อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) – บทที่ 4 ผูกเชือกรองเท้า
ตอนที่ 4 ผูกเชือกรองเท้า
เช้าวันต่อมา มีเสียงทุบอย่างแรงที่ประตูบ้าน
“คนแซ่หลิน ฉันรู้ว่าแกอยู่ข้างในออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ! แกค้างค่าเช่าฉันมาสองเดือนแล้วถ้าวันนี้แกไม่มีจ่ายฉันจะยึดของแกทั้งหมด เปิดประตู!” หลัวฮุ่ยจูที่เป็นเจ้าของบ้านเช่าคำรามเสียงดังอยู่ที่หน้าประตู
หลินเจิ้งตงทำเหมือนไม่อยู่ในห้อง เขาหันหน้ามาส่งสัญญานให้ลูกชายของเขาให้เงียบๆไว้ “ชู่ว….”
หลินปู้ฟานต้องการที่จะบอกว่าพวกเราไม่จำเป็นที่จะต้องทำแบบนี้อีกแล้ว วันนี้เขาจะได้เงิน 5 แสน แต่เขาก็ไม่สามารถพูดออกไปได้
“ดี! แกต้องการจะเล่นเกมส์ใช่ไหม? แกคิดว่าฉันไม่กล้าเหรอ? ฉันไม่เชื่อหรอกว่าแกจะมีความอดทนมากกว่าฉัน ถ้าแกไม่ยอมโผล่หัวออกมา วันนี้ก็แกก็ไม่ต้องไปทำงานลูกชายแกก็เหมือนกัน!”
เมื่อนึกขึ้นได้ว่าลูกชายของเขาจำเป็นต้องไปโรงเรียน หลินเจิ้งตงจึงต้องกัดฟันและยอมเปิดประตูออกไป
“โถ่ เถ้าแก่เนี้ยให้เวลากับผมอีกสักสองสามวันนะ ผมสัญญาว่าผมจะหาเงินมาจ่ายให้ได้แน่นอน” หลินเจิ้งตงขอร้อง
“ฉันไม่ได้เปิดบ้านเพื่อการกุศลนะ ไป! รีบขนของของแกออกไปได้แล้ว” หลัวฮุ่ยจูชี้ไปที่หน้าของหลินเจ้งตงพร้อมกับตะคอกออกมา
ใบหน้าของหลินเจิ้งตงเต็มไปด้วยความอับอาย แต่เขาก็ยังคงอ้อนวอน “เถ้าแก่เนี้ย เมตตาพวกเราเถอะนะภรรยาของผมป่วยหนักอยู่ที่โรงพยาบาล ตอนนี้ผมไม่มีเงินเลยแม้แต่หยวนเดียวผมขอเวลาอีกสักสองสามวันเถอะนะ”
“อย่ามาใช้ไม้นี้กับฉัน ฉันไม่ใช่พระโพธิสัตว์นะ ถ้าเกิดไม่มีเงินจ่ายตอนนี้ก็ขนของออกไป” หลัวฮุ่ยจูคำรามอย่างร้ายกาจ
ในตอนที่หลินปู้ฟานกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ก็มีเสียงดังมาจากด้านหลังของหลัวฮุ่ยจู
“แม่อย่าทำแบบนี้เลย แม่ไม่กลัวบาปกรรมบ้างหรือไง?”
คนที่พูดคือหลัวเสี่ยวเสี่ยว ลูกสาวเพียงคนเดียวของหลัวฮุ่ยจู
ปีนี้หลัวเสี่ยวเสี่ยวอายุ 20 ปี เนื่องจากพ่อของหลัวเสี่ยวเสี่ยวแต่งงานเข้าตระกูลหลัว ทำให้หลัวเสี่ยวเสี่ยวต้องใช้นามสกุลเดียวกับแม่ของเธอ
“ไปไปไป อย่ามายุ่งตรงนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องของลูก” หลัวฮุ่ยจูขมวดคิ้วและไล่ลูกสาวของเธอออกไป
“แม่! บ้านน้องหลินน่าสงสารจะตายและห้องของเราก็ไม่ได้หรูเหมือนโรงแรม 5 ดาวเสียหน่อย ค่าเช่าเพียงแค่ 100 หยวนต่อเดือนเท่านั้น ค่าเช่าที่พวกเขาค้างอยู่แม่จะหักออกจากค่าขนมของหนูก็ได้นะ”
“อวดดีมาก! ลูกคิดว่าเงินค่าขนมของลูกมาจากไหน ความรักมันไม่ได้มีค่าเท่ากับเงินนะ.. ทำไมลูกคนนี้ถึงยิ่งโตยิ่งโง่ขึ้นทุกวันๆ”
“แม่ ครอบครัวของน้องหลินน่าเห็นใจมากนะแม่ ถือว่าเห็นแก่ลูกสาวแม่เถอะนะ ถ้าเกิดแม่ร้ายกาจขนาดนี้ แล้วใครจะกล้ามาแต่งงานกับหนู!” หลัวเสี่ยวเสี่ยวเม้มริมฝีปากของเธอพร้อมแสดงความโกรธออกมาเล็กน้อย
เฮ้อออ… เด็กคนนี้นี่นะ หลัวฮุ่ยจูถอนหายใจแล้วหันไปพูดกับหลินเจิ้งตงด้วยความหยิ่งผยอง “ถือว่าเห็นแก่ลูกสาวฉัน วันที่หนึ่งเดือนหน้าฉันต้องได้เงินค่าเช่าที่ค้างไว้ทั้งหมด ถ้าไม่มีจ่ายก็ขนของออกไปได้เลย”
“ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณมากจริงๆ” หลินเจิ้งตงโค้งให้หลัวฮุ่ยจู
หลินปู้ฟานมองไปที่หลัวเสี่ยวเสี่ยวอย่างขอบคุณ
ทั้งสองเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันในชาติแล้ว
ก่อนที่จะออกไป หลินเจิ้งตงก็เปิดกระเป๋าและหยิบเหรียญ 5 หยวนให้กับหลินปู้ฟาน “พ่อขอโทษที่มีให้แค่เท่านี้”
ในปี 1998 เงิน 5 หยวนเพียงพอที่จะซื้อนมถั่วเหลืองและขนมปังได้
เหรียญ 5 หยวนในมือของหลินปู้ฟานหนักราวกับภูเขาทั้งลูก เขาพูดกับตัวเองในใจตั้งแต่วันนี้ทุกๆอย่างจะต้องเปลี่ยนไป
นอกประตู เมฆในฤดูร้อนบนท้องฟ้ากลายเป็นสีแดงไปแล้วครึ่งหนึ่ง จักจั่นเริ่มส่งเสียงดังจากต้นไม้และร้านขายของชำริมถนนเต็มไปด้วยเพลง “Heartbreak Pacific” ของ Richard Clayderman
เมื่อเดินออกมาจากหมู่บ้าน เขาก็พบกับหลัวเสี่ยวเสี่ยวที่มีผมหน้าม้าเฉียงแบบเกาหลีพร้อมกับเสื้อยืดลายหัวกะโหลกแขนยาวสไตล์เกาหลีและกางเกงขายาวแนวเรโทร ยืนพิงต้นไม้ด้วยหน้าตาเฉยเมย
“น้องหลินมานี่” หลัวเสี่ยวเสี่ยวกวักนิ้วเรียก
หลินปู้ฟานเดินเข้าไปหา “พี่เสี่ยวเสี่ยว พี่รอผมอยู่เหรอ?”
“รอนาย? หัวน้อยๆ ของนายกำลังคิดอะไรอยู่? ฉันจะเอาข้าวให้นายถึงได้มายืนรออยู่ตรงนี้” หลัวเสี่ยวเสี่ยวยื่นถุงให้หลินปู้ฟาน มีเนื้อขนมและนมอยู่ในนั้น
“พี่สาวตั้งใจซื้อมาให้ผม? ขอบคุณแต่ผมยังไม่หิว”
“นายคิดว่าฉันตั้งใจซื้อมาให้นายเป็นพิเศษหรือไง? ฝันไปเถอะ ฉันแค่เผลอซื้ออาหารเช้ามามากเกินไปก็เท่านั้น ถ้านายไม่ต้องการก็ไม่เป็นไรฉันจะเอาไปให้หมากิน” หลัวเสี่ยวเสี่ยวเม้มริมฝีปาก
หลินปู้ฟานยิ้มแปลกๆและพูดในใจ : เด็กสาวคนนี้มีปากที่ร้ายกาจ
“ขอบคุณครับ” หลินปู้ฟานเก็บอาหารไว้ในกระเป๋าด้วยความรู้สึกอบอุ่นในใจ
“แม่ของนายเป็นอย่างไรบ้าง?” หลัวเสี่ยวเสี่ยวถาม
“ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ครับ แต่ผมจะไม่ยอมแพ้แน่นอน”
“เฮ้ออ เทพเจ้าช่างกลั่นแกล้งคนเสียจริง” หลัวเสี่ยวเสี่ยวหยิบบุหรี่ยี่ห้อหงต้าฉานออกมาจุด
หลินปู้ฟานมองไปที่หลัวเสี่ยวเสี่ยวและนึกถึงอนาคตของเธอ ความสงสารแวบเข้ามาในดวงตาของเขา “สูบให้น้อยลงหน่อย มันไม่ดีต่อสุขภาพของพี่นะ”
หลินปู้ฟานดับบุหรี่
“ดูเป็นห่วงพี่จังเลยนะ หรือนายกำลังแอบชอบพี่อยู่?” หลัวเสี่ยวเสี่ยวพูดพร้อมรอยยิ้มขี้เล่น
“เปล่าสักหน่อย!”
“ไม่ยอมรับเหรอ?” หลัวเสี่ยวเสี่ยวบีบคอหลินปู้ฟาน “อย่าคิดว่าฉันไม่เข้าใจจิตใจเด็กผู้ชายนะ ด้วยอายุของนายตอนนี้ร่างกายของฉันดูน่าหลงใหลมากเลยใช่ไหมละ? ยอมรับมาซะดีๆ ว่านายแอบชอบฉันอยู่ ยอมรับมาแล้วก็ย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านฉันได้เลย นายจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเช่าอีกต่อไปไงล่ะ”
หลินปู้ฟานรู้สึกเหมือนกำลังจะตายจริงๆ “ตกลงๆๆ ผมแอบชอบพี่อยู่ๆ”
“ยอมรับมาตั้งแต่แรกก็จบแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า….” หลัวเสี่ยวเสี่ยวปล่อยและพูดออกมาอย่างภูมิใจ “เสน่ห์ของฉันช่างร้อนแรงจริงๆ เลย”
….
เมื่อมาถึงโรงเรียน เขาก็เห็นซูชิงยืนอยู่ที่หน้าประตูโรงเรียน
เมื่อหลินปู้ฟานเดินเข้ามาใกล้
ซูชิงก็มาดักหน้าเขาทันที “หวัดดี”
“หวัดดี”
“แม่ของฉันพึ่งไปธนาคารเมื่อกี้เอง ฉันจะเอาเงินให้นายทันทีตอนที่แม่กลับมา”
“ดี” หลินปู้ฟานพยักหน้าเล็กน้อยก่อนเดินเข้าไปในโรงเรียน
ซูชิงรีบเดินตามไป “คืนนี้ฉันจะจัดงานวันเกิด นายมาได้ไหม?”
“ขอโทษด้วย ฉันต้องไปอยู่กับแม่ที่โรงพยาบาล” หลินปู้ฟานปฏิเสธ
“ฉันจะส่งรถไปรับนายตอนที่นายกลับจากโรงพยาบาล ยังไงนี่ก็เป็นวันเกิดของฉัน ฉันจะจัดมันตอนไหนก็ได้” ซูชิงพยายามใกล้ชิดกับหลินปู้ฟานมากขึ้น
หลินปู้ฟานไม่ใช่คนโง่ เขารู้ว่าซูชิงต้องการอะไร
หลังจากคิดสักพักหลินปู้ฟานก็พูดออกไปว่า “เธอจดที่อยู่โรงแรมเธอให้กับฉัน ฉันจะไปเองถ้าฉันมีเวลา”
“อืม ฉันจะเขียนให้นายเดี๋ยวนี้แหละ” เธอพูดพร้อมกับเปิดกระเป๋านักเรียนของเธอเพื่อหาปากกากับกระดาษ
“ไปเขียนที่ห้องเรียนเถอะ” หลินปู้ฟานพูดเบาๆ
“อื้อ…” ซูชิงพยักหน้าและเดินตามหลินปู้ฟานไป
เมื่อเธอมองไปที่หลินปู้ฟาน เธอก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างกระเพื่อมในหัวใจของเธอ หลินปู้ฟานในตอนนี้ช่างแตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างมาก ก่อนหน้านี้เขาเป็นเพียงแค่ผู้ชายธรรมดาๆ ทั่วไปไม่ได้โดดเด่นอะไร แต่ตอนนี้เขาดูราวกับไข่มุกราตรีที่ส่องแสงสว่างแพรวพราว แม้แต่ท่าเดินก็ยังดูมีเสน่ห์
เมื่อมาถึงห้องเรียน ซูชิงก็รีบเขียนที่อยู่ของโรงแรมและเบอร์โทรศัพท์ของเธอให้หลินปู้ฟานทันที
หลินปู้ฟานมองดูก่อนที่จะเก็บใส่กระเป๋า “ถ้าคืนนี้ฉันว่างฉันจะไปที่นั่นเอง เธอไม่จำเป็นต้องส่งรถมารับ”
“ที่นั่นมีของอร่อยๆ มากมายเลยนะ มาให้ได้เถอะนะ ตกลงไหม?” ซูชิงดึงชายเสื้อของหลินปู้ฟานพร้อมกับกระพริบดวงตากลมโตของเธอ เสน่ห์ของสาวขี้อายถูกปล่อยออกมา
ถ้าเป็นเด็กหนุ่มคนอื่นคงจะตอบตกลงไปแล้ว แต่หลินปู้ฟานไม่ใช่เด็กหนุ่มทั่วไป เพราะตอนนี้เขาคือคุณลุงในคราบของเด็ก
“กลับไปนั่งที่ของเธอได้แล้ว” หลินปู้ฟานเห็นว่าคนทั้งห้องกำลังจ้องมาที่พวกเขา
ซูชิงเป็นศูนย์กลางของชั้นเรียนมาโดยตลอดและยังเป็นเป้าหมายของเด็กผู้ชายทุกๆ คนอีกด้วย
หนึ่งในนั้นก็คือหวังปินที่ตอนนี้กำลังรู้สึกไม่พอใจที่เห็นซูชิงเข้าไปสนิทกับหลินปู้ฟาน
หวังปินเดินเข้าไปหาซูชิงอย่างประจบประแจงและหยิบตั๋วหนังออกมาสองใบ “ซูชิง ฉันซื้อตั๋วหนังเรื่องไททานิคมาสองใบหลังเลิกเรียนเราไปดูด้วยกันไหม? นี่เป็นหนังฟอร์มยักษ์ระดับโลกเชียวนะและนี่ก็เป็นที่นั่งที่ดีที่สุดเลยด้วย ฉันให้ลุงของฉันที่ทำงานอยู่ที่โรงหนังช่วยหามาให้”
ในปี 1998 ไททานิคเป็นหนังที่โด่งดังอย่างมาก
ในยุคนี้ยังมีโรงภาพยนตร์ไม่มากนักและภาพยนตร์ของบล็อกบัสเตอร์ที่เพิ่งเปิดตัวก็ต้องรอคิวเพื่อซื้อตั๋วนานมาก แถมที่นั่งที่จัดให้ก็เป็นแบบสุ่ม ทำให้มีโอกาศน้อยมากที่จะได้ที่นั่งที่ดีๆ
ซูชิงมองไปที่หวังปินอย่างไม่สบอารมณ์ “ฉันไม่ว่าง นายไปชวนคนอื่นเถอะ!”
หวังปินรู้สึกอับอาย เขาเหลือบมองไปที่หลินปู้ฟานและพูดอย่างอิจฉา “ซูชิง ทำไมเดี๋ยวนี้เธอถึงไปทำตัวใกล้ชิดกับไอ้เต่าที่น่าสงสารนั่น”
“เต่าไหน?”
“ก็ไอ้หลินปู้ฟานนั่นไง ดูสภาพที่น่าสงสารของมั…”
ก่อนที่หวังปินจะพูดจบซูชิงก็แทรกขึ้นมาทันที “ถึงแม้ว่าเขาจะยากจน แต่เขาดีกว่านายเป็นร้อยเท่า นายกลับไปนั่งที่ของนายได้แล้วอย่ามายืนตรงหน้าฉัน”
ใบหน้าของหวังปินกลายเป็นหมองคล้ำ เขามองไปที่เชือกผูกรองเท้าของเขาที่หลวมอยู่ ความคิดแวบเข้ามาในหัวของเขาทันที “หลินปู้ฟาน เชือกผูกรองเท้าของฉันมันหลวมอยู่แกช่วยมาผูกมันให้หน่อยได้ไหม? เดี๋ยวฉันให้ค่าจ้างแก 10 หยวน”
การเคลื่อนไหวทั้งหมดในห้องหยุดลงเพื่อรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
“หวังปิน อย่าให้มันมากเกินไป” ซูชิงขมวดคิ้วและยืนขึ้น
“ซูชิง ฉันแค่อย่างให้เธอรู้ว่าไอ้เต่าที่น่าสงสารตัวนี้แท้จริงแล้วมันเป็นตัวแบบไหน” หวังปินพูดต่อ “ทำไม? 10 หยวนมันน้อยเกินไป? ได้! ฉันจะให้แก 20 หยวนตราบใดที่แกมาผูกเชือกรองเท้าให้ฉัน”
เงิน 20 หยวนสำหรับนักเรียนคนหนึ่งถือว่าเยอะมากเพราะในยุคนี้สามารถซื้อข้าวที่มีเนื้อ 2 ชิ้นและผัก 2 อย่างได้ในราคา 5 หยวน
หลินปู้ฟานรู้สึกตลกเล็กน้อย เมื่อมองไปที่หวังปินที่พยายามยั่วยุเขาอยู่ เขายืนขึ้นและเดินไปข้างหน้าหวังปินช้าๆ และนั่งยองๆ เขาผูกเชือกรองเท้าให้กับหวังปิน
“ซูชิงเธอเห็นไหม? ไอ้เต่าโง่นี่มันโง่จะตาย”
หลินปู้ฟานลุกยืนขึ้นหลังจากผูกเชือกรองเท้าเสร็จ
“คนอย่างหวังปินไม่เคยกลับคำ นี่ 20 หยวนของแก”
หลินปู้ฟานยิ้มออกมา “ฉันจะกล้าเอาเงินจากคนพิการได้ยังไง? นายเก็บเงินนั่นไว้หาหมอเถอะ”
“อะไรนะ? แกด่าว่าฉันพิการเหรอ?” หวังปินประหลาดใจ
“นายใช้มือไม่ได้ด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะพิการแล้วจะเป็นอะไรได้อีก? ที่ฉันยอมผูกเชือกรองเท้าให้นายก็เพราะเห็นใจนายหรอกนะและอีกอย่าง เราก็ถือว่าเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน… เฮ้อ การกระทำของนายแม่งโคตรน่าสมเพชเลยว่ะ นายคิดจะเอาชนะใจซูชิงด้วยวิธีการง่อยๆ แบบนี้จริงเหรอ? นายมันเลวเกินไปการทำแบบนี้มีแต่จะทำให้เธอเกลียดนายมากขึ้นแค่นั้น!” หลินปู้ฟานกล่าวอย่างเย้ยหยัน
ซูชิงกระพริบดวงตากลมโตของเธอ “ปู้ฟานพูดถูก พฤติกรรมของนายมีแต่จะทำให้ฉันเกลียดนายมากขึ้นเท่านั้น!”
“ไอ้เวรเอ๊ย” หวังปินระบายอารมณ์ใส่หลินปู้ฟาน เขาผลักไปที่หลินปู้ฟานและหลินปู้ฟานก็แกล้งล้มลง
“หวังปินนี่มันจะมากเกินไปแล้วนะ”
“หวังปินหยุดเถอะ”
“หวังปิน นายจะรังแกคนอื่นมากเกินไปแล้วนะ”
นักเรียนหลายคนคนในห้องไม่ทนอีกต่อไป พวกเขารีบวิ่งเข้ามาช่วยหลินปู้ฟาน
“พวกแกเป็นอะไรกัน? มันก็แค่ไอ้เต่าน่าสมเพช”
นักเรียนส่วนใหญ่ในตอนนี้เป็นคนที่ยากจน คำพูดของหวังปินทำให้พวกเขาโกรธมากขึ้น
“นายคิดว่านายรวยมากหรือไง? แล้วนายถ้านายรวยจริงนายรวยกว่าซูชิงไหม?” เพื่อนร่วมชั้นผู้หญิงที่สวมแว่นตาเยาะเย้ย
หวังปินรู้สึกอับอายท่าทางเหนือกว่าของเขาหายไป แม่ของเขาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษของโรงเรียนที่หลินปู้ฟานเรียนอยู่และเปิดกวดวิชาเล็กๆ ส่วนพ่อของหวังปินก็เป็นเพียงแค่พนักงานตำแหน่งเล็กๆ ของรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งเท่านั้น
“หลินปู้ฟานฝากไว้ก่อนเถอะ” เมื่อพูดจบ หวังปินก็รีบออกจากห้องเรียนไป
คอมเม้นต์