อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) – บทที่ 28 ซื้อบ้าน
ตอนที่ 28 ซื้อบ้าน
เผิงปู้มีพื้นที่ประมาณ 20 ตารางกิโลเมตร แต่หลังจากกำหนดเขตพัฒนาเศรษฐกิจแล้วจะขยายเป็น 40 ตารางกิโลเมตร
สำหรับที่อยู่อาศัยเชิงพาณิชย์ที่มีค่าที่สุดมีอยู่สองแห่ง ที่แรกคือเซียวโถวที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำเฉียนสุ่ย ที่ที่สองคือกุ้ยซาน ก่อนการพัฒนากุ้ยซานนั้นเป็นเพียงแค่เนินหินที่รกทึบเท่านั้นและยังเป็นสถานที่ที่อุทิศให้สำหรับใช้ฝังศพของผู้เสียชีวิตอีกด้วย ต่อมาที่นั่นได้รับการพัฒนาโดยคนเฝ้าสุสานจึงทำให้มีคนมาอยู่อาศัยมากขึ้น ท่ามกลางความอดอยากในช่วงสงคราม หลายคนได้อพยพขึ้นไปอยู่ที่นั่นทำให้จำนวนประชากรค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
บ้านเรือนในกุ้ยซานมีสภาพทรุดโทรม ส่วนใหญ่เป็นบ้านที่สร้างด้วยกระเบื้องและไม้ ส่วนที่ดีกว่าเล็กน้อยคือบ้านที่สร้างด้วยอิฐแดงที่ฉาบผนังให้เรียบ
ทันทีที่หลินปู้ฟานมาถึงภูเขา เขาก็เห็นบ้านสองหลังที่ถูกทิ้งล้าง ประตูของบ้านทั้งสองหลังถูกขโมยไปแล้วและมีหลังหนึ่งที่ตัวบ้านพังไปแล้วครึ่งหนึ่ง
“เหม็นมาก!” จางอี้หนี่บีบจมูกของเธอด้วยท่าทางรังเกียจ
มีคูน้ำสายเล็กๆ ที่ไหลลงมาจากภูเขาอยู่ใกล้ๆ น้ำที่อยู่ในคูเป็นสีดำสนิท มีแมลงวันและยุงเยอะมาก
“เสี่ยวหลิน สถานที่แห่งนี้คือที่ที่เธอบอกว่าจะเป็นสถานที่ที่แพงที่สุดเป็นอันดับสองในอนาคตใช่ไหม? เธอไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม?” จางอี้หนี่ถามอย่างไม่เชื่อ
“น้ำมันมาจากทะเลทรายอันรกร้าง เพชรมาจากภูเขาหินอันเปล่าเปลี่ยว อย่าพลาดโอกาสดีๆ เพียงเพราะรูปลักษณ์ภายนอกของมัน” หลินปู้ฟานกล่าวขณะเดินดู
“คำพูดของเสี่ยวหลินไม่ผิดอย่างแน่นอน เราต้องเชื่อในตัวเสี่ยวหลิน” ลุงซูชื่นชมหลินปู้ฟานอย่างมากตั้งแต่การแข่งขันฟุตบอล
เสี่ยวหลินคือเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง!
“ไม่ใช่ว่าฉันไม่เชื่อแต่ฉันคิดว่าที่นี่… ที่นี่มันสกปรกจริงๆ” จางอี้หนี่สวมรองเท้าส้นสูงทำให้พื้นที่เธอเดินผ่านมีหลุมเล็กๆ ตลอดทาง
สถานที่นี้ไม่ได้ใหญ่มาก ทำให้พวกเขาเดินดูรอบๆ ได้ในเวลาไม่นาน
“เสี่ยวหลิน ที่นี่มีภูเขาล้อมรอบสามด้านและทั้งภูเขาก็เต็มไปด้วยหลุมศพ ป้านึกไม่ออกจริงๆ เลยว่าป้าจะหาเงินจากที่นี่ยังไง” จางอี้หนี่ยังคงปิดจมูกด้วยความรังเกียจ
ลุงซูมองไม่เห็นหลุมศพบนภูเขาในตอนแรก แต่เมื่อเขาเห็นมันหัวใจของเขาก็หวั่นไหวขึ้นมา อย่างที่บอกไปการลงทุนก็เหมือนการการพนันถ้าเขาพลาดเขาก็จะล้มละลายทันที
“เสี่ยวหลิน คนในอนาคตชอบความท้าทายและยอมซื้อบ้านใต้ภูเขาผีเหรอ?” ลุงซูถามด้วยความตะลึง เขาเองก็ไม่คิดว่าสถานที่ผีแบบนี้จะทำเงินให้กับเขาได้
พวกเขาไม่รู้ว่าที่แถวนี้จะถูกทำความสะอาดและพัฒนาใหม่ทั้งหมด จะมีโรงเรียนมัธยมและมหาวิทยาลัยสร้างขึ้นตรงนี้และในอนาคตสถานศึกษาทั้งสองนี้จะเป็นสถานศึกษาที่ดีที่สุดในหางโจว
ในปี 1998 ยังไม่ได้มีการพัฒนาแนวความคิดเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยใกล้เขตการศึกษา แต่หลังจากแนวคิดนี้ได้รับความนิยมขึ้นมา มูลค่าของพื้นที่และอาคารที่อยู่ใกล้กับสถานศึกษาก็พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก
แถมสถานศึกที่จะมาตั้งที่นี่ในอนาคตก็มีชื่อเสียงอย่างมากในหางโจว
“หลีกทางหน่อย… ” หญิงชราคนหนึ่งกำลังเดินหาบถังของเสียไปยังแปลงผักของเธอที่อยู่ไม่ไกล จางอี้หนี่กลัวมากจนเธอถอยออกไปสามก้าวทันทีเมื่อเห็นว่าอะไรอยู่ในถัง เธอเสียหลักจนเกือบจะล้มลง แต่โชคดีที่หลินปู้ฟานเข้ามาโอบเอวของเธอเอาไว้ก่อน
“ระวังตัวหน่อยสิ”
จางอี้หนี่เอาแต่บ่นตลอดการสำรวจ
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ทั้งสามคนก็เดินออกมาจากกุ้ยซาน เมื่อพวกเขามาถึงสี่แยก จางอี้หนี่ก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ทันที “ในที่สุดก็รอดออกมาได้ ที่นี่เหมือนมีผีสิงอยู่เลย…”
เธอระบายออกมาชุดใหญ่และจบด้วย “ฉันไม่อยากมาที่นี่อีกแล้ว” จางอี้หนี่เริ่มงอแงอยากจะกลับบ้าน
ลุงซูมองไปยังฝั่งตรงข้าม ทันใดนั้นเขาก็ตบศีรษะของตัวเอง “เสี่ยวหลินลุงจำได้ว่าที่นี่มีเขตที่ชื่อหลิงซาน มันอยู่ห่างจากที่นี่หนึ่งกิโลเมตร แม้ว่าจะอยู่ห่างจากที่นี่ไม่มาก แต่สภาพแวดล้อมก็ดีกว่าที่นี่หลายเท่า ทำไมมีแต่ที่นี่ที่ราคาจะพุ่งสูงขึ้นในอนาคตทั้งที่ที่นั่นดีกว่าที่นี่เสียอีก”
หลินปู้ฟานยิ้ม “หลิงซานจะกลายเป็นพื้นที่คุ้มครองและเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ในอนาคตอาคารจึงทำให้พื้นที่ส่วนใหญ่ถูกรื้อถอนออกไป หากลุงทุ่มเงินในหลิงซานตอนนี้เมื่อหลิงซานกลายเป็นพื้นที่คุ้มครองของรัฐบาล รัฐบาลก็จะบังคับคืนเงินให้กับนักลงทุนเพื่อเรียกคืนที่ดินและอาคารทั้งหมด แล้วนั่นจะทำให้การลงทุนทั้งหมดกลายเป็นสูญเปล่าและจะทำให้ลุงพลาดโอกาสอื่นๆ อีกมากมาย”
ในอนาคตจะมีการขุดพบ”กระถางสำริด”ที่หลิงซาน กระถางสำริดนั้นเป็นโบราณวัตถุสมัยราชวงศ์ชิงที่จะถูกมอบให้กับวิทยาลัยหลิงซานในหางโจวในอนาคตไว้เพื่อจัดแสดง หลิงซานเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญกับประวัติศาสตร์มากและในอนาคตพื้นที่ของหลิงซานเกือบทั้งหมดจะกลายเป็นที่ตั้งของวิทยาลัยหลิงซาน
อย่างไรก็ตามหากลงทุนในหลิงซาน 100 ล้านหยวนก็อาจจะต้องทำกำไรในตอนแรกได้นิดหน่อย แต่หลังจากที่พื้นที่นั้นกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แล้ว รัฐบาลก็จะคืนเงินให้คุณ 100 ล้านหยวนเพื่อซื้อสิทธิ์ที่ดินผืนนั้นคืนเช่นกัน ส่วนค่าตอบแทนส่วนเกินนั้นอย่าได้หวัง
“หลิงซานจะกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์?” ลุงซูอ้าปากค้าง
“ถูกต้อง” หลินปู้ฟานยิ้มแล้วหันไปและชี้ไปที่ภูเขาด้านหลังกุ้ยซาน “หลังจากเข้าสู่การพัฒนาแล้วภูเขานี่จะถูกพัฒนาจนแบนราบและโรงเรียนมัธยมที่ทันสมัยจะถูกสร้างขึ้นที่หลังภูเขานั้น โรงเรียนมัธยมแห่งนั้นจะกลายเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงอย่างมากในอนาคตและพื้นที่แถวนี้ทั้งหมดก็จะกลายเป็นพื้นที่เขตอาศัยที่ใกล้กับสถานศึกษาและในอนาคตจะมีทางรถไฟใต้ดินไปยังภูเขานั่น ดังนั้นราคาที่อยู่อาศัยตรงนี้จะสูงขึ้นอย่างมากและราคาของเฟสแรกจะแตกต่างจากราคาของเฟสสุดท้ายอย่างน้อย 5 เท่า”
หลังจากฟังคำพูดของหลินปู้ฟาน จางอี้หนี่และลุงซูก็ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำพูดของหลินปู้ฟานอีกครั้ง
ลุงซูถามอย่างระมัดระวัง “เสี่ยวหลิน หลานรู้เรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างไร?”
“ผมเห็นมันในฝันน่ะ” หลินปู้ฟานพูดอย่างจริงจัง
จางอี้หนี่แสร้งทำเป็นไอและส่งสัญญาณให้ลุงซูว่าอย่าขุดคุ้ยอะไรไปมากกว่านี้ ไม่ว่าจะในโลกธรรมดาหรือในวงการธุรกิจ สิ่งนี้ถือเป็นข้อห้ามเพราะคนเราควรจะปกปิดไพ่ที่ตัวเองถืออยู่ในมือไว้เสมอ หากถามอะไรไปมากกว่านี้จนทำให้หลินปู้ฟานไม่พอใจขึ้นมา มันจะเสียมากกว่าได้
“เอ่อ… มีใครบางคนอยู่ในบ้านหลังนั้น” จางอี้หนี่พูดพร้อมกับชี้ไปที่บ้านที่ทรุดโทรมหลังหนึ่งบนเนินเขากุ้ยซาน
“เราขึ้นไปหาเขากัน” หลังจากได้ฟังคำอธิบายของหลินปู้ฟานเกี่ยวกับอนาคตของกุ้ยซานแล้วลุงซูก็อยากจะซื้อบ้านทั้งหมดที่นี่ขึ้นมา
แต่หลินปู้ฟานยังมีแผนการอื่นอีกในอนาคต
ลุงซูมีขาที่แข็งแรง เขาวิ่งไปที่ประตูบ้านที่ทรุดโทรมประตูนั้นอย่างรวดเร็ว คนที่อยู่ในบ้านคือชายชราที่มีหลังค่อมและสวมเสื้อกล้ามขาดๆ
ชายชราหยิบไม้สองสามแผ่นออกมาจากในบ้านที่ทรุดโทรมมาวางไว้ที่ประตู
“คุณตา คุณเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้เหรอครับ?” ลุงซูถาม
“ใช่บ้านหลังนี้เป็นของฉันเอง คุณต้องการอะไร?” เสียงของชายชราแหบแห้ง ดวงตาสีโคลนที่ขุ่นมัวเขามองมาที่ลุงซูอย่างสงสัย
“ผมอยากให้คุณตาขายบ้านหลังนี้ให้กับผม” ลุงซูพูดตรงๆ
เมื่อหลินปู้ฟานได้ยิน เขาก็ขมวดคิ้วและคิดในใจ: ทำไมมันถึงตรงอย่างนั้น?
“บ้านพังๆ อย่างนี้คุณยังต้องการมันอีกหรือ?” ชายชรางงงวย เขาใช้ดวงตาที่เต็มไปด้วยโคลนมองไปที่ลุงซูเหมือนมองคนโง่
“ใช่ คุณตาว่าราคามาได้เลย ผมจะจ่ายให้ทันที”
หลินปู้ฟานทำได้แค่มองอย่างว่างเปล่า
“…” ชายชรามาที่บ้านหลังเก่าเพื่อทำความสะอาดในวันนี้ เขาไม่คาดคิดว่าจะพบคนที่ต้องการซื้อบ้านของเขา เขาครุ่นคิดอยู่นาน
“คุณตาสักขายให้ผมสัก 2 แสนได้ไหม?” ลุงซูพูดอย่างกังวล
เมื่อชายชราได้ยินว่า 2 แสนดวงตาสีขุ่นของเขาก็สว่างขึ้นมาทันที บ้านไม้หลังนี้รวมทั้งที่ดินมีราคารวมกันยังไม่ถึง 5 หมื่นหยวนด้วยซ้ำไม่ต้องพูดถึง 2 แสนหยวนเลย
“นี่…” ชายชราตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น
ขณะที่ลุงซูกำลังจะได้ดีใจชายวัยกลางคนในวัย 40 ปีก็เดินออกจากบ้าน
“จะใช้เงินแค่ 2 แสนหยวนมาซื้อบ้านของฉันเหรอ? ไม่มีทาง”
คอมเม้นต์