อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) – บทที่ 30 ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทำได้

อ่านนิยายจีนเรื่อง อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) ตอนที่ 30 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 30 ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทำได้

 

 

ประตูเปิดโครมคราม ชายในเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงขายาวเดินฮึดฮัดออกมา

 

 

“คนแซ่เฉินเรื่องนี้ไม่จบแค่นี้แน่นอน คุณระวังตัวไว้เถอะ” ชายคนนั้นพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ

 

 

อุปกรณ์ทางการแพทย์ของโรงพยาบาลประจำจังหวัดถูกนำเข้าทั้งหมดและชายคนนี้ก็เป็นเจ้านายของบริษัทนำเข้าเครื่องมือทางการแพทย์แห่งหนึ่ง เขาต้องการที่จะยื่นซองใต้โต๊ะให้คณบดีเฉินคนนี้

 

 

“ไปซะ! คนแซ่เฉินคนนี้ไม่ใช่คนเห็นแก่เงิน” คณบดีเฉินตบโต๊ะและตะโกน

 

 

“พวกหัวโบราณ…” ชายคนนั้นก่นด่าและจากไป

 

 

ตะกร้าผลไม้ลอยตามหลังชายคนนั้นไปด้วย

 

 

หลินปู้ฟานกลืนน้ำลายและมองลงไปที่ตะกร้าผลไม้ในมือของเขาด้วยความลังเล

 

 

“นายมาทำอะไร?” ชายชราผมขาวจ้องมาที่หลินปู้ฟาน

 

 

“สวัสดีครับท่านคณบดีเฉิน ผมเป็นลูกชายของจางซิ่วเยว่”

 

 

เนื่องจากความสัมพันธ์กับซุนหว่านหมินในปัจจุบันทำให้เคสของจางซิ่วเยว่ถูกนำขึ้นสู่การอภิปรายในการประชุมตอนเช้ามากกว่าหนึ่งครั้ง ทำให้คณบดีเฉินรู้เรื่องของจางซิ่วเยว่

 

 

“เธอนี่เอง มีอะไรเหรอ?”

 

 

หลินปู้ฟานสงบลงและเดินเข้าไป “ท่านคณบดี ผมมาที่นี่เพื่อขอคำปรึกษาเรื่องแม่ของผม”

 

 

“นั่งลงก่อนสิ!” น้ำเสียงของคณบดีเฉินเบาลง “จะดื่มอะไร ชาหรือน้ำเปล่า?”

 

 

“น้ำดีกว่าครับ”

 

 

คณบดีเฉินรินน้ำใส่แก้วให้หลินปู้ฟานและนั่งลงช้าๆ ตรงข้ามกับหลินปู้ฟาน ความเสียใจปรากฏในดวงตาของเขา “ไตของแม่ของเธอทำงานได้เพียงแค่ 20% เท่านั้น หากเราไม่สามารถหาไตที่เหมาะสมได้… เฮ้อ”

 

 

เขาไม่ได้พูดประโยคต่อจากนั้นออกมา

 

 

“ฉันรู้มาว่ากรุ๊ปเลือดของแม่ของเธอเป็นลบ มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะหาไตที่เหมาะสมกับแม่ของเธอได้”

 

 

กรุ๊ปเลือดลบ RH หรือเรียกอีกอย่างว่ากรุ๊ปเลือดแพนด้า และในปี 1998 เทคโนโลยีทางการแพทย์ยังไม่สามารถปลูกถ่ายไตข้ามกรุ๊ปเลือดได้

 

 

“แต่ไม่ว่ายังไง เราก็จะทำให้ดีที่สุด แต่… เธอก็ควรจะเตรียมใจเผื่อไว้ด้วย” มือที่อบอุ่นและใจดีของคณบดีเฉินกุมมือของหลินปู้ฟาน

 

 

หลินปู้ฟานครุ่นคิดสักครู่แล้วพูดออกมา “ท่านคณบดี เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งของผมเธอเรียนอยู่ที่สหรัฐอเมริกาและผมได้ยินมาว่าที่โรงพยาบาลที่เซนต์หลุยส์ในสหรัฐอเมริกาประสบความสำเร็จในการปลูกถ่ายไตให้กับผู้ป่วย 3 คนที่มีกรุ๊ปเลือด RH ท่านรู้เรื่องนี้ไหม?”

 

 

“ฉันเคยได้ยินชื่อโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์มาเหมือนกัน แต่ถ้าเธอต้องการส่งแม่ของเธอไปรับการรักษาที่ต่างประเทศเธอต้องมีใบรับรองแพทย์เพื่อย้ายไปเสียก่อน และเราจะออกใบรับรองแพทย์ดังกล่าวนั้นให้กับโรงพยาบาลที่เป็นพันธมิตรและให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์ร่วมกันในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น”

 

 

หลินปู้ฟานขมวดคิ้วและโพล่งออกมา “แม่ของผมทำได้เพียงแค่นอนรอความตายเหรอครับ?”

 

 

คณบดีเฉินถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “เราจะทำให้ดีที่สุด”

 

 

หลินปู้ฟานต้องการจะพูดต่อ แต่เขาก็อดกลั้นเอาไว้ เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ทำให้เขาได้รู้ว่าคณบดีเฉินคนนี้ใช้เงินคุยด้วยไม่ได้

 

 

“ขอบคุณครับ” หลินปู้ฟานจิบน้ำและสายตาของเขาก็มองไปที่หนังสือนิยายที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานที่ชื่อว่า”ตำนานเก้ากระบี่”

 

 

นิยาย”ตำนานเก้ากระบี่”ได้รับความนิยมอย่างมากในเวลานี้ นิยายเรื่องนี้มีทั้งหมด 4 เล่ม 2 เล่มแรกตีพิมพ์ในปี 1997 และอีก 2 เล่มที่เหลือจะได้รับการตีพิมพ์ในอีก 2 ปีหลังจากนี้

 

 

สาเหตุที่มีช่องว่าง 3 ปีก็เพราะผู้เขียนนิยายเรื่องนี้”ป่านเจี้ยน เฟิงโหว”นั้นไปบวชเข้าสู่ลัทธิเต๋าบนเขา แต่ด้วยความรักในการเขียนนิยายเขาจึงลงมาจากเขาเพื่อเขียนนิยายเรื่องนี้ต่อ

 

 

หลินปู้ฟานในชาติที่แล้วเขาติดนิยายเรื่องนี้อย่างมาก เขาถึงกับก่นด่าคนแต่งนิยายเรื่องนี้ตลอด 3 ปีที่เขาหายไป

 

 

คนในครอบครัวเขาตายหรือยังไง? ทำไมถึงหายไปแบบนี้?

 

 

สายโทรศัพท์ของกองบรรณาธิการสำนักพิมพ์ในเวลานั้นแทบจะขาดจากคนที่โทรโถมเข้าไปถามถึงนิยายเรื่องนี้

 

 

ในตอนนี้ยังไม่มีเว็บนิยายเกิดขึ้น มันเป็นจุดสูงสุดของนิยายกำลังภายใน

 

 

“ท่านคณบดีอ่าน”ตำนานเก้ากระบี่”ด้วยเหรอครับ?” หลินปู้ฟานถาม

 

 

“ใช่ ฉันเพิ่งได้อ่านไปแค่ 2 เล่มเท่านั้นและนิยายเรื่องนี้ก็ยังแต่งไม่จบ นี่ก็ 1 ปีแล้วที่อาจารย์เฟิงโหวหายตัวไปฉันล่ะอยากจะอ่านส่วนที่เหลือจริงๆ ฉันพยายามโทรไปหากองบรรณาธิการหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้คำตอบอะไรเลย หรือว่าเขาจะรู้สึกไม่พอใจอะไรบางอย่าง? เขาถึงทิ้งได้ความสงสัยเอาไว้ในตอนท้าย…”

 

 

เมื่อพูดถึงนิยายเรื่องนี้ คณบดีเฉินก็พูดไม่รู้จบ

 

 

ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นแฟนพันธ์ุแท้ของนิยายเรื่องนี้จริงๆ

 

 

“ผมเองก็ชอบนิยายเรื่องนี้มากเหมือนกันครับ ตัวเอกที่ผมชอบ…”

 

 

ทั้งสองคนเป็นแฟนนิยายเรื่องนี้เหมือนกันมันจึงทำให้ทั้งคู่คุยกันยาวเป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมง

 

 

น่าเสียดายจริงๆ คณบดีเฉินพูดพร้อมกับถอนหายใจ “ฉันอยากรู้เรื่องราวต่อจากนี้จริงๆ”

 

 

หลินปู้ฟานมีความคิดบางอย่างโผล่ขึ้นมา

 

 

เป็นไปไม่ได้ที่คุณจะสนิทกับคนคนหนึ่งได้ในทันที คุณต้องค่อยๆ เขาหาเขาช้าๆ

 

 

“งั้น… ผมจะเขียนนิยายเรื่องนี้ให้ท่านได้อ่านต่อเอง” หลินปู้ฟานพูดอย่างจริงจัง

 

 

คณบดีเฉินหัวเราะเสียงดัง “นิยายที่อาจารย์เฟิงโหวเขียนนั้นไม่สามารถออกมาจากปลายปากกาของนักเขียนธรรมดาได้ นับประสาอะไรกับเธอที่เป็นแค่เพียงนักเรียนเท่านั้น”

 

 

หลังจากนั้นหลินปู้ฟานก็นัดทานอาหารเย็นกับซุนหว่านหมิน

 

 

“ท่านคณบดีไม่เห็นด้วยเหรอ?” ซุนว่านหมินรู้ว่าหลินปู้ฟานต้องการส่งแม่ของเขาไปต่างประเทศเพื่อรับการรักษาพยาบาลเซนต์หลุยส์

 

 

“ใช่ครับ”

 

 

“อย่าเพิ่งท้อใจไป เรามาคิดหาวิธีอื่นกันเถอะ”

 

 

“ลุงซุนครับ คณบดีเฉินชอบอ่านหนังสือนิยายกำลังภานในมากเหรอครับ?” หลินปู้ฟานถาม

 

 

“มันไม่ใช่แค่หนังสือนิยายกำลังภายในเพราะตราบใดที่มันเป็นหนังสือที่น่าสนใจ เขาก็จะอ่านมันทุกเล่ม ทุกๆคนในโรงพยาบาลนี้รู้เรื่องนี้ดี สำหรับเขาไม่มีของขวัญใดที่ดีไปกว่าหนังสืออีกแล้ว”

 

 

“คุณลุงรู้ไหมครับว่าตอนนี้คณบดีเฉินกำลังติดตามนิยายเรื่อง”ตำนานเก้ากระบี่”อยู่?”

 

 

“แน่นอนว่ารู้เพราะลุงเองก็ติดตามนิยายเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เรื่องราวของมันยอดเยี่ยมอย่างมาก แต่น่าเสียดายที่นิยายเรื่องนี้ไม่ได้เขียนต่อ ไม่มีใครรู้ว่าอาจารย์ที่แต่งนิยายเรื่องนี้หายไปไหน”

 

 

“คุณลุงว่าถ้าเราเอาเล่มต่อไปของ”ตำนานเก้ากระบี่”ให้เป็นของขวัญกับคณบดีเฉิน เขาจะดีใจมากไหมครับ?”

 

 

“เรื่องนั้นมันก็แน่นอนอยู่แล้ว”

 

 

“จะสนิทกับเขามากขึ้นไหมครับ?”

 

 

“แน่นอน” ซุนหว่านหมินตอบอย่างมั่นใจ

 

 

“ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาจะออกใบรับรองแพทย์สำหรับไปรักษาที่ต่างประเทศให้ผมไหม?”

 

 

“เรื่องนั้น… มันยากที่จะบอกได้ แม้ว่าจะไม่มีข้อกำหนดที่ชัดเจนว่าโรงพยาบาลเอกชนในสหรัฐอเมริกาจะสามารถรับผู้ป่วยต่างชาติได้ไหม แต่ก็ยังไม่เคยมีเคสแบบนั้นเกิดขึ้นมาก่อน”

 

 

“ทุกอย่างมีครั้งแรกเสมอครับ… ลุงซุน ลุงทานอาหารต่อไปเลยนะครับผมขอตัวก่อน”

 

 

“แต่เธอยังทานไม่หมดเลยนะ”

 

 

หลินปู้ฟานไม่มีอารมณ์จะกินต่อแล้ว ตอนนี้เขาต้องการจะเขียน “ตำนานเก้ากระบี่”สองเล่มสุดท้ายออกมาให้ไวที่สุด

 

 

กว่าที่ป่านเจี้ยนเฟิงโหวจะเริ่มเขียนครึ่งหลังของ”ตำนานเก้ากระบี่”ก็ปี 1999 นู่น เขารอไม่ได้ขนาดนั้น

 

 

หลินปู้ฟานหยุดเรียนไปหนึ่งสัปดาห์เต็ม

 

 

เขาไปที่ Computer City และใช้เงินมากกว่า 2 หมื่นหยวนเพื่อซื้อคอมพิวเตอร์ Lenovo รุ่นล่าสุดและซื้อเครื่องพิมพ์มาด้วย

 

 

หลังจากที่เขากลับถึงบ้าน เขาก็ติดตั้งคอมพิวเตอร์และเริ่มเขียนนิยายทันที เขาต้องชื่นชมป่านเจี้ยนเฟิงโหวจริงๆ ตัวละครที่เขาเขียนขึ้นมานั้นยังคงฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของเขา รวมไปถึงพล็อตเรื่องที่ขึ้นๆ ลงๆ ที่จะทำให้ผู้อ่านทั้งร้องไห้และหัวเราะไปกับมัน

 

 

หลินปู้ฟานจำการเดินของพล็อตได้และสามารถเลียนแบบออกมาได้กว่า 70%

 

 

หลังจากแทบไม่ได้พักผ่อนและเขียนมาสามวันติด ในที่สุดเขาก็เขียนออกมาได้ 1 แสนคำ

 

 

หลังจากพิมพ์ออกมาด้วยเครื่องพิมพ์ หลินปู้ฟานก็ถอนหายใจออกมา “การเขียนนิยายนี่ไม่ง่ายเลยจริงๆ”

 

 

สำหรับเขาที่รู้เรื่องราวของเนื้อเรื่องอยู่แล้วยังเหนื่อยขนาดนี้ ป่านเจี้ยนเฟิงโหวจะต้องเป็นคนที่สุดยอดขนาดไหนถึงได้แต่งนิยายที่ดีขนาดนี้ออกมาได้

 

 

เช้าวันรุ่งขึ้น หลินปู้ฟานเอาต้นฉบับไปโรงพยาบาลอย่างมีความสุข

 

 

หลินปู้ฟานมองไปที่นาฬิกาของเขาตอนนี้พึ่งจะ 7 โมงเช้าเท่านั้น คณบดีเฉินคงยังไม่มาแน่ๆ เขาจึงอ่านนิยายที่เขาเขียนอีกครั้งในสวนเล็กๆ ของโรงพยาบาล

 

 

ถึงมันจะเป็นเพียงแค่การเลียนแบบถ้อยคำของป่านเจี้ยนเฟิงโหว แต่มันก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไรสำหรับผู้อ่านทั่วไป

 

 

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ และไม่นานก็แปดโมงครึ่ง

 

 

หลินปู้ฟานกังวลเล็กน้อย ต้นฉบับนี้จะสามารถทำให้ความสัมพันธ์ของเขากับคณบดีเฉินใกล้ชิดกันมากขึ้นได้หรือไม่?

 

 

เมื่อหลินปู้ฟานเดินไปถึงห้องทำงานของคณบดีเฉิน เขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ และเคาะประตูเพื่อเข้าไป

 

 

“นักเรียนหลิน เกิดอะไรขึ้น? เธอมาทำอะไรที่นี่แต่เช้า?” คณบดีเฉินใส่เสื้อคลุมสีขาว

 

 

“ท่านคณบดีเฉินดูนี่สิครับ” หลินปู้ฟานยื่นต้นฉบับของนิยาย

 

 

“มันคืออะไร?” คณบดีเฉินหยิบมันขึ้นมาและถาม

 

 

“ตำนานเก้ากระบี่”

 

 

“เธอเขียนมันออกมาเอง?” คณบดีเฉินรู้สึกประหลาดใจ “ความสุดยอดของป่านเจี้ยนเฟิงโหวคือจุดสุดยอดของอุตสาหกรรมนวนิยายในประเทศ ไม่ใช่สิ่งใครๆ ก็เลียนแบบได้”

 

 

คณบดีเฉินมองเพียงแวบเดียวและวางแบบร่างของนวนิยายไว้บนโต๊ะทำงาน

 

 

“ท่านคณบดี ผมใช้เวลาเขียนถึงสามวัน ผมทำงานอย่างหนักเพื่อเขียนสิ่งนี้ออกมา ช่วยลองอ่านมันสักหน่อยเถอะครับ”

 

 

คณบดีเฉินลังเล และในที่สุดเขาก็หยิบแบบร่างนวนิยายขึ้นมา

 

 

เพราะเขาไม่ต้องการที่จะทำร้ายจิตใจของเด็ก เขาจึงหยิบมันขึ้นมาอ่าน แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย

 

 

แต่หลังจากผ่านไปไม่กี่นาที คณบดีเฉินก็ประหลาดใจ

 

 

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ คณบดีเฉินยืดตัวขึ้น ดวงตาของเขาเปล่งประกาย…

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด