อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) – บทที่ 19 เค้กแสนอร่อย
ตอนที่ 19 เค้กแสนอร่อย
จางอี้หนี่แปลกใจ “ทำไมหลานถึงต้องการให้เรียกเขากลับมา? เขาต้องรีบไปหาเงินเพื่อมาใช้หนี้ป้า”
“ป้ากำลังจะพลาดเงินก้อนใหญ่” หลินปู้ฟานไม่ได้คิดเหมือนจางอี้หนี่ แม้ว่า DVD ที่ขายได้ถึง 3 ล้านหยวนพอที่จะใช้หนี้ได้ แต่โรงงานและที่ดินในเผิงปู้นั้นกลับมีค่ามากกว่า เพราะในอนาคตมูลค่าของพวกมันจะเพิ่มขึ้นถึง 20 เท่าและถ้าเขาสร้างอสังหาริมทรัพย์เองเขาจะทำเงินได้มากกว่านั้นอีก
ยิ่งไปกว่านั้นการที่จะขายดีวีดีให้ได้เงินมากกว่า 3 ล้านหยวนจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยก็ครึ่งครึ่งปี แต่ในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ทั้งที่อยู่อาศัยโรงงานและที่ดินในเผิงปู้จะมีราคาพุ่งสูงขึ้นหลังจากรัฐบาลออกประกาศการพัฒนาเขตเศรษฐกิจ
การจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจนี้จะทำให้มีเศรษฐีหลายร้อยคนเกิดขึ้น
“โอกาสที่ทำเงินอะไร?” จางอี้หนี่ย่นคิ้วของเธออย่างไม่เข้าใจ
“แม่ หนูจะไปตามลุงเจียงกลับมาเอง” เมื่อเห็นจางอี้หนี่มึนงง ซูชิงจึงวิ่งออกไปตามเจียงเฟิงด้วยตัวเอง
หลังออกมาจากโรงแรมเจียงเฟิงก็ยังไม่ได้ไปไหนไกล เขานั่งอย่างอ่อนแรงบนพื้นหญ้าข้างๆ พร้อมกับมองไปบนฟ้าด้วยน้ำตาที่เอ่อล้นออกมา
ในห้องทำงาน
“เสี่ยวหลิน หลานหมายความว่ายังไง? ป้ากำลังจะพลาดโอกาสอะไร?” จางอี้หนี่รู้ดีว่าหลินปู้ฟานไม่ใช่คนธรรมดา
“ป้าจาง ในอีกไม่นานนี้หางโจวจะจัดเผิงปู้ให้เป็นเขตพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและเมื่อเผิงปู้กลายเป็นแบบนั้นแล้วราคาของที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ก็จะพุ่งสูงขึ้นมาก คุณป้าเข้าใจความหมายของผมใช่ไหม?”
จางอี้หนี่หายใจเข้าลึกๆ และมองไปที่มือของเธอ หลังจากคิดสักสักพักเธอก็พูดออกมา “เสี่ยวหลิน หลานรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร? หลานรู้ไหมว่าเผิงปู้เป็นที่ที่ทุรกันดารอย่างมาก ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อแทบทุกสาย แล้วอย่างนี้หางโจวจะเลือกให้ที่นั่นเป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจได้อย่างไร?”
ในตอนนี้เขตพัฒนาเศรษฐกิจได้รับการดำเนินการเฉพาะในเมืองที่เป็นเมืองสำคัญๆ และเมืองหลวงเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น แต่หลังจากปี 2000 เขตอุตสาหกรรมและเขตเศรษฐกิจรวมถึงบริษัทเอกชนจะโผล่ขึ้นมามากมายราวกับหน่อไม้ที่ผุดขึ้นมาหลังฝนตก
“เท่าที่ลุงรู้ การที่จะผลักดันให้ที่ไหนสักแห่งให้เป็นเขตเศรษฐกิจนั้นจะต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อยและก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยด้วย” ลุงซูแสดงความสงสัย “แล้วถ้ารัฐบาลต้องการจะทำเขตเศรษฐกิจจริง ทำไมรัฐบาลต้องเลือกพื้นที่ห่างไกลอย่าเผิงปู้ด้วย?”
“ใช่ การขนส่งที่เผิงปู้นั้นลำบากอย่างมากเพราะยังไม่มีถนนหลักเส้นไหนเชื่อมเข้าไปเลยแม้แต่เส้นเดียว การจะทำอะไรที่นั่นเป็นเรื่องที่อยากอย่างมาก” จางอี้หนี่แสดงความสงสัยอีกครั้งเพื่อยืนยัน “เสี่ยวหลิน หลานรู้จักกับคนใหญ่คนโตในรัฐบาลเหรอ?”
หลินปู้ฟานยักไหล่และยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ ไม่แปลกอะไรที่คนพวกนี้จะไม่เชื่อเขาและนั่นมันก็จะทำให้พวกเขาต้องเสียโอกาสไป
มีเพียงหลินปู้ฟานเท่านั้นที่รู้ว่าหลังจากกำหนดเขตพัฒนาเศรษฐกิจแล้วเส้นทางการคมนาคมมากมายจะเชื่อมเข้าไปที่นั่น ในอนาคตแม้แต่รถไปใต้ดินก็สามารถไปที่นั่นได้
“ผมเป็นแค่นักเรียนธรรมดา ผมจะไปรู้จักคนใหญ่คนโตในรัฐบาลได้ยังไง? แต่ผมคิดว่าป้าจางน่าจะรู้ดีว่าผมรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?” หลินปู้ฟานพูดอย่างมีความหมาย
จางอี้หนี่ขมวดคิ้วและคิดในใจ: ครั้งก่อนที่หลินปู้ฟานช่วยเธอไว้ เขาบอกว่าเขาสามารถทำนายอนาคตได้…หรือว่าเขาจะเห็นมันอีกครั้ง?
“โอกาสดีๆ แบบนี้ไม่ได้มีมาบ่อยๆนะครับ” หลินปู้ฟานพูดช้าๆ
ไม่นานซูชิงก็มาถึงหน้าประตูห้องทำงาน “แม่ หนูตามคุณลุงเจียงเฟิงกลับมาแล้วค่ะ ตอนนี้หนูให้เขารออยู่ที่ชั้นหนึ่ง แม่จะทำยังไงต่อคะ?”
ซูชิงเข้าใจเรื่องต่างๆ ดีเธอจึงให้เจียงเฝิงรออยู่ข้างล่าง เพราะกลัวว่าเจียงเฟิงจะรู้เรื่องที่หลินปู้ฟานกับแม่กำลังคุยกันอยู่
“ดีมากลูก” จางอี้หนี่พยักหน้ายอมรับในความสามารถของลูกสาวของเธอ
จางอี้หนี่บีบมือตัวเองเพราะนี่ไม่ใช่การลงทุนเล็กๆ ถ้าเผิงปู้ไม่ได้เป็นหนึ่งในเขตพัฒนาเศรษฐกิจหรือหางโจวไม่ได้วางแผนที่จะพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจเลยเธอก็จะเสียเงินเปล่า
ลุงซูก้มหน้าคิด: จางอี้หนี่จะเลือกยังไง? เธอจะลงทุนกับเรื่องนี้ไหม?
ลุงซูเชื่อในวิสัยทัศน์และความสามารถทางธุรกิจของหลินปู้ฟานแต่เรื่องนี้จะใช้แค่นั้นไม่ได้ การตัดสินอะไรพวกนี้ขึ้นอยู่กับรัฐบาลไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขา
เรื่องนี้เป็นเหมือนกับการวางผังเมืองใหม่ของเกาะฮ่องกงในอดีต แม้แต่ลีเหมาเหมาคนที่ร่ำรวยที่สุดในฮ่องกงในอดีตยังตัดสินใจผิดผลาดได้เลย
เมื่อเห็นแม่ของเธอกำลังลังเล ซูชิงจึงพูดออกมาด้วยความกังวล “แม่ หนูเชื่อใจเขา”
“เอาล่ะ! ฉันตัดสินใจแล้ว” จางอี้หนี่ยืนขึ้นและมองไปที่หลินปู้ฟานอย่างแน่วแน่ “ป้าจะเชื่อเธอเสี่ยวหลิน”
หลินปู้ฟานรู้สึกตลก คุณตัดสินใจได้นานแล้ว แต่คุณไม่รู้ว่าจะพูดออกมายังไง ต้องรอให้ลูกสาวช่วยก่อน
ทั้งหมดลงมาถึงชั้นล่าง
เจียงเฟิงกำลังรอพวกเขาอยู่ในห้องอาหาร
“เจียงเฟิงฉันคิดแล้วว่าดีวีดีของคุณพวกนั้นมันเปรียบเหมือนอนาคตของคุณ ฉันไม่ควรจะใจร้ายกับคุณจนเกินไป” จางอี้หนี่แสร้งทำเป็นคิดถึงความสัมพันธ์เก่าๆ “เราก็เป็นเพื่อนกันมากว่าสิบปีแล้ว เดิมทีฉันก็คิดว่าจะผ่อนผันให้คุณสัก 2-3 เดือนอยู่แล้ว แต่ธุรกิจของฉันก็ต้องการเงินทุนหมุนเวียนธุรกิจเช่นกัน เอาแบบนี้ไหม? เอาแบบที่คุณพูดตอนแรกคุณเอาที่ดินกับโรงงานของคุณมาจำนองไว้กับฉันก่อน ส่วนที่เหลืออีก 1 ล้านหยวนเราสามารถคุยกันทีหลังได้”
เจียงเฟิงที่หมดสิ้นความหวังไปแล้วตอนนี้ราวกับมีไฟแห่งความหวังถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง “ขอบคุณๆ ขอบคุณจริงๆ ผมจะจดจำบุญคุณครั้งนี้ไปตลอด เงินส่วนที่เหลือผมจะรีบหามาคืนให้ไวที่สุด”
ทุกอย่างเป็นไปได้อย่างราบรื่น เจียงเฟิงหยิบใบสัญญาโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์และที่ดินที่เตรียมไว้ตั้งแต่แรกออกมาจากกระเป๋าเอกสารของเขาและทั้งสองก็ลงนามในหนังสือสัญญา
หลังจากจบเรื่องทั้งหมด เจียงเฟิงก็จากไป
จางอี้หนี่เคาะนิ้วของเธอลงบนโต๊ะอาหารและมองไปที่สัญญาที่วางอยู่บนโต๊ะ เธอยังคงมีความกลัวอยู่ในใจ เพราะมูลค่าทั้งหมดของสัญญาใบนี้มีค่าแค่เพียง 1 ล้านหยวนเท่านั้น ถ้าหากทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผนมันก็เหมือนว่าเธอต้องเสียเงิน 1 ล้านหยวนไปฟรีๆ
หลินปู้ฟานเห็นความกังวลของจางอี้หนี่ เขาจึงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องกังวลไปครับป้าจาง ป้ากำลังจะได้เงินก้อนใหญ่”
จู่ๆ ลุงซูก็ตบลงบนต้นขาของเขาอย่างแรง “ฉันว่าฉันรู้จักใครบางคนที่ให้คำตอบเรื่องนี้ได้”
ลุงซูมีเพื่อนคนหนึ่งที่ทำงานเป็นเลขานุการของผู้นำคนหนึ่งในรัฐบาลของเมือง บางทีเขาอาจจะรู้อะไรบางอย่างก็เป็นได้
“งั้นคุณช่วยโทรถามเขาตอนนี้เลยได้ไหม?” จางอี้หนี่ยังคงลุกลี้ลุกลน
“ตกลง ฉันจะโทรหาตอนนี้เลย” หลังจากนั้นลุงซูก็โทรหาเพื่อนของเขา
ใช้เวลาเพียงไม่นานอีกฝ่ายก็รับสาย
หลังจากทักทายกันไม่กี่คำลุงซูตรงเข้าประเด็นทันที “พี่ชาย ผมได้ยินมาว่าหางโจวของเรากำลังจะจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจขึ้นอย่างงั้นเหรอ?”
เสียงประหลาดใจดังมาจากอีกด้านหนึ่ง
“เสี่ยวซู มีเพียงคนใหญ่คนโตไม่กี่คนเท่านั้นที่เข้าร่วมการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจเมื่อเช้านี้ แล้วนายรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?”
หัวใจของลุงซูเต้นถี่ขึ้น จางอี้หนี่ก็เช่นกัน
รัฐบาลเมืองต้องการจะสร้างเขตพัฒนาเศรษฐกิจจริงๆ เหรอ?
เสี่ยวหลินทำนายอนาคตได้จริงๆ
“แล้วเผิงปู้จะเป็นหนึ่งในเขตพัฒนาเศรษฐกิจด้วยหรือป่าวครับพี่?” ลุงซูถามอย่างร้อนรน
“ยังไม่มีใครรู้เรื่องนี้จนกว่าจะมีมติในที่ประชุมออกมา” อีกฝ่ายหยุดชั่วคราว “แต่ความคิดของผู้นำคนที่สองนั้นดูแล้วจะเอนไปทางไปยังถนนฉินจู๋ที่อยู่ทางทิศตะวันออกและทางใต้ไปยังถนนเป๋ยไห่ ฉันพูดอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
ลุงซูรู้เรื่องเส้นทางเป็นอย่างดีเพราะเขาทำบริษัทแท็กซี่และเผิงปู้ก็อยู่ตรงกลางพอดีระหว่างถนนฉินจู๋และถนนเป๋ยไห่พอดี
“เข้าใจแล้วครับพี่ชาย ไว้พี่มีเวลาว่างเมื่อไหร่ผมจะเลี้ยงข้าวพี่สักมื้อหนึ่งนะครับ”
หลังจากวางสายลุงซูก็หายใจเข้าลึกๆ และมองไปที่หลินปู้ฟานอย่างสั่นเทา
“เสี่ยวหลินเธอเป็นใครมีภูมิหลังยังไงกันแน่?” ลุงซูอดไม่ได้ที่จะถาม
เรื่องนี้เพิ่งได้ประชุมกันไปเมื่อเช้านี้เอง แต่ตอนนี้หลินปู้ฟานกลับรู้เรื่องนี้แล้ว ถ้าหากว่าเขาไม่ได้เห็นเรื่องนี้ด้วยตัวเองเขาต้องไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน
หลินปู้ฟานยิ้ม “ผมไม่ได้มีภูมิหลังอะไรทั้งนั้นแหละครับ ทั้งหมดเป็นเพียงแค่การคาดเดาของผมเท่านั้น”
ลุงซูเข้าใจว่าหลินปู้ฟานคงไม่ต้องการเปิดเผย เขาจึงไม่ได้ถามอะไรต่อ
จางอี้หนี่ถูมือของเธอและพยายามระงับความตื่นเต้นเอาไว้ “ป้ากำลังจะรวยแล้ว เสี่ยวหลินหลานเป็นเหมือนกับดาวนำโชคของป้าจริงๆ”
“หัวหน้าจาง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้วนะ” ลุงซูตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น
“ใช่ แต่แค่เราสองคนกินเค้กก้อนนี้ไม่หมดแน่”
จางอี้หนี่และลุงซูมีเงินรวมกันแค่ไม่กี่สิบล้านเท่านั้น มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะกว้านซื้อที่ทั้งหมดได้ แต่ความปรารถนาของคนนั้นไม่มีสิ้นสุด ในเวลานี้ทั้งสองเริ่มคิดหาหนทางที่จะเพิ่มเงินทุนของตัวเอง
“ป้าจาง สำหรับผมผมว่าเราควรจะเลือกกินแค่ส่วนที่อร่อยที่สุดจะดีกว่า” หลินปู้ฟานกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
เขตพัฒนาเศรษฐกิจแต่ละแห่งยังมีการแบ่งระดับสูงและต่ำ เช่นในอนาคตราคาที่อยู่อาศัยที่ใกล้กับรถไฟฟ้าใต้ดินจะมีราคาแพงกว่าที่ทั่วไป
ลุงซูและจางอี้หนี่รู้ดีว่า”ส่วนที่อร่อยที่สุด”หมายถึงอะไร
“แต่เรื่องนี้ยังไม่มีอะไรยืนยันออกมา เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าที่ตรงไหนจะเป็นที่ที่ดีที่สุด” จางอี้หนี่ถาม
ไม่ว่าจะเป็นย่านการค้า โรงเรียนหรือซูเปอร์มาร์เก็ตล้วนมีผลต่อรูปแบบและราคาตลาดทั้งนั้น
หลินปู้ฟานยิ้ม “แต่ผมรู้”
คอมเม้นต์