อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) – บทที่ 32 หลักการคิดย้อนกลับ
ตอนที่ 32 หลักการคิดย้อนกลับ
ประตูถูกเปิดออก
“พ่อต้องการอะไรกันแน่? ต้องให้หนูตายก่อนใช่ไหมพ่อถึงจะพอใจ?”
เมื่อหลินปู้ฟานมองไปที่ผู้หญิงคนนั้นเขาก็ตกตะลึง กลายเป็นว่าคนที่เข้ามาคือเสี่ยวเหยา
เสี่ยวเหยาเป็นมือคีย์บอร์ดในวงดนตรีของซงเซิ่นฮุย
“พ่อต่างหากที่ต้องถามลูก! พ่อก็ปล่อยให้ลูกได้เล่นดนตรีอะไรนั่นตามที่ลูกต้องการแล้วไง… แล้วลูกยังต้องการอะไรอีก? ลูกก็รู้ว่าสิ่งที่ลูกทำมันไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง” เฉินเจี้ยนชิงหันไปด้านข้างและชี้ไปที่แผ่นโลหะที่แขวนอยู่ “ตระกูลของเราเป็นหมอมาตั้งแต่รุ่นทวดของลูก พ่อไม่มีทางให้มันต้องมาจบที่รุ่นของพ่อแน่นอน”
คำว่า “妙手回春“(หมออัจฉริยะ)เขียนอยู่บนแผ่นโลหะ
เสี่ยวเหยากัดริมฝีปาก เธอตัวสั่นด้วยความโกรธ “นี่มันยุคไหนแล้วพ่อ ทำไมพ่อยังทำตัวเป็นพวกหัวโบราณอยู่อีก?”
“มรดกของพ่อต้องมีคนสืบทอด ลูกเป็นลูกเพียงคนเดียวของตระกูลเรา ลูกก็ต้องรับช่วงต่อจากพ่อสิ”
“หนูไม่ต้องการ ถ้าพ่อยังฝืนบังคับหนูแบบนี้ หนูจะ… หนูจะตัดความสัมพันธ์กับพ่อ!”
ชื่อจริงของเสี่ยวเหยาคือเฉินหว่านเอ๋อ เธอเป็นลูกสาวคนเดียวของเฉินเจี้ยนชิง
ครอบครัวของเฉินเจี้ยนชิงเป็นหมอมาตั้งแต่บรรพบุรุษและเขาก็หวังเสมอว่าลูกสาวของเขาจะได้รับสืบทอดเสื้อคลุมและเป็นหมอต่อจากเขา
เฉินเจี้ยนชิงเริ่มสอนความรู้ทางการแพทย์ให้เฉินหว่านเอ๋อตั้งแต่เธอยังเด็ก แต่เฉินหว่านเอ๋อกลับไม่ต้องการที่จะเป็นหมอ ในระหว่างการสอบเข้าวิทยาลัยเฉินหว่านเอ๋อไม่ได้ไปสอบที่มหาวิทยาลัยแพทย์ เธอแอบไปสอบเข้ามหาลัยศิลปะภาควิชาดนตรีแทนโดยไม่ได้บอกพ่อของเธอ
หลังจากได้รู้ว่าเฉินหว่านเอ๋อไม่ได้ไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยแพทย์ เฉินเจี้ยนชิงก็ถึงกับล้มป่วย หลังจากนั้นหกเดือนต่อมาเฉินเจี้ยนชิงที่ยังไม่ยอมแพ้เขาได้ระดมญาติๆ เพื่อให้มาเกลี้ยกล่อมลูกสาวของเขา แต่ก็ไม่เกิดประโยชน์ ในครั้งนั้นเขาได้ไปพบกับผู้อำนวยการของวิทยาลับศิลปะผ่านเครือข่ายของเขา เขาได้ให้ผู้อำนวยช่วยกดดันลูกสาวของเขาเพื่อให้เธอเลิกเรียนดนตรีและรอจนถึงปีหน้าเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยแพทย์
“ลูก… ลูกถึงกับยอมเสียพ่อไปเลยเหรอ?” เฉินเจี้ยนชิงหน้ามืดและเกือบจะล้มลง
หลินปู้ฟานรีบลุกขึ้นยืนเพื่อพยุงเฉินเจี้ยนชิง “ลุงเฉิน นั่งคุยกันเถอะครับ”
เฉินหว่านเอ๋อรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นหลินปู้ฟาน “อาจารย์หลิน ทำไมอาจารย์มาอยู่ที่นี่?”
เพราะเพลง”Old Boy”และความสามารถทางด้านดนตรีของหลินปู้ฟานที่ทำให้วงของพวกเธอชนะและผ่านการคัดเลือก หลังจากนั้นเฉินหว่านเอ๋อและซงเซิ่นฮุยก็นับถือหลินปู้ฟานเป็นเหมือนอาจารย์ของพวกเธอ
หลินปู้ฟานแอบบ่นในใจ
ยัยผู้หญิงคนนี้นี่ ถ้าเธอเข้ามาช้ากว่านี้อีกหน่อยเธอจะตายหรือไง? อีกนิดเดียวแผนของฉันก็จะสำเร็จอยู่แล้ว
“ฉันมาที่นี่เพราะมีธุระกับพ่อของเธอ ฉันว่าเธอควรจะพูดกับพ่อของตัวเองให้มันดีกว่านี้หน่อยนะ” หลินปู้ฟานเตือนเฉินหว่านเอ๋อทำให้เธอสงบลง
เฉินเจี้ยนชิงมองด้วยสายตาไม่ชอบใจ “ดูเด็กคนนี้สิ เธอแต่งตัวอะไรของเธอ”
เสี่ยวเหยาแต่งหน้าสไตล์อีโม ติดขนตาปลอมย้อมผมสีแดง ใส่ตุ้มหูและสร้อยคอรูปหัวกะโหลกและสวมกางเกงขาดๆ
เป็นการแต่งตัวที่บ่งบอกความเป็นตัวเองและดูดีมากทีเดียว
แต่ในสายตาของพ่อแม่ในยุคนี้ การแต่งตัวแบบนี้มันดูเหมือนผีมากกว่าคน
“หนูไม่ต้องการให้พ่อมาบงการชีวิตของหนู” เฉินหว่านเอ๋อเองก็ไม่พอใจเช่นกัน
“แกกล้าดียังไง ฉันเป็นพ่อของแกนะ” เฉินเจี้ยนชิงหวังกับลูกสาวของเขาไว้มาก
“ไม่มีพ่อคนไหนบังคับลูกของตัวเองให้ออกจากโรงเรียนกันหรอก”
“แกต้องการจะเล่นดนตรี แล้วแกคิดว่าไอ้ดนตรีอะไรของแกเนี่ยมันจะพาแกไปได้ขนาดไหน?”
ในยุคนี้ไม่ใช้ยุคที่ที่นักดนตรีจะร่ำรวยหรือสุขสบาย เพราะเป็นยุคที่คนต้องการซื้อของก็อปมากกว่าของจริง
“พ่อจะไปรู้อะไร พ่อรู้เหรอว่าหนูเรียนดนตรีเพื่ออะไร? หลังจากเรียนจบหนูจะไปเป็นครูพ่อไม่ต้องมาเป็นห่วงหนูหรอก หนูดูแลตัวเองได้”
“นักเรียนจากวิทยาลัยระดับ 2 จะไปเป็นครู? แกคิดว่าโรงเรียนชั้นนำจะรับแกเป็นครูหรือไง? หรือถ้าเขารับจริงๆ นักเรียนจากวิทยาลับระดับ 2 ก็เป็นได้แค่ครูสอนชั้นประถมเท่านั้นแหละ”
เงินเดือนของครูสอนดนตรีในโรงเรียนประถมและสถานะทางสังคมนั้นสู้หมอไม่ได้อย่างแน่นอน
“หนูโตแล้ว หนูจะทำอะไรมันก็เรื่องของหนู พ่อไม่ต้องพยายามยัดเยียดอะไรให้หนูทั้งนั้น หนูไม่ต้องการ” หลังจากพูดจบ เฉินหว่านเอ๋อก็กระแทกประตูออกไปอย่างโกรธเกรี้ยว
เฉินเจี้ยนชิงเสียใจ
หลินปู้ฟานตบหลังเฉินเจี้ยนชิงเบาๆ เพื่อปลอบโยนเขา
หลังจากนั้นไม่นานเฉินเจี้ยนชิงก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นมา
“ลุงเฉินดีขึ้นบ้างหรือยังครับ?”
“เสี่ยวหลิน เธอรู้จักลูกสาวของลุงเหรอ?” เฉินเจี้ยนชิงถาม
สมองของหลินปู้ฟานหมุนไปรอบๆ ถ้าเขาบอกเฉินเจี้ยนชิงไปว่าเขาเป็นคนที่ช่วยให้เสี่ยวเหยาและคนอื่นๆ ได้ผ่านเข้ารอบการแข่งขันเพลงระดับวิทยาลัย เฉินเจี้ยนชิงจะต้องไม่พอใจแน่
“ใช่ พี่สาวของผมกับลูกสาวของคุณลุงเรียนที่เดียวกันผมจึงได้รู้จักกับเธอครับ”
“แล้วทำไมลูกสาวของลุงถึงเรียกเธอว่าอาจารย์ล่ะ?”
หลินปู้ฟานพูดไม่ออก
“เธอต้องการหนังสือรับรองใช่ไหม?”
“ใช่ครับผมต้องการมัน”
“ตราบใดที่เธอกล่อมให้ลูกสาวของลุงเลิกเรียนดนตรีและไปเรียนที่มหาวิทยาลัยแพทย์ได้ ลุงจะออกใบรับรองการไปรักษาตัวที่ต่างประเทศให้แม่ของเธอ”
“…”
ระหว่างทางกลับ หลินปู้ฟานคิดเรื่องนี้ในหัวซ้ำไปซ้ำมา
เสี่ยวเหยาดื้อรั้นและไม่ฟังคำพูดของเฉินเจี้ยนชิง เขาเพิ่งรู้จักเธอได้ไม่กี่สัปดาห์เขาจะกล่อมให้เธอเลิกเล่นดนตรีได้อย่างไร
อาการป่วยของแม่ของเขาก็ไม่สามารถรอได้ แม่ต้องได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์โดยเร็วที่สุด
“โอ้ให้ตายเถอะ จะทำยังไงดีล่ะทีนี้” หลินปู้ฟานเกาหัวของเขา
วันต่อมา
หลินปู้ฟานตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เขาวางแผนที่จะไปวิทยาลับศิลปะหางโจวเพื่อคุยกับเสี่ยวเหยา
“น้องหลินนายตื่นหรือยัง?”
หลัวเสี่ยวเสี่ยวเคาะประตูและตะโกน
หลินปู้ฟานเกาหัวของเขาและเปิดประตูออกมา
“วันนี้นายว่างไหม?” หลัวเสี่ยวเสี่ยวถาม
“มีอะไรเหรอครับ?”
“วันมะรืนนี้จะเป็นการแข่งขันร้องเพลงของระดับวิทยาลัยที่ติดอันดับท็อปสิบ แต่ซงเซิ่นฮุยและคนอื่นๆ ยังไม่คืบหน้าไปไหนเท่าไหร่เลย พวกเขาต้องการให้นายไปชี้แนะพวกเขาสักหน่อย”
“โอ้ ผมเองก็มีเรื่องที่จะไปทำที่นั่นเหมือนกัน”
“เหอเหอ มีความสวยงามมากมายในวิทยาของเรา ในหัวของนายคงมีแต่สาวๆ เต็มไปหมดเลยล่ะสิ?” หลัวเสี่ยวเสี่ยวหยิกแขนของหลินปู้ฟานด้วยรอยยิ้มแบบฮิปปี้ “ตอบสิ แล้วฉันจะทำให้นายได้เห็นนรกเอง”
หลินปู้ฟานหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมหลัวเสี่ยวเสี่ยวถึงได้เป็นแบบนี้ทุกครั้งเลย
เมื่อพวกเขามาถึงห้องฝึกของซงเซิ่นฮุยและคนอื่นๆ
“อาจารย์หลินขอบคุณที่มาครับ” ซ่งเสิ่นฮุยทักทาย
“ไม่มีปัญหา พวกเราถือว่าเป็นเพื่อนกัน” หลินปู้ฟานกวาดมองไปรอบๆ และเห็นว่าซุนหยานก็อยู่ที่นี่ด้วย
ซุนหยานเดินมาและพูดด้วยความจริงใจ “ขอบคุณนะที่นายมาช่วยพวกเรา”
ซุนหยานเข้ามาโค้งคำนับหลินปู้ฟาน
“ซุนหยานอย่าทำแบบนี้ ฉันจะทำให้ดีที่สุด” เมื่อพูดออกไปแบบนั้นหลินปู้ฟานก็ขัดแย้งขึ้นมาในใจ เพราะถ้าหากเขายังคงช่วยให้ทุกๆ คนชนะการแข่งนี้ หนทางแห่งหมอของเสี่ยวเหยาก็จะเลือนหายไปจริงๆ
“อาจารย์หลิน ผมจะร้องเพลงที่พวกเราซ้อมกันมาให้ฟัง” ซงเซิ่นฮุยพูดออกมา
“โอเค เริ่มได้เลย”
เพลงที่ซงเซิ่นฮุยแต่งขึ้นมามันไม่มีความหนักแน่นเลย มันไม่สามารถกระตุ้นอารมณ์และเสียงเชียร์ของผู้ชมได้แน่นอน
หลินปู้ฟานแตะคางของเขาและครุ่นคิดสักพัก “เพลงนี้ดีกว่าเพลงที่พี่แต่งครั้งที่แล้ว แต่มันยังไม่เพียงพอที่จะชนะการแข่งขันได้”
ซ่งเสิ่นฮุ่ยก้มหน้า “ผม… ผมกลัวว่าผมจะไม่มีพรสวรรค์ในการเขียนเพลงจริงๆ”
“อย่าพึ่งท้อใจไป ไม่มีใครทำสำเร็จได้ในชั่วข้ามคืนหรอก ให้ผมคิดก่อนว่าควรจะทำยังไงดี”
“ขอบคุณค่ะอาจารย์หลิน ต้องรบกวนอาจารย์แล้ว”
ซุนหยานหยิบน้ำแร่มาให้ทุกคนอย่างสง่างาม และเธอก็หยิบผ้าขนหนูมาเช็ดเหงื่อให้ซงเซิ่นฮุยอย่างอ่อนโยนเหมือนกับภรรยาตัวน้อย เมื่อเห็นเธอและซ่งเซินฮุยมีความสัมพันธ์ที่ดีเช่นนี้หลินปู้ฟานก็รู้สึกโล่งใจ
“เสี่ยวเหยาผมขอเวลาคุณสักครู่จะได้ไหม?” หลินปู้ฟานถามออกไป
“อาจารย์หลินไม่จำเป็นต้องสุภาพขนาดนั้น และช่วยเรียกฉันว่าหว่านเอ๋อจะได้ไหม? เวลาอาจารย์เรียกฉันว่าเสี่ยวเหยามันทำให้ฉันรู้สึกอายมากจริงๆ”
หลินปู้ฟานเข้าใจผิดมาตลอดว่าชื่อของเธอมาจากคำว่าปีศาจน้อย เขาจึงเรียกเธอว่าปีศาจน้อยมาโดยตลอด แต่แท้จริงแล้วมันกลับมาจากคำว่าเอวบางเสียนี่ ที่เธอถูกเรียกด้วยชื่อนี้เป็นเพราะเพื่อนสาวของเธอ เมื่อพวกเธอเห็นเอวของเสี่ยวเหยาเพราะเอวของเธอบางจนน่าอิจฉา
โดยไม่คำนึงถึงการแต่งตัวของเฉินหว่านเอ๋อ จริงๆ แล้วเธอไม่เคยมีความสัมพันธ์กับผู้ชายมาก่อน การที่เธอถูกเรียกว่าปีศาจน้อยจากผู้ชายที่เธอชื่นชมมันทำให้เธอรู้สึกอายอย่างมาก
พวกเขาเดินออกจากห้องฝึกและลงบันไดไปชั้นล่าง
ก่อนที่หลินปู้ฟานจะพูดอะไร เฉินหว่านเอ๋อก็พูดออกมาก่อน “ถ้าอาจารย์หลินต้องการจะพูดให้ฉันเปลี่ยนเส้นทางของฉัน ได้โปรดอย่าเลยนะคะ”
ประโยคเดียวนี้ปิดกั้นทุกสิ่งที่หลินปู้ฟานต้องการจะพูด
หลินปู้ฟานต้องการช่วยแม่ของเขา แต่เขาก็รู้สึกผิดที่ต้องทำแบบนี้เช่นกัน
“ทำไมอาจารย์ถึงไม่พูดอะไรออกมาเลยล่ะ?” เฉินหว่านเอ๋อถามด้วยความสับสน “อาจารย์มาที่นี่เพื่อหยุดความฝันของฉันจริงๆ เหรอคะ?”
หลินปู้ฟานแสดงท่าทางเศร้า “แม่ของผมต้องไปรักษาต่อที่สหรัฐอเมริกาเพื่อที่จะได้รับการผ่าตัด แต่พ่อของคุณเสนอให้ผมทำแบบนี้เพื่อแลกกับใบรับรองเพื่อส่งตัวไปรักษาต่างประเทศ”
เฉินหว่านเอ๋อกลายเป็นเย็นชา… ถึงเธอจะต้องการช่วยหลินปู้ฟาน แต่เธอก็ไม่ต้องการที่จะละทิ้งความฝันของตัวเอง
บรรยากาศกลายเป็นน่าอึดอัด
ทั้งสองนิ่งเงียบอยู่นาน
ในที่สุดหลินปู้ฟาน ก็ทำลายมันออกมา
“หว่านเอ๋อ คุณรู้จักหลักการคิดย้อนกลับหรือไม่?”
“ไม่”
“แค่คิดในทางตรงกันข้าม หากผมไม่สามารถโน้มน้าวคุณได้ ผมก็จะพยายามโน้มน้าวพ่อของคุณแทน”
“พ่อของฉันเป็นพวกหัวโบราณ อาจารย์เปลี่ยนเขาไม่ได้หรอก”
หลินปู้ฟานได้คิดวิธีไว้แล้ว เขายิ้มออกมา “จะรู้ได้อย่างไร หากยังไม่ได้ลอง”
คอมเม้นต์