยไม่รู้ตัว

 

 

เมื่อซูชิงแต่งตัวและกำลังจะออกไป เธอก็ถูกจางอี้หนี่แม่ของเธอหยุดไว้และถามเธออย่างไม่พอใจว่าดึกดื่นขนาดนี้เธอกำลังจะออกไปไหน แต่เมื่อซูชิงบอกว่าเธอกำลังจะไปดื่มกับหลินปู้ฟาน จางอี้หนี่ก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทันทีและเธอถึงกับออกไปส่งซูชิงด้วยตัวเอง เธอรออยู่ที่ทางเข้าบาร์จนพวกเด็กๆ ดื่มเสร็จ จากนั้นก็พาลูกสาวและหลินปู้ฟานกลับบ้าน

 

 

ในตอนแรกจางอี้หนี่คิดจะให้หลินปู้ฟานไปนอนที่ห้องนอนสำหรับรับแขก แต่เมื่อเธอหันมาคิดอีกที่เธอก็คิดว่าควรจะให้คนเมาทั้งสองคนนอนอยู่ด้วยกัน

 

 

“ห๊ะเมา… เมื่อคืนฉันเมามากเหรอ?… เราไม่ได้ทำอะไรที่ผิดศีลธรรมกันลงไปใช่ไหม?” หลินปู้ฟานนั้นเป็นคุณลุงที่เป็นคุณลุงจริงๆ ถ้าเขาพลาดทำอะไรเด็กสาวไปเขาต้องรู้สึกผิดมากแน่ๆ

 

 

“ฉันก็ไม่รู้ เมื่อคืนฉันก็เมามากเหมือนกัน ฉันเองก็จำอะไรไม่ได้” ซูชิงเคาะหัวเธอเผยให้เห็นท่าทางซุกซน “อะไร? ทำไมนายถึงดูตกใจขนาดนั้น?”

 

 

“…” หลินปู้ฟานถึงกับพูดไม่ออก

 

 

ในตอนนั้นเอง ประตูห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมกับจางอี้หนี่ที่เดินยิ้มเข้ามา “ตื่นแล้วเหรอ? ป้าทำซุปไว้ให้ออกไปทานข้าวเช้ากันเถอะ”

 

 

“เยี่ยมเลย!” ซูชิงเปิดผ้าปูที่นอน

 

 

หลินปู้ฟานเหลือบไปมอง โชคดีที่ซูชิงก็ยังสวมเสื้อผ้าอยู่

 

 

สิบนาทีต่อมา ทั้งสามคนนั่งทานข้าวอยู่ที่โต๊ะอาหาร

 

 

“เสี่ยวหลินเมื่อวานเธอไปเจออะไรมาถึงได้พากันไปฉลองขนาดนั้น?” จางอี้หนี่ถาม

 

 

“เมื่อวานเพื่อนของผมได้รับรางวัลชนะเลิศในการแข่งขันร้องเพลง พวกเขามีความสุขกันมากจึงพากันไปดื่ม” หลินปู้ฟานมองไปที่แม่และลูกสาวด้วยความอึดอัดและเขินอายเล็กน้อย

 

 

“อย่างนี้นี่เอง ป้าคิดว่าเธอทำเงินได้มากอีกครั้งเลยไปฉลองกันเสียอีก” จางอี้หนี่ลองเชิงดู

 

 

หลินปู้ฟานก้มหน้าลงและดื่มซุปโดยไม่พูดอะไรออกมา

 

 

“แม่ไม่รู้เหรอว่าเพลงที่ดีสามารถทำกำไรได้มหาศาล ริงโทนของโทรศัพท์มือถือของหนูคือเพลงที่ฮิตที่สุดในตอนนี้ ราคาดาวน์โหลดอยู่ที่ 5 หยวน”

 

 

ในปี 1998 เริ่มมีการดาวน์โหลดเพลงเป็นเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการโปรโมตเท่าไหร่ แต่หลังผ่านจากการพัฒนาโทรศัพท์มือถือแล้วธุรกิจริงโทนจะเบ่งบานเต็มที่

 

 

จางอี้หนี่แอบแปลกใจที่หลินปู้ฟานแต่งเพลงได้ด้วย

 

 

“เสี่ยวหลินการขายเพลงสามารถทำเงินได้จริงๆ เหรอ?” จางอี้หนี่ถามอย่างสงสัย

 

 

หลินปู้ฟานไม่อยากพูด แต่ซูชิงก็พูดออกไปแล้ว มันจึงทำให้เขาไม่มีทางเลือก “ในอนาคตไม่ไกลเพลงดีๆ จะทำกำไรได้ไม่น้อยเลยครับ การดาวน์โหลดเสียงเรียกเข้าเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ในอนาคต KTV ภาพยนตร์ และละครโทรทัศน์ที่นำเพลงไปใช้ล้วนต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้กับเจ้าของลิขสิทธิ์ทั้งนั้น”

 

 

ยังมีอีกจุดหนึ่งที่หลินปู้ฟานไม่ได้พูดออกไป หลังจากนั้นเครื่องเล่นเพลงมากมายจะปรากฏขึ้นจนทำให้ผลตอบแทนจากค่าลิขสิทธิ์นั้นมากมายมหาศาล

 

 

ลิขสิทธิ์ทรัพย์สินทางปัญญาจะครอบคลุมมากขึ้นและจะดึงดูดความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ

 

 

ในภาพยนตร์เรื่อง”กังฟู”ในชีวิตก่อนของเขา เพลงที่ใช้ในภาพยนต์นั้นสร้างรายได้ให้กับจินต้าเสียที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์อย่างมาก

 

 

น่าเสียดายที่จางอี้หนี่คิดว่าการขายเพลงเป็นเพียงธุรกิจเล็กๆ และไม่สามารถทำเงินได้มากมายเท่าไหร่ ในอนาคตเธอจะต้องเสียใจที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในธุรกิจพวกนี้

 

 

หลังจากทานอาหารเสร็จ จางอี้หนี่ก็รินชาให้หลินปู้ฟาน

 

 

“ตอนนี้ที่กุ้ยซานเป็นอย่างไรบ้างครับ” หลินปู้ฟานถาม

 

 

“ตอนนี้เราได้ซื้อที่ดินเปล่าไป 80 แห่งแล้วใช้เงินไปทั้งหมด 9 ล้านหยวนและเรายังมีเงินทุนหมุนเวียนเหลืออยู่อีกประมาณ 35 ล้าน ตามที่เธอบอก เรากำลังพยายามจะซื้อที่รกร้าง 200 เอเคอร์ที่อยู่หลังภูเขา” ตอนนี้เธอใช้ทั้งโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดไปจำนองกับธนาคารแล้ว ลุงซูเองก็เหมือนกัน

 

 

“เราต้องเอาที่ดินผืนนั้นมาเป็นของเราให้ได้” หลินปู้ฟานดื่มน้ำและพูดต่อ “ในอีกไม่นานพวกเจ้านายทั้งหลาย น่าจะรู้ข่าวเกี่ยวกับเขตพัฒนากันแล้ว”

 

 

“เสี่ยวหลิน” จางอี้หนี่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ป้ากับลุงซูเดิมพันกับการลงทุนครั้งนี้ด้วยทรัพย์สินทั้งหมดของเรา”

 

 

“ไม่ต้องกังวล ป้าจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอนครับ” หลินปู้ฟานกล่าวด้วยท่าทางสบายๆ

 

 

“ยังไงก็ตามเธอเคยพูดไว้ครั้งก่อนว่าหลิงซานจะมีการขุดพบกระถางสำริดและพื้นที่แถวนั้นจะกลายเป็นพื้นที่ที่ได้รับการคุ้มครองใช่ไหม?”

 

 

“ใช่ครับ หลิงซานเป็นที่ตั้งสถานศึกษาหลิงซานอดีต ในสมัยราชวงศ์ชิงทางทิศตะวันออกของหางโจวเคยเป็นที่ตั้งของหัวเมืองสำคัญและที่นั่นก็มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างมาก มันจะทำให้รัฐบาลต้องสร้างพิพิธภัณฑ์ที่นั่นแน่นอน ทำไมถึงป้าถามเรื่องนี้อีกครับ?”

 

 

“เพื่อนของป้าบอกว่ามีเจ้านายหลายคนซื้อที่ดินและบ้านแถวนั้นในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าเผิงปู้กำลังจะสร้างเป็นเขตพัฒนาจริงๆ” จางอี้หนี่กล่าว

 

 

หลินปู้ฟานยิ้ม “ป้าจาง ป้ากังวลว่าหลิงซานจะไม่กลายเป็นพิพิธภัณฑ์และจะทำให้ที่ดินที่เราซื้อไว้มีมูลค่าลดลงใช่ไหมครับ?”

 

 

จางอี้หนี่เลิกคิ้ว เธอกังวลเรื่องนี้มากจริงๆ

 

 

เพราะดูยังไงหลิงซานก็ดีกว่ากุ้ยซานเห็นๆ ไม่ว่าจะเป็นที่ตั้งทางภูมิศาสตร์หรือเส้นทางคมนาคม

 

 

“ถ้าป้ากังวลขนาดนั้น งั้นเราไปที่หลิงซานกันตอนนี้เลยไหมครับ? ไปดูด้วยกันและบอกให้ลุงซูขึ้นเครื่องตามไปด้วย” หลินปู้ฟานยืนขึ้นและยืดตัว

 

 

“ฉันก็จะไปด้วย!” ซูชิงยกมือขึ้น

 

 

จางอี้หนี่ขับรถพาหลินปู้ฟานและซูชิงไปที่หลิงซาน และบอกกับลุงซูให้ไปเจอกันที่นั่น

 

 

หลิงซานและกุ้ยซานอยู่ในเขตเผิงปู้

 

 

อยู่ใกล้กับทางหลวงและถนนในหมู่บ้านราบเรียบมาก มีบ้านที่ทำด้วยอิฐมากกว่าหนึ่งโหลเป็นบ้านที่สร้างออกมาอย่างดี ปูด้วยกระเบื้องอย่างดี บางหลังมีสวนดอกไม้และต้นไม้เล็กๆ ประดับอยู่ด้วย บอกได้ว่าสภาพแวดล้อมที่นี่ดีกว่ากุ้ยซานหลายเท่า

 

 

การซื้อบ้านแบบนี้มีค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 400,000 ถึง 600,000 หยวน

 

 

ส่วนที่ดินก็ยิ่งแพงขึ้นไปอีก

 

 

เมื่อเข้าไปในหลิงซาน เขาก็พบกับป้ายโฆษณามากมายที่ประกาศหาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในท้องถิ่น นอกจากนี้ยังมีห้างร้านอีกมากมายบนถนนที่ติดป้ายประกาศรับซื้ออสังหาริมทรัพย์

 

 

ดูเหมือนว่าข่าวการพัฒนาในเขตเผิงปู้จะแพร่ออกไปแล้ว

 

 

“โชคดีที่เรานำหน้าไปหนึ่งก้าวและซื้ออสังหาริมทรัพย์มากมายในกุ้ยซานมาก่อนแล้ว” หลินปู้ฟานกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

 

ลุงซูขมวดคิ้วและพูดอย่างเคร่งขรึม “ที่ตั้งที่นี่ดูเหมือนจะดีกว่ากุ้ยซานมากจริงๆ”

 

 

“ลุงซูไม่ต้องกังวลไป เพราะสถานที่แห่งนี้จะถูกรัฐบาลยึดไปเพื่อสร้างพิพิธภัณฑ์ในที่สุด” หลินปู้ฟานเดินนำทั้งสามคนเข้าไปในตรอกที่พื้นของตรอกเต็มไปด้วยอิฐสีน้ำเงิน หลินปู้ฟานนั่งยองๆ และสัมผัสกับก้อนอิฐ”อิฐสำหรับเข้าสู่สถานที่ราชการ”สถาบันระดับสูงในสมัยโบราณใช้อิฐดังกล่าวปูพื้นและหลังจากมองดูไปรอบๆ เขาก็พบอิฐบางส่วนที่ถูกสลักคำบางคำไว้

 

 

หลินปู้ฟานเคยมาที่นี่หลายครั้งในช่วงชีวิตที่แล้ว ในตอนนั้นที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงไปแล้วและอิฐหินเหล่านี้ก็ถูกนำไปบรรจุในตู้กระจกและถือว่าเป็นวัตถุโบราณทางวัฒนธรรม

 

 

“นายกำลังทำอะไร?” ซูชิงถามอย่างสงสัย

 

 

“ไม่มีอะไร” หลินปู้ฟานไม่ต้องการอธิบายมากกว่านี้

 

 

มีเพียงครัวเรือนเดียวที่อยู่ในตรอกนี้และมีรูปปั้นหินของพระโพธิสัตว์สององค์ที่ประตู รูปปั้นทั้ง 2 นี้ก็ถือวัตถุทางประวัติศาสตร์ด้วยเหมือนกัน ประตูของบ้านหลังนี้ก็ด้วย

 

 

มีเสียงการก่อสร้างดังออกมาจากด้านใน

 

 

“เอาหนังสือเน่าๆ พวกนั้นกับเก้าอี้ที่ขาดรุ่งริ่งเหล่านี้ไปทิ้งซะ!” ชายร่างอ้วนสวมกางเกงลายโพลีเอสเตอร์และผมปิดหูกำลังสั่งให้คนงานก่อสร้างตกแต่งบ้าน

 

 

มีกระเบื้องมากกว่าหนึ่งโหล เสาไม้ หน้าต่างดอกไม้ งานแกะสลักที่เป็นรูปคนและสิ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือภาพ”คำสอนของขงจื้อ”

 

 

ลานจัตุรัสแห่งนี้เป็นห้องเรียนที่มีการเรียนการสอนระดับสูงซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของสถาบันหลิงซานในอดีต

 

 

“เสี่ยวหลิน ลุงเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าถ้าหากที่นี่จะกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ในอนาคต เราก็อาจจะทำเงินจากการซื้อบ้านที่นี่แล้วขายให้รัฐบาลได้” ลุงซูพูดเชิงถามออกมา

 

 

หลินปู้ฟานหัวเราะ “ลุงคิดอย่างนั้นเหรอครับ? ลุงรู้ประวัติของสถาบันหลิงซานไหมครับ? สถาบันหลิงซานเป็นสถาบันการศึกษาที่ดำเนินงานโดยรัฐบาลหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือที่นี่เป็นสถานที่ราชการในสมัยโบราณทำให้สิทธิ์ในทรัพย์สินของที่นี่ทั้งหมดถือเป็นสิทธิ์ของรัฐบาล ถ้าหากลุงถือครอบครองทรัพย์สินของที่นี่ก็เท่ากับว่าลุงครอบครองสิ่งผิดกฎหมายและลุงอาจจะต้องสูญเสียทุกอย่าง”

 

 

“โอ้ เป็นอย่างนั้น?” ลุงซูเลิกคิ้ว

 

 

“ทำไมเจ้าของบ้านนี้ถึงได้ตกแต่งบ้านหลังนี้ใหม่?” ซูชิงถามอย่างสงสัย

 

 

“ตอนนี้ในหมู่บ้านมีคนกำลังหาซื้อบ้านอยู่เป็นจำนวนมาก เจ้าของคนนี้คงรู้ว่ากำลังจะมีการพัฒนาอะไรบางอย่างที่นี่ เขาจึงคิดว่าถ้าเขาตกแต่งอย่างดีเขาอาจจะได้เงินมากขึ้น” หลินปู้ฟานอธิบาย

 

 

“เป็นไง ที่นี่สวยไหม?” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น

 

 

“ซินเยว่?” จางอี้หนี่หันไปเห็นกู่ซินเยว่

 

 

กู่ซินเยว่คือหัวหน้าที่เปิดโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า

 

 

“พี่…” กู่ซินเยว่พาผู้ช่วยสองคนมาด้วย เธอสวมกระโปรงสีครามสีน้ำเงินและสีขาวคลาสสิกสง่างาม “พี่ก็รู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ?”

 

 

“เธอหมายถึงเรื่องเขตพัฒนาเผิงปู้ใช่ไหม?”

 

 

“อ่า แน่นอนว่าพี่ต้องรู้เรื่องนี้อยู่แล้วสินะ”

 

 

“ฮ่าฮ่า… เราก็กำลังตามหาพระเอกของงานอยู่เหมือนกัน” จางอี้หนี่หัวเราะ

 

 

ที่อยู่อาศัยแถวนี้เป็นที่อยู่อาศัยที่ใหญ่ที่สุดในหลิงซาน หากหลิงซานได้รับการพัฒนาจริงๆ ก็จะสามารถสร้างโชคลาภได้

 

 

กู่ซินเยว่ขมวดคิ้วของเธอ “พี่มาที่นี่ แสดงว่าพี่ก็กำลังเล็งบ้านหลังนี้อยู่เหมือนกันสินะ ถึงแม้ว่าเราจะสนิทกันแต่ฉันไม่ยอมยกบ้านหลังนี้ให้หรอกนะคะ บ้านหลังนี้สวยมากฉันจะซื้อมัน”

 

 

จางอี้หนี่ตะลึงและชี้ไปที่บ้าน “เธอต้องการจะซื้อบ้านหลังนี้จริงๆ เหรอ?”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด