อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) – บทที่ 18 โอกาสทางธุรกิจ
ตอนที่ 18 โอกาสทางธุรกิจ
ช๋งเฉินเดินเข้ามา
“ช๋งเฉิน นี่เพื่อนคนสำคัญของลุงชื่อหลินปู้ฟาน แม้ว่าเขาจะเป็นนักเรียนมัธยมปลายแต่เขาก็เป็นคนที่มีความสามารถอย่างมาก ลุงเคยได้ยินมาว่าเธอพอจะมีชื่อเสียงในแถบนี้อยู่บ้าง ลุงขอฝากให้เธอดูแลเพื่อนคนนี้ของลุงด้วยนะ หากเขามีปัญหาอะไรในอนาคตก็ฝากให้เธอจัดการที ทำให้ดีฉันมีรางวัลให้แน่นอน” ลุงซูพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“แน่นอนครับๆ ผมชื่อช๋งเฉินในอนาคตได้โปรดกรุณาผมด้วยนะครับ” ช๋งเฉินก้มตัวลงเหงื่อเย็นๆ ไหลออกมาจนชุ่มหลังของเขา เขายื่นมือออกไปและจับมือของหลินปู้ฟานด้วยความนอบน้อม ดีที่ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ทำอะไรหลินปู้ฟานลงไปไม่อย่างนั้นชีวิตเขาได้จบสิ้นลงจริงๆ แน่
เขาได้ยินมาจากพ่อของเขาว่าตอนที่ลุงซูยังเป็นวัยรุ่นก่อนที่เขาจะมาทำธุรกิจนี้ ลุงซูเคยเป็นหัวหน้าแก๊งชื่อดังมาก่อน นอกจากนี้พ่อของช๋งเฉินก็ยังเป็นลูกน้องของลุงซูมาตั้งแต่สมัยยังเป็นนักเลงอีกด้วย ถ้าเกิดหลินปู้ฟานบอกเรื่องเมื่อกี้กับลุงซูล่ะก็ ลุงซูจะต้องฆ่าเขาแน่ๆ
“เสี่ยวหลิน คืนนี้เธอว่างไปทานข้าวด้วยกันไหม?” ลุงซูถาม
“คืนนี้ผมมีนัดที่บ้านของซูชิงแล้วครับ”
“อ่าลุงเองก็มีเรื่องจะปรึกษากับจางอี้หนี่เหมือนกัน งั้นเราไปด้วยกันเถอะ”
“ได้ครับ เดี๋ยวผมขอเข้าไปตามซูชิงก่อนนะครับ”
“ได้ลุงจะรอ!”
หลินปู้ฟานเดินไปทางโรงเรียน
ช๋งเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา “ลุงซูผมสนิทกับพี่น้องหลินมากเลยครับ”
“ช๋งเฉิน ลุงบอกได้เลยว่าเขาคนนั้นไม่ใช่คนธรรมดา ในอนาคตเข้าต้องไม่ธรรมดาแน่นอน ติดตามเขาไปอย่างน้อยนายก็ยังได้กินอาหารดีๆ เข้าใจไหม?” ลุงซูตบหลังของช๋งเฉิน
“เข้าใจแล้วครับ!”
ช๋งเฉินรีบวิ่งข้ามถนนตามไปข้างหน้าของหลินปู้ฟาน เขาคุกเข่าลง “พี่หลิน… ผมผิดไปแล้ว พี่อย่าบอกเรื่องก่อนหน้านี้กับลุงซูได้ไหมครับ ถ้าลุงซูรู้ว่าผมรังแกพี่หลินผมต้องตายแน่ๆ เลยครับ”
ดวงตาของหลินปู้ฟานหรี่ลง เขาเอนตัวเข้าไปหา “คุณกำลังพูดถึงอะไร?”
ช๋งเฉินรู้ตัวทันทีว่าเขาพูดผิด “อ่าจริงสิ… พี่หลินมีความสามารถมากขนาดนี้ผมจะมีความสามารถอะไรไปรังแกพี่ได้”
“อืม ก็ถือว่าคุณยังพอมีสมองอยู่บ้าง ลุกขึ้น!”
ช๋งเฉินลุกขึ้นแล้วคืนเงินทั้งหมดให้หลินปู้ฟาน “ผมไม่กล้ารับเงินนี้ไว้แล้วครับ”
หลังจากรู้ความยิ่งใหญ่ของหลินปู้ฟาน ช๋งเฉินก็ไม่กล้าที่จะรับเงินของหลินปู้ฟานอีกเลย
“เอาเงินพวกนี้ไปซื้อบุหรี่ดีๆ แบ่งกันเถอะ ผมยังมีเรื่องให้คุณช่วยอีกในอนาคต”
“ครับผมๆ ผมจะทำให้ดีที่สุด”
“ส่วนเรื่องวันนี้ก็ลืมมันไปเถอะ เป็นผู้ชายอย่าไปคิดเล็กคิดน้อย”
หลังจากพูดจบหลินปู้ฟานก็เดินเข้าไปในโรงเรียน
หลังจากที่หลินปู้ฟานซูชิงและลุงซูจากไป ช๋งเฉินก็กลับมาที่สวน เขามองไปที่หวังปินด้วยสายตาไม่พอใจอย่างมาก
“พี่ช๋ง พี่จะเอาเงินไปคืนมันทำไม? พี่อย่าไปตกหลุมพรางของมันนะ มันไม่ได้มีญาติที่ไหนเป็นข้าราชการอะไรทั้งนั้น ผมและเพื่อนๆ ทุกคนในห้องยืนยันเรื่องนี้ได้ แม้แต่เงินค่ารักษาพยาบาลแม่ของมัน มันยังไม่มีปัญญาหาเงินไปจ่ายเลย เงินที่มันมีต้องเป็นเงินที่ขโมยมาแน่นอน ถ้าหากว่าพี่เอาเรื่องนี้ไปแจ้งตำรวจตำรวจอาจจะมีรางวัลให้พี่ก็ได้” หวังปินพูดอย่างไร้เดียงสา
ยิ่งช๋งเฉินได้ยินคำพูดโง่ๆ ของหวังปินมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น “รางวัลบ้านมึงสิ!”
พอสิ้นคำเขาก็ตบออกไปเต็มแรง
“อ้ากกกก…” หวังปินกรีดร้อง
เสียงตบอย่างรุนแรงดังขึ้นอีกครั้งและอีกครั้งจนทำให้หวังปินถึงกับร้องไห้ออกมา
ไม่นานพวกหลินปู้ฟานก็มาถึงโรงแรมจุนหัว
ซูชิงมองไปที่นาฬิกาของเธอ มันเป็นเวลา 17:15 น. หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว เธอจึงพาลุงซูและหลินปู้ฟานไปที่ห้องทำงานของแม่เธอที่อยู่ที่ชั้น 5
“เจียงเฟิง ฉันให้เวลาคุณมานานเกินไปแล้วคุณต้องหาเงินมาคืนฉันภายในเดือนนี้ให้ได้ ถ้าหามาคืนให้ฉันไม่ได้คุณก็เตรียมรับหมายศาลได้เลย”
“โถ่หัวหน้าจาง ตอนนี้ผมไม่มีเงินจริงๆ ให้ผมเอาโรงงานของผมมาจำนองไว้กับคุณก่อนได้ไหม?”
“ฉันดูเหมือนคนโง่ขนาดนั้นเลยหรือไง? โรงงานของคุณตั้งอยู่ไกลและเส้นทางขนส่งก็ลำบากแถมราคาโรงงานกับที่ดินของคุณมีค่ารวมกันแค่ 2 ล้านเท่านั้น แต่เงินที่คุณยืมฉันไปมันคือ 3 ล้าน! ทั้งหมดคือเงิน 3 ล้านนะคุณลืมไปแล้วหรือไง? ให้ตายสิ! ฉันไม่น่าตาบอดให้คุณยืมแต่แรกเลย” บทสนทนาระหว่างจางอี้หนี่และเจียงเฟิงดังออกมาจากในห้องทำงาน
“หัวหน้าจาง ต่อให้คุณจะฆ่าผมให้ตายตอนนี้ ผมก็ไม่มีเงินมาจ่ายให้คุณจริงๆ”
“เจียงเฟิงคุณอย่ามาเล่นลิ้นกับฉัน ฉันรู้ว่าคุณมีเครื่องดีวีดีที่เตรียมไว้ขายอยู่ในโกดังที่กวางหนาน ถ้าคุณขายพวกมันคุณก็น่าจะมีเงินมาจ่ายหนี้ของฉันได้” จางอี้หนี่ชื้อข้อมูลนี้มาจากพนักงานคนหนึ่งของเจียงเฟิง
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเจียงเฟิงก็รู้สึกกลัวขึ้นมา “ของพวกนั้นมันเป็นของผม นั่นมันเงินของผม คุณไม่มีสิทธิ์เอาพวกมันไป”
“ฮึ่ม ถ้าอย่างนั้นก็ได้ ถ้าคุณจะเอาแบบนั้นเราก็คงต้องคุยเรื่องนี้กันต่อที่ศาล”
“หัวหน้าจาง ถ้าคุณให้เวลาผมอีกสักหนึ่งปี หลังจากที่ผมขายสินค้าในโกดังแล้วผมสามารถเอาเงินไปลงทุนใหม่แล้วจะหาเงินมาคืนคุณได้แน่นอน” เจียงเฟิงเปิดโรงงานชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเนื่องจากการจัดการที่ไม่ดีจึงทำให้ตอนนี้ธุรกิจของเขาอยู่ในขั้นตอนการถูกระงับ
“คุณจะทำอะไรต่อจากนี้มันก็เรื่องของคุณ แต่ฉันต้องได้เงินคืนภายในเดือนนี้ ถ้าไม่ได้ฉันจะส่งเรื่องนี้ขึ้นฟ้องศาล”
เจียงเฟิงกัดฟัน เขาก้มหน้าลงและกำหมัดแน่นดีวีดีพวกนี้คือความหวังของเขา แต่ถ้าเขาไม่จ่ายเงินให้จางอี้หนี่ เธอก็จะฟ้องเขาจริงๆ อย่างที่เธอพูดแน่นอน
ด้วยความไม่เต็มใจ เจียงเฟิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมตกลง
ประตูถูกเปิดออก เจียงเฟิงเดินออกไปด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
“แม่ดุจริงๆ” ซูชิงเดินยิ้มเข้ามา
“หึ! จะไม่ให้แม่ดุได้ยังไง? เขาเข้ามาขอผ่อนผันเดือนแล้วเดือนเล่าอยู่แบบนี้ไม่เคยคิดที่จะจ่ายคืนเลยสักครั้ง ตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่าเขาจะขายดีวีดีมาจ่ายหนี้ 3 ล้านของแม่ได้”
ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 การรับชมภาพยนตร์ยังต้องใช้ตลับเทปหนาๆ อยู่ แต่ไม่นานหลังจากนี้วีซีดีและดีวีดีก็จะเข้ามาแทนที่ จากเทปตลับหน้าจะกลายเป็นคอมแพคดิสก์แผนบางๆ
แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้กันเลยก็คือ แม้กระทั่งดีวีดีและวีซีดีที่ล้ำสมัยก็จะอยู่ได้เพียงไม่นานเท่านั้น เพราะในอนาคตบ้านแทบทุกหลังจะมีทีวีดิจิทัลและคอมพิวเตอร์ใช้กันเป็นของธรรมดา
จางอี้หนี่รินน้ำชาให้หลินปู้ฟานกับลุงซู
ลุงซูยิ้มอย่างดูถูก “เจียงเฟิงคนนี้ถือได้ว่าเป็นคนรุ่นแรกที่ร่ำรวย ฉันนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาจะตกอยู่ในสภาพแบบนี้ได้”
“มันเป็นเรื่องปกติที่เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับคนโง่แบบเขา ยังไม่ต้องพูดถึงคุณภาพของชิ้นงานจากโรงงานของเขาด้วยซ้ำ แค่การที่เขาเลือกไปตั้งโรงงานในสถานที่ห่างไกลอย่างเผิงปู้นั่นก็ทำให้เขาล้มละลายได้แล้ว เพราะแรงงานข้ามชาติส่วนใหญ่เดี๋ยวนี้เลือกที่ทำงานกันที่หางโจวเสียส่วนใหญ่ พวกเขาคงจะไม่ยอมเดินทางไกลขนาดนั้นเพื่อไปทำงานแน่นอน”
“ถูกอย่างที่พูดและที่นั่นเต็มไปด้วยอันตรายทุกหนทุกแห่ง ฉันมองไม่ออกจริงๆ ว่าเจียงเฟิงจะเอาตัวรอดจากสถานะการณ์แบบนี้ได้อย่างไร ถ้ามีโอกาสฉันอาจจะแนะนำลูกค้ารายใหญ่สัก 2-3 รายให้ไปเหมาสินค้าของเขา”
“ถ้าเป็นแบบนั้นก็จะดีมากเลย ฉันจะเสนอค่านายหน้าให้คุณอย่างงามเลย”
“ฮ่าฮ่าฮ่า หัวหน้าจางพูดเหมือนเราเป็นคนอื่นคนไกลไปได้”
ในตอนนั้นก็มีบางอย่างแวบเข้ามาในหัวของหลินปู้ฟาน
เผิงปู้? ชานเมืองทางเหนือสุดของหางโจวที่นั่นเป็นเหมือนบ้านนอกสำหรับชาวหางโจว
แต่ในเดือนตุลาคมปี 1998 สถานที่ดังกล่าวจะกลายเป็นหนึ่งในโครงการเขตพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาล หลังจากนั้นราคาที่ดินและอสังหาทรัพย์ที่นั่นก็พุ่งสูงขึ้นจนในปี 2019 ราคาที่อยู่อาศัยขั้นต่ำก็มีราคาต่ำสุดอยู่ที่ 5 หมื่นหยวน
หลายคนรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ฉวยโอกาสนี้เอาไว้
เหมือนกับที่คนในเซี่ยงไฮ้มีคำกล่าวที่ว่า พวกเขายอมที่จะมีเตียงในผู่ซีเพียงหลังเดียวมากกว่ามีห้องในผู่ตง ตอนนั้นพวกเขาคิดว่าผู่ตงเป็นเป็นเพียงที่ที่ไร้ค่า แต่หลังจากนั้นไม่กี่ปีผู่ตงก็กลายเป็นแหล่งขุมทรัพย์ที่ทุกคนเสียดาย
หลินปู้ฟานระงับความตื่นเต้นของเขา “เมื่อกี้ ป้าบอกว่าโรงงานของหัวหน้าเจียงอยู่ที่เผิงปู้ใช่ไหม?”
“ใช่จ่ะเสี่ยวหลิน เธอก็คิดเหมือนกันใช่ไหม? การที่จะไปตั้งโรงงานในที่ที่ห่างไกลแบบนั้นมันเป็นอะไรที่โง่มาก ป้าไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ตอนที่เขาตอนตัดสินใจไปตั้งโรงงานที่นั่น” จางอี้หนี่เยาะเย้ยเจียงเฟิง
“ป้าจางรีบเรียกเจียงเฟิงกลับมาด่วนเลยครับ” หลินปู้ฟานยืนขึ้น
คอมเม้นต์