อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) – บทที่ 38 การแต่งงานปลอม

อ่านนิยายจีนเรื่อง อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) ตอนที่ 38 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 38 การแต่งงานปลอมๆ

 

 

เมื่อเห็นหนิงเทียนหนานทุกคนก็ตาสว่างขึ้นทันที โดยเฉพาะลุงซูที่แก้มของเขากลายเป็นสีแดง

 

 

นี่คือหนิงเทียนหนานเหรอ? มันช่างแตกต่างจากที่เขาเคยจินตนาการไว้มาก

 

 

ทุกคนรู้ว่าหนิงเทียนหนานเป็นผู้หญิงในชนบท แต่ไม่เคยคิดเลยว่าหนิงเทียนหนานจะเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์ขนาดนี้ แถมรูปร่างของเธอก็น่าภาคภูมิใจมากกว่าของจางอี้หนี่เสียอีก

 

 

หลังจากนั่งลง ลุงซูก็พูดอย่างตรงไปตรงมา “คุณหนิงเราจะแต่งงานกันแบบปลอมๆ เพราะผมต้องการจะย้ายทะเบียนเข้าไปในกุ้ยซาน”

 

 

“เพื่อที่จะได้พื้นที่รกร้างด้านหลังภูเขานั่น คุณถึงกับต้องยอมขนาดนี้ ดูเหมือนว่าที่ดินผืนนั้นมันจะสำคัญกับคุณมาก” แม้ว่าหนิงเทียนหนานจะเป็นหญิงสาวชนบทแต่เธอก็ฉลาดไม่น้อย

 

 

“ผมมีเหตุผลของผมคุณไม่จำเป็นต้องถามอะไรมากไปกว่านี้ วันนี้เรามาเพื่อมาดูตัวและคุยเรื่องราคาเป็นหลัก คุณต้องการเท่าไหร่?” ลุงซูถามอย่างตรงไปตรงมา

 

 

“คุณให้ฉันได้เท่าไหร่?”

 

 

ลุงซูยิ้มและคิดในใจ: ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนี้จะกระหายไม่ใช่น้อย

 

 

“5 หมื่น” ลุงซูเหยียด 5 นิ้ว

 

 

หนิงเทียนหนานขมวดคิ้วเล็กน้อย สำหรับเธอแล้วเงิน 5 หมื่นเป็นตัวเลขที่สูงมาก เพราะรายได้เพียงอย่างเดียวของเธอในตอนนี้คือขายพืชผัก

 

 

หลินปู้ฟานดื่มชาอย่างใจเย็นและคอยสังเกตหนิงเทียนหนาน

 

 

“เราทานข้าวกันก่อนเถอะ” เมื่อเห็นหนิงเทียนหนานลังเล จางอี้หนี่ก็อยากจะให้เวลากับเธอมากขึ้น เพราะการแต่งงานปลอมๆ จำเป็นต้องมีการหารือร่วมกันเพื่อที่พวกเขาจะได้อยู่ด้วยกันและดูเหมือนใช้ชีวิตร่วมกันจริงๆ

 

 

ไม่นานอาหารก็ถูกนำมาเสริฟทีละจาน

 

 

“แล้วคุณต้องการเท่าไหร่?” ลุงซูเริ่มหมดความอดทน

 

 

“แม้ว่าการแต่งงานของเราจะเป็นแค่เรื่องปลอมๆ แต่ก็มีการจดทะเบียนกันจริงๆ หลังจากการหย่าร้างฉันก็จะผ่านแต่งงานถึงสามครั้ง” หนิงเทียนหนานกล่าว

 

 

“คุณเคยแต่งงานมาแล้วสองครั้ง คุณจะยังสนใจอะไรอีกกับการแต่งงานใหม่อีกแค่ครั้ง สองครั้ง” ลุงซูกินอาหารโดยไม่ได้มองไปที่หนิงเทียนหนาน แม้ว่าหนิงเทียนหนานจะสวย แต่ในสายตาของลุงซูเธอก็แค่เป็นเพียงหญิงชาวบ้านที่ยากจนเท่านั้น และเธอยังเคยผ่านสามีมาแล้วถึง 2 คนจนชาวบ้านเรียกเธอว่า “หญิงกินผัว”

 

 

หนิงเทียนหนานดูอับอาย

 

 

จางอี้หนี่จ้องเขม่งไปที่ลุงซู “คุณหนิง ลุงซูเป็นคนโง่และปากเสียอย่าไปสนใจคำพูดของเขาเลย ฉันเป็นผู้หญิงเหมือนกันฉันเข้าใจความรู้สึกของคุณ ดังนั้นฉันจะเพิ่มให้คุณเป็น 8 หมื่น”

 

 

“จางอี้หนี่คุณกำลังจะทำอะไร? แม้ว่าฉันจะไม่ได้แต่งง่านปลอมๆ กับเธอ เธอก็ไม่สามารถแต่งงานกับใครได้อีกเพราะชื่อเสียงของเธอ สำหรับ”หญิงกินผัว”แล้วเงิน 5 หมื่นนี่ถือว่าเยอะแล้วนะ” ลุงซูโค้งริมฝีปากของเขาอย่างหยิ่งพยอง

 

 

หนิงเทียนหนานกัดฟัน ดวงตาของเธอเป็นประกายด้วยความคับแค้นใจ “คุณคิดว่าแค่มีเงินแล้วคุณจะทำตัวยังไงก็ได้หรือไง?”

 

 

“ใช่ เมื่อมีเงินฉันจะทำอะไรก็ได้ หรือไม่จริง?” ลุงซูตอบกลับ

 

 

หลินปู้ฟานจับมือลุงซู “ลุงซู อย่าลืมว่าเรากำลังจะทำอะไร?”

 

 

“ฉันเป็นหญิงม่ายที่มีชื่อเสียงต่ำทรามก็จริง แม้แต่การแต่งงานปลอมๆ ก็คงไม่คู่ควรกับเจ้านายใหญ่อย่างคุณหรอกค่ะ” หลังจากพูดจบ หนิงเทียนหนานก็ยืนขึ้นด้วยความโกรธและต้องการจะออกไป

 

 

หลังจากเดินไปไม่กี่ก้าว หลินปู้ฟานก็คว้าแขนจองหนิงเทียนหนานเอาไว้ “ลุงซู ขอโทษเธอซะ!”

 

 

หลินปู้ฟานกล่าวด้วยเสียงต่ำ ตอนนี้เขารู้สึกไม่พอใจจริงๆ แล้ว

 

 

ลุงซูรู้ตัวว่าทำผิดและขอโทษออกมา “คุณหนิงผมขอโทษ ผมเป็นคนปากไม่ดี ผมขอโทษที่เผลอพูดไปโดยไม่คิด”

 

 

“ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะฉันไม่ต้องการ ฉันยอมรับในสิ่งที่ฉันเป็น ฉันไม่แคร์หรอกที่จะต้องเป็นม่ายไปตลอดชีวิต” หนิงเทียนหนานรู้สึกเสียใจ

 

 

สามีคนแรกของเธอประสบอุบัติเหตุ เขาเสียชีวิตหลังจากแต่งงานกับเธอได้เพียงแค่ 1 ปี ส่วนสามีคนที่สองก็เป็นพวกขี้เมา เขาดื่มเหล้าและเล่นไพ่ทุกวันและมักกลับบ้านมาตบตีเธอเสมอ จนในที่สุดเขาก็เมาจนตกไปในคูน้ำเน่าและจมน้ำเสียชีวิต

 

 

ที่จริงแล้วหนิงเทียนหนานคือคนที่โชคร้ายที่สุด แต่ชาวบ้านบอกว่าเป็นเพราะเธอมีคำว่า”เทียน”อยู่ในชื่อของเธอ มันจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้สามีของเธอตาย

 

 

แต่เธอก็ยังต้องทนอยู่ในหมู่บ้านต่อไป ต้องทนต่อคำนินทาและยังต้องทนกับผู้ชายบางคนที่มีความต้องการในความงามของเธอเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป

 

 

“ปล่อย!” น้ำตาของหนิงเทียนหนานไหลออกมา

 

 

หลินปู้ฟานถอนหายใจ “ลุงซูของผมมักจะพูดอะไรโดยไปโดยไม่คิดอย่างนี้เสมอ ได้โปรดให้โอกาสเขาอีกครั้งนะครับ เรามาร่วมมือกันเถอะ”

 

 

“ฉันไม่ต้องการที่จะร่วมมืออะไรอีกต่อไปแล้ว” หนิงเทียนหนานปฏิเสธ

 

 

“คุณไม่มีเงินใช่ไหม? เสื้อผ้าที่คุณใส่อยู่ตอนนี้ยังไม่ถูกตัดราคาออกด้วยซ้ำ คุณคิดว่าถ้าทำอย่างนั้นแล้วจะสามารถนำชุดไปคืนทางร้านได้เหรอครับ? เราถอยกลับกันคนละก้าวเป็นไง ถึงคุณจะไม่ต้องการเงิน แต่แม่ของคุณล่ะ? ท่านก็ไม่ต้องการเงินเหมือนกันเหรอครับ? เท่าที่ผมรู้มาโรคเบาหวานที่แม่คุณกำลังเป็นอยู่มันจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาจริงไหมครับ? และสิ่งที่คุณสวมใส่ที่ข้อมือของคุณก็คงจะเป็น”เชือกแดงแห่งเจียงซี”ที่ขอมาจากวัดเจ้าแม่กวนอิม แม้จะมีสามีมาแล้วสองคนแต่คุณก็ยังคุณไม่มีลูก ผมว่านั่นมันต้องเป็นปัญหาแน่นอน เพราะในฐานะผู้หญิง คุณก็อยากมีลูกเหมือนกันใช่ไหมครับ?”

 

 

“คุณ…” หนิงเทียนหนานตกใจ ทำไมชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าถึงรู้เรื่องของเธอมากขนาดนี้

 

 

หลินปู้ฟานปล่อยมือและพูดช้าๆ “ถ้าคุณมีเงินคุณก็จะสามารถรักษาภาวะมีบุตรยากนี้ได้ หรือหากถ้าคุณรักษาไม่ได้คุณก็ยังสามารถใช้หลอดทดลองทารกได้”

 

 

“หลอดทดลองทารก?”

 

 

มีโรงพยาบาลเพียงไม่กี่แห่งที่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์เช่นนี้ในสมัยนี้

 

 

หลินปู้ฟานอธิบายแนวคิดของการผสมเทียม ทำให้หนิงเทียนหนานอ้าปากค้างด้วยความหวัง

 

 

“นอกจากนี้ผมก็รู้มาว่าตอนนี้มีคนหลายคนในหมู่บ้านที่คอยกลั่นแกล้งคุณอยู่ และลุงซูของผมก็เก่งมากในการแก้ปัญหาเรื่องพวกนี้ ไม่ว่าคุณจะแต่งงานกันจริงๆ หรือไม่ คุณก็ได้ขึ้นขื่อว่าเป็นภรรยาของเขา เขาจะต้องปกป้องคุณแน่นอน”

 

 

หลายวันก่อนหลังจากที่กลับไปที่กุ้ยซานและตกลงกับแม่สื่อเรื่องหนิงเทียนหนานแล้วลุงซูก็ไม่ได้ถามอะไรอีก แต่หลินปู้ฟานนั้นกลับถามคำถามมากมายเกี่ยวกับเรื่องราวของหนิงเทียนหนาน

 

 

หลินปู้ฟานรู้ดีว่าสิ่งที่ผู้หญิงต้องการมากที่สุดก็คือความรู้สึกปลอดภัย

 

 

คำพูดพวกนี้จึงส่งเข้าไปถึงหัวใจของหนิงเทียนหนาน ดวงตาของเธออ่อนลงเธอมองไปที่ลุงซู

 

 

ลุงซูตบหน้าอกของเขาทันทีและสัญญาออกมา “ใครที่มันกล้ามารังแกคุณ ผมจะฆ่าพวกมันเอง”

 

 

ถ้อยคำที่หยาบคาย แต่กลับทำหนิงเทียนหนานรู้สึกหวั่นไหว

 

 

 

“การแต่งงานจะต้องใหญ่โต มันจะต้องไม่ทำให้คุณขายหน้าอย่างแน่นอน” หลินปู้ฟานกล่าว

 

 

หนิงเทียนหนานไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องปฏิเสธ

 

 

นอกจากนี้คำพูดของหลินปู้ฟานยังจี้จุดของหนิงเทียนหนานโดยตรงจนเธอไม่สามารถปฏิเสธได้

 

 

“ฉันตกลง” หนิงเทียนหนานเห็นด้วย “แต่ฉันมีคำขออีกอย่างหนึ่ง”

 

 

“ไม่ว่าจะกี่ข้อก็ไม่มีปัญหา” ลุงซูพูดด้วยความมั่นใจ

 

 

“หลังจากที่เราแต่งงานกัน เราสองคนต้องอยู่ด้วยกัน” หนิงเทียนหนานคิดว่าถ้าเธอไม่ได้อยู่ด้วยกันหลังจากแต่งงานแล้วเธอจะถูกชาวบ้านว่าร้ายเธออีก

 

 

“ไม่มีปัญหา ครอบครัวของฉันใหญ่มาก” ลุงซูเห็นด้วย

 

 

“ไม่ คุณต้องมาอาศัยอยู่ในบ้านของฉัน เมื่อคุณย้ายทะเบียนบ้านมาอยู่ในบ้านของฉันคุณก็ต้องมาอยู่ที่บ้านฉัน” หนิงเทียนหนานกล่าว

 

 

ใบหน้าของลุงซูแข็งค้าง

 

 

“ไม่มีปัญหา!” หลินปู้ฟานตอบแทนลุงซู

 

 

“ฉันต้องการให้เขาพูดด้วยตัวเอง” หนิงเทียนหนานชี้ไปที่ลุงซู

 

 

“บ้านของคุณ… มีอะไรบ้าง… ” ลุงซูลังเลอย่างมาก บ้านของหนิงเทียนหนานเป็นบ้านไม้ในยุค 70 และไม่มีเครื่องใช้ที่ทันสมัยเช่นโทรศัพท์และเครื่องปรับอากาศเลย

 

 

“คุณไม่ชอบบ้านของฉันเหรอ?”

 

 

“ไม่ไม่ ฉันตกลงๆ” ลุงซูกัดฟันเห็นด้วยเพราะยังไงลูกชายของเขาก็อาศัยอยู่ในโรงเรียน เรื่องนี้จึงไม่ใช่ปัญหาที่ใหญ่โตอะไร

 

 

ทั้งหมดคือข้อสรุปเรื่องแผนการแต่งงานปลอม

 

 

ส่วนเฉินเจี้ยนชิงหลังจากที่การแข่งขันร้องเพลงระดับวิทยาลัยสิบอันดับแรกสิ้นสุดลง เขาได้เขียนใบรับรองแพทย์สำหรับการไปรักษาตัวที่ต่างประเทศให้กับแม่ของหลินปู้ฟาน

 

 

หลินปู้ฟานส่งเงิน 1 แสนดอลลาร์สหรัฐให้กับโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์และตกลงที่จะส่งแม่ของเขาไปที่นั่นภายในสิบวัน

 

 

ปัญหาต่อไปคือเขาจะบอกพ่อเขายังไงดี

 

 

หลังจากคิดถึงเรื่องนี้หลินปู้ฟานก็ไปที่สมาคมหงฮุ่ยซึ่งเป็นศูนย์ช่วยเหลือสังคมและองค์กรที่อุทิศตนเพื่อการช่วยเหลือผู้อื่น หลินปู้ฟานบริจาคเงิน 10 ล้านให้กับสมาคมหงฮุ่ย

 

 

การบริจาคให้สมาคมหงฮุ่ยมีสองประเภท ประเภทแรกคือการบริจาคแบบไม่กำหนดเป้าหมายจะบริจาคให้กับผู้ที่มีความต้องการและสมาคมเห็นชอบ ส่วนที่ประเภทสองคือการบริจาคแบบกำหนดเป้าหมายซึ่งผู้บริจาคสามารถระบุว่าต้องการจะบริจาคให้กับใครหรือคนกลุ่มไหน

 

 

หลินปู้ฟานทำการบริจาคแบบกำหนดเป้าหมายโดยให้สมาคมหงฮุ่ยบริจาคให้กับจางซิ่วเยว่

 

 

สมาชิกของสภากาชาดถามหลินปู้ฟานว่าเขาต้องการจะทิ้งชื่อของเขาไว้ไหม และหลินปู้ฟานก็ตอบไปว่าเขาต้องการบริจาคให้จางซิ่วเยว่แบบไม่ระบุตัวตน

 

 

สามวันต่อมาผู้คนจากสภากาชาดไปที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดและส่งมอบเงินบริจาคไปยังบัญชีของหลินเจิ้งตง

 

 

หลินเจิ้งตงคุกเข่าขอบคุณต่อหน้าสมาชิกกาชาด เขาถามว่าคนใจดีคนไหนที่เป็นคนบริจาค แต่สมาชิกกาชาดบอกว่าคนที่บริจาคนั้นไม่ได้ระบุชื่อไว้

 

 

หลังจากสมาชิกกาชาดจากไปหลินเจิ้งตงก็สวมกอดจางซิ่วเยว่และร้องไห้ด้วยความดีใจ “ที่รักเรารอดแล้ว ด้วยเงินมากมายขนาดนี้คุณสามารถไปสหรัฐอเมริกาได้แล้ว”

 

 

ก่อนหน้านี้หลินปู้ฟานขอให้ซุนหว่านหมินพูดถึงโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ให้พ่อของเขาฟัง โดยบอกว่าที่นั่นสามารถหาแหล่งที่มาของไตได้และสามารถรักษาให้หายได้ตราบใดที่มีเงิน

 

 

หลินเจิ้งตงถามว่าการไปรักษาตัวที่สหรัฐอเมริกาต้องใช้เงินเท่าไหร่ แต่เมื่อซุนหว่านหมินบอกไปว่าต้องใช้เงิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลินเจิ้งตงก็หมดหวังทันที เพราะในชีวิตนี้เขาไม่มีทางหาเงินได้มากมายขนาดนั้นแน่ๆ แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้วเพราะเขามีเงินพอที่จะส่งภรรยาของเขาไปรักษาแล้ว

 

 

หลินปู้ฟานไม่ได้เข้าไปในวอร์ด เขาร้องไห้ด้วยความดีใจขณะเฝ้าดูพ่อแม่ของเขา

 

 

“เสี่ยวหลินเธอนี่น่าทึ่งจริงๆ” ซุนหว่านหมินปรากฏตัวขึ้นข้างหลังเขาอย่างเงียบๆ

 

 

หลินปู้ฟานเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วถามว่า “อะไรเหรอครับ?”

 

 

“เธอเป็นผู้บริจาคเงินจากสภากาชาดใช่ไหม?” ซุนหว่านหมินเคยเห็นคนจากสภากาชาดมาส่งมอบเงินที่โรงพยาบาลนี้มาก่อน แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่พวกเขามาส่งมอบเงินจำนวนมากขนาดนี้ และเงินขนาดนี้มันก็เกินขอบเขตของการทำการกุศลไปแล้ว จะถือว่านี่เป็นการบริจาคที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเลยก็ว่าได้

 

 

และซุนหว่านหมินก็เห็นว่าหลินปู้ฟานนั้นคอยซ่อนตัวอยู่ที่มุมหนึ่งคอยเฝ้าดูเรื่องราวทั้งหมด เขาทำเพียงแค่แอบดูพ่อกับแม่ของเขาอยู่ที่ประตูเท่านั้นมันจึงทำให้ซุนหว่านหมินสงสัยขึ้นมา

 

 

เมื่อนึกถึงสิ่งที่ซุนหยานลูกสาวของเขาเคยบอกกับเขาว่าหลินปู้ฟานนั้นไม่ใช่คนธรรมดา มันก็ทำให้เข้าเริ่มมั่นใจขึ้นมา

 

 

และเมื่อนึกถึงคณบดีเฉินที่เป็นคนที่จัดการได้อย่างยากมาก แต่กลับถูกหลินปู้ฟานจัดการได้ มันก็ทำให้ซุนหว่านหมินรู้สึกว่าหลินปู้ฟานเป็นนักเรียนมัธยมปลายที่ไม่ธรรมดา

 

 

“ออกไปคุยกันข้างนอกเถอะครับ” หลินปู้ฟานพูดจบก็รีบออกจากประตูวอร์ดไป

 

 

เมื่อพวกเขามาถึงสวนของโรงพยาบาล หลินปู้ฟานก็ยอมรับว่าเขาเป็นคนบริจาคเงินให้แม่ของเขาเอง ซุนหว่านหมินรู้สึกงงงวย “ทำไมเธอไม่บอกพ่อแม่ของเธอไปตรงๆ ล่ะ?”

 

 

หลินปู้ฟานยิ้ม “ถ้าลูกสาวของคุณลุงให้เงินคุณลุง 10 ล้านคุณลุงจะคิดยังไงครับ?”

 

 

“เงินนั่นต้องผิดกฎหมายแน่นอน เด็กม. ปลายจะมีเงินมากมายขนาดนี้ได้ยังไง?” ซุนหว่านหมินโพล่งออกมา

 

 

“นั่นแหละครับคือเหตุผล ตอนนี้ผมหาเงินได้มากก็จริง แต่ผมก็ยังไม่อยากให้พ่อกับแม่รู้”

 

 

หลินปู้ฟานมีความคิดของตัวเองอยู่ ประการแรกเขาไม่ต้องการทำให้พ่อและแม่ของเขาต้องกังวลเกี่ยวกับการไปรักษาตัวต่างประเทศ ประการที่สองเขายังเป็นแค่นักเรียนม.ปลายเท่านั้น ถ้าเขาบอกไปว่าเขากำลังทำธุรกิจอยู่ในตอนนี้ พ่อแม่ของเขาก็อาจจะคัดค้านได้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่คัดค้าน แต่พวกเขาก็จะต้องเป็นห่วงมากแน่ๆ เพราะเขายังเป็นแค่เด็กม.ปลาย หากโดนโกงขึ้นมาจะทำอย่างไร?

 

 

หลินปู้ฟานไม่ต้องการให้พ่อกับแม่ของเขาต้องมาคอยกังวลเกี่ยวกับเขา เขาต้องการจะรอจนเข้าวิทยาลัยหรือหลังจากจบการศึกษาจากวิทยาลัยเสียก่อนแล้วค่อยเปิดตัว เพื่อความมั่นคงของตัวเองและทำให้ทั้งโลกตกตะลึงด้วย

 

 

ซุนหว่านหมินแอบชื่นชมหลินปู้ฟาน ต่อหน้าเด็กคนนี้แม้ผู้ใหญ่ก็ยังต้องระวังตัว

 

 

“หยานหยานของลุงและซ่งเซิ่นฮุยเป็นยังไงบ้าง?” ซุนหว่านหมินถาม

 

 

“พวกเขาดูเหมือนคู่สามีภรรยาใหม่เลยล่ะครับ” หลินปู้ฟานพูดด้วยรอยยิ้ม

 

 

“จริงเหรอ… เธอไม่ได้มีอะไรปิดบังลุงใช่ไหม?” ในฐานะพ่อแม่เขากังวลเรื่องนี้จริงๆ

 

 

“ผมอาจจะไม่รู้ทั้งหมด แต่ผมเชื่อว่าซ่งเซิ่นฮุยเป็นคนที่มีความรับผิดชอบครับ ลุงควรหาโอกาศไปเจอเขาสักครั้งนะครับ”

 

 

“อะแฮ่มๆ!” ซุนหว่านหมินแกล้งไอเล็กน้อย “เรื่องนี้… ไว้ค่อยคุยกันทีหลัง”

 

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า ลุงซุน ลุงกังวลไม่กล้าไปเจอลูกเขยของลุงเหรอครับ?”

 

 

“ใครกังวล? ใครไม่กล้า…” ซุนหว่านหมินแตะจมูกของเขาและพูดอย่างเขินอาย

 

 

หลังจากพูดคุยกันอีกสักพักหลินปู้ฟานก็ถามออกมา “ลุงซุนก่อนหน้านี้ผมเคยได้ยินลุงพูดว่า ลุงมีญาติอยู่ในอเมริกาใช่ไหมครับ ลุงช่วยขอให้ญาติของลุงช่วยดูแลแม่ของผมได้ไหมครับ?”

 

 

“แม้ว่าเธอจะไม่บอก ฉันก็ตั้งใจจะทำแบบนั้นอยู่แล้ว” ซุนหว่านหมินตบไหล่ของหลินปู้ฟาน “ลุงว่ามันถึงเวลาที่ลุงจะต้องตอบแทนเธอเรื่องลูกสาวของลุงแล้วล่ะ”

 

 

ซุนหยานเกือบจะใจสลายเพราะถูกปฏิเสธจากซ่งเซิ่นฮุยจนมันทำให้เธอทนไม่ไหวและไม่ต้องการจะอยู่ที่นี่อีกต่อไป แต่โชคดีที่หลินปู้ฟานเข้ามาช่วยไว้ก่อน ทำให้ตอนนี้เขาสามารถเห็นรอยยิ้มที่สดใสของลูกสาวเขาได้ทุกวัน

 

 

“ขอบคุณครับ!” หลินปู้ฟานโค้งคำนับจากใจ

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด