อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) – บทที่ 42 ความรักของแม่ที่ขาดหายไป
ตอนที่ 42 ความรักของแม่ที่ขาดหายไป
เมื่อเห็นฉากที่พ่อของเขากำลังจะจูบกับหนิงเทียนหนาน ซูเฉิงหลงก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้รู้สึกเสียใจมากขนาดนี้
“เสี่ยวหลง ลูกมาที่นี่ได้ยังไง?” ลุงซูถามด้วยความประหลาดใจ
“นี่ลูกของคุณเหรอ?” หนิงเทียนหนานรีบลุกขึ้นยืนและไปเปิดประตูลานบ้าน
หนิงเทียนหนานนำชามและตะเกียบมาเพิ่ม “ฉันจะไปเตรียมอาหารมาเพิ่ม ทั้งสองคนทานกันไปก่อน”
“ไม่ต้อง อาหารบนโต๊ะมีเยอะพอแล้ว” ลุงซูกล่าว
“ไม่เป็นไร คุณสองคนทานกันไปก่อนเลย” หลังจากพูดแล้วหนิงเทียนหนานก็เดินไปที่เตา
ลุงซูกระแอมในลำคอ เขารู้สึกอายเล็กน้อย “ลูกเจอที่นี่ได้ยังไง?”
“พี่หลินบอกผมครับ”
“ลูกได้เจอกับหลินปู้ฟานแล้ว?”
“ใช่ครับ เขาเป็นคนที่สุดยอดจริงๆ”
“ดี เรียนรู้จากเขาให้มากในอนาคต”
หลังจากพูดกันไปได้ไม่กี่ประโยค ทั้งพ่อและลูกก็เงียบไป
เขารู้สึกไม่ดีที่บรรยากาศเหมือนกับถูกแช่แข็งแบบนี้เลย
“มันเป็นเพียงแค่การแต่งงานปลอมๆ เท่านั้น ลูกไม่ต้องกังวล” เพราะเขากลัวว่าลูกชายของเขาจะไม่ยอมรับการแต่งงานใหม่ของเขา ลุงซูจึงพูดออกไปอย่างนั้น
“ผมรู้”
“โอ้…” ลุงซูตอบเบาๆ หลังจากจิบเหล้าแล้วเขาก็พูดว่า “เธอเป็นคนดี เป็นผู้หญิงที่เก่ง”
ซูเฉิงหลงเงียบ
อาหารจานผักและเต้าหู้ถูกนำมาเพิ่มบนโต๊ะ
“ทานผักสักหน่อยนะ” หนิงเทียนหนานพูดอย่างขยันขันแข็ง
ซูเฉิงหลงกัดเต้าหู้และจงใจพูดออกมา “มันเผ็ดเกินไป”
“ขอโทษ ป้าไม่รู้ว่าเธอไม่ชอบทานเผ็ด งั้นลองซี่โครงนี่นะ”
หนิงเทียนหนานตักซี่โครงให้ซูเฉิงหลงและคำตอบเฉยเมยก็ดังออกมาอีกครั้ง “นี่ก็หวานเกินไป”
“คราวหน้าป้าจะใส่น้ำตาลให้น้อยลงกว่านี้…” หนิงเทียนหนานยืนขึ้น “ยังมีซี่โครงเหลืออยู่ในหม้อ ป้าจะไปปรุงให้เธอใหม่”
“ผมอยากกินเนื้อ” ซูเฉิงหลงเริ่มแสดงความกระตือรือร้นที่จะกินอาหาร เพราะเขาต้องการกินอาหารที่ทำเองแบบนี้มาโดยตลอดและอาหารของหนิงเทียนหนานก็อร่อยอย่างมาก แต่เขาก็อายเกินกว่าจะพูดออกไปตรงๆ แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องการสิ่งนี้
“ลูก! นี่มันมืดมากแล้วเราจะไปหาเนื้อมาจากไหนได้?” ลุงซูสีหน้าเริ่มเปลี่ยนไป
“อย่าว่าลูกคุณอย่างนั้นเลย รอก่อนนะจ๊ะเดี๋ยวป้าจะออกไปซื้อมาให้” หนิงเทียนหนานถอดผ้ากันเปื้อนออกและรีบออกไปซื้อเนื้อ
มีร้านขายอาหารอยู่ที่ถนนกุ้ยซานที่อยู่ห่างออกไปประมาณหนึ่งกิโลเมตร
หลังจากที่หนิงเทียนหนานวิ่งออกไปได้สักพัก ฝนก็ตกหนัก
ฝนฤดูร้อนตกลงมาอย่างไม่ให้ตั้งตัว
มองไปที่ฝนที่ตกลงมา
“ทำไมอยู่ๆ ฝนถึงตกได้? แย่แล้ว! เธอไม่ได้เอาร่มไปด้วย” ลุงซูยืนขึ้นด้วยความรู้สึกกังวล
“พ่อ พ่อเป็นห่วงเธอขนาดนั้นเลยเหรอ?” ซูเฉิงหลงพูดออกมาอย่างเสียใจ
ลุงซูตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “พ่อแกล้งแต่งงานกับเธอเพื่อทำธุรกิจ ลูกอย่าใส่ใจเรื่องนี้เลย”
ผ่านไปประมาณ 20 นาที หนิงเทียนหนานก็กลับมาถึงบ้าน
“… ” ร่างกายของหนิงเทียนหนานที่เปียกโชกจนผมของเธอแนบติดกับแก้ม หยดน้ำร่วงหล่นลงมาจากใบหน้าไม่ขาดสาย
เมื่อเห็นในมือที่ว่างเปล่าของหนิงเทียนหนาน ซูเฉิงหลงก็พูดอย่างไม่มีความสุข “แล้วเนื้อผมล่ะ?”
“อยู่นี่ไงจ๊ะ” หนิงเทียนหนานหยิบเนื้อที่ถูกห่ออย่างดีด้วยใบบัวออกมาจากใต้แขนเสื้อของเธอพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้ม “โชคดีจริงๆ ที่เนื้อไม่เปียก รอก่อนนะป้าจะทำให้เธอ”
ลุงซูทนไม่ไหวที่เห็นแบบนั้น “คุณควรจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะนะ”
หนิงเทียนหนานพูดออกมา “ไม่ต้องห่วงร่างกายของฉันแข็งแรงกว่าที่คุณคิดเยอะค่ะ ฉันจะไปหั่นเนื้อให้ลูกของคุณก่อน ลูกคุณกำลังหิว”
หนิงเทียนหนานยืนยันที่จะหั่นเนื้อก่อน
ซูเฉิงหลงกินเนื้อพร้อมกับความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้เริ่มปริ่มล้นในหัวใจของเขา
ฝีมือของหนิงเทียนหนานดีมากจริงๆ แม้ซูเฉิงหลงจะบอกว่าเต้าหู้เผ็ดเกินไปและซี่โครงหวานมากไปแต่เขาก็กินพวกมันไปเยอะที่สุด
เขากินข้าวไปสามชามโดยไม่รู้ตัว
หลังมื้ออาหาร หนิงเทียนหนานชงน้ำผสมน้ำตาลมาให้ซูเฉิงหลง
ตอนที่ซูเฉิงหลงดื่มน้ำผสมน้ำตาล เขาก็นึกถึงตอนที่เพื่อนของเขาเคยพูดว่าแม่ของเขาเตรียมน้ำชงน้ำตาลไว้ให้เสมอ เพราะมันจะช่วยเรื่องระบบย่อยอาหาร
ในตอนนั้นซูเฉิงหลงรู้สึกอิจฉาอย่างมาก แม้ว่าน้ำต้มน้ำตาลจะไม่ใช่เครื่องดื่มหรูหรา แต่มันก็มีรสชาติของแม่อยู่ รสชาติที่เขาไม่เคยได้สัมผัส
หลังจากดื่มน้ำต้มน้ำตาลทั้งสามก็เริ่มสนทนากัน หนิงเทียนหนานให้คำมั่นกับซูเฉิงหลงว่าเธอจะไม่แย่งพ่อของเขาไปแน่นอน เธอบอกว่าหลังจากทั้งสองคนทำตามข้อตกลงกันแล้วพวกเขาจะแยกจากกันทันที เธอไม่อยากให้ทั้งสองคนต้องทะเลาะกัน
หลังจากรู้ว่าซูเฉิงหลงต้องทนเหงาอยู่ในโรงเรียนประจำตั้งแต่ชั้นประถม หนิงเทียนหนานก็ลูบหัวซูเฉิงหลงด้วยความรักและเอ็นดู “คุณทำกับลูกแบบนั้นได้ยังไง? โอ๋ๆ ไม่เป็นไรนะเธอสามารถมาหาป้าได้เสมอเลยนะ ป้าจะทำอาหารที่เธอชอบให้เธอเอง”
หนิงเทียนหนานชอบเด็กๆ อย่างมาก แต่น่าเสียดายที่เธอไม่สามารถให้กำเนิดพวกเขา
หลังจากที่ซูเฉิงหลงสัมผัสความอบอุ่นจากหนิงเทียนหนาน หัวใจของเขาก็รู้สึกอบอุ่นด้วยเหตุผลบางอย่างจนจมูกของเขาเริ่มแสบขึ้นมา
ตอนที่เขาอยู่ในโรงเรียน เขามักจะเห็นเพื่อนร่วมชั้นนำกล่องอาหารกลางวันที่แม่ของพวกเขาเตรียมมาให้และบางคนก็จะอวดพวกมันต่อหน้าเขาเสมอ
“ดูสิ แม่ฉันทำหมูอบไว้ให้ด้วยล่ะ”
“โอ้ น่ากินสุดๆ ไปเลย นี่ปลาทอดของแม่ฉัน”
“ส่วนของฉันเป็นขนมจีบ คราวหน้าทุกๆ คนไปกินข้าวที่บ้านฉันสิ ฉันจะขอให้แม่ทำเกี๊ยวยัดใส้กะหล่ำปลีดองให้กิน”
ทุกครั้งที่ซูเฉิงหลงได้ยินแบบนั้น เขาจะรู้สึกอิจฉาและจินตนาการว่าสักวันแม่ของเขาจะกลับมา
“เธอร้องไห้ทำไม?” หนิงเทียนหนานเริ่มตกใจเมื่อเห็นซูเฉิงหลงร้องไห้ “ป้าทำอะไรผิดไปหรือป่าวจ๊ะ?”
ซูเฉิงหลงส่ายหัวและพยายามฝืนกลั้นน้ำตา
หนิงเทียนหนานปลอบเขา “คืนนี้เธอนอนที่นี่เถอะ”
“ใช่ เสี่ยวหลงนอนที่นี่กับพ่อสิ”
“ไม่! พ่อนอนกรน ผมนอนไม่หลับ”
“งั้นเธอมานอนกับป้านะ”
“…” ซูเฉิงหลงไม่ปฏิเสธ เขาก้มหน้าอย่างเขินอาย
3 ทุ่ม หนิงเทียนหนานไปต้มน้ำแล้วเข้าไปที่ห้องของลุงซูพร้อมกับกะละมัง
“ฉันจะล้างเท้าให้คุณ” หนิงเทียนหนานนั่งยองๆ บนพื้น เธอยกขากางเกงของลุงซูขึ้นและเริ่มล้างเท้าของลุงซู
นี่เป็นครั้งแรกที่ลุงซูปล่อยให้ผู้หญิงล้างเท้าให้ มันทั้งน่าอายและน่าหลงไหล
ซูเฉิงหลงมองฉากนี้ด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายได้ในใจของเขา
หลังจากล้างเท้าของลุงซูเสร็จ หนิงเทียนหนานก็เปลี่ยนน้ำร้อนและเข้าไปในห้องของเธออีกครั้งเพื่อล้างเท้าของซูเฉิงหลง
ซูเฉิงหลงรู้สึกอาย
“มันเป็นเท้าที่ดีคู่หนึ่ง” หนิงเทียนหนานพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม
“คุณป้าไม่คิดว่ามันสกปรกเหรอครับ?” ซูเฉิงหลงถามอย่างอ่อนแรง
“ฮ่าฮ่าฮ่า … มันจะสกปรกได้ยังไงล่ะจ๊ะ ป้าอยากจะมีลูกมาตลอดแต่ป้าก็ไม่สามารถมีได้ ป้ารู้สึกอิจฉามาโดยตลอดเมื่อเห็นผู้หญิงคนอื่นล้างเท้าและอาบน้ำให้ลูกของเขา วันนี้ป้าได้ทำในสิ่งที่ป้าหวังมาโดยตลอดแล้ว ต้องขอบคุณเธอจริงๆ”
“คุณป้า… แม่ทุกคนรักลูกมากไหมครับ?”
“แน่นอน ลูกเป็นเลือดเนื้อจากร่างกายพวกเธอ พวกเธอจะไม่รักได้อย่างไร”
“แล้วทำไม… แม่ถึงทิ้งผมไป”
การเคลื่อนไหวของหนิงเทียนหนานหยุดลง เธอรู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจ หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ถอนหายใจ “ไม่มีแม่คนไหนที่ต้องการจะทำแบบนั้น ตอนนี้แม่ของเธอคงจะรู้สึกเสียใจมากๆ อยู่แน่นอน”
“ถ้าเสียใจ แล้วทำไม… แม่ถึงไม่กลับมาหาผม”
“ที่แม่ของเธอไม่กล้ากลับมาคงเพราะแม่ของเธอน่าจะรู้สึกผิดอยู่ เสี่ยวหลงเมื่อไหร่ที่แม่ของเธอกลับมาอย่าได้ตำหนิเธอมากเกินไปเลยนะ เธออาจจะมีความจำเป็นบางอย่างที่ไม่สามารถพูดออกมาได้ ให้โอกาสเธออีกครั้งและปล่อยให้อดีตที่น่าเศร้าลอยไปกับสายลมได้ไหม?”
จมูกของซูเฉิงหลงรู้สึกแสบขึ้นมาอีกครั้ง น้ำตาของเขาเริ่มไหลออกมาช้าๆ
หลังจากที่ล้างเท้าให้ซูเฉิงหลงเสร็จแล้ว หนิงเทียนหนานก็ลงไปนอนแผ่บนพื้น
ซูเฉิงหลงถามด้วยความสงสัย “คืนนี้ป้าจะนอนที่พื้นเหรอครับ?”
“ป้าทำฟาร์มและต้องอยู่กับปุ๋ยคอกทุกวัน ป้ากลัวว่าเธอจะรู้สึกไม่ดี” หนิงเทียนหนานพูดพร้อมกับลูบศีรษะของเขาอย่างเรียบง่าย
“กลิ่นป้าไม่ได้เหม็นสักหน่อย”
“งั้น… เรานอนด้วยกันนะ”
ท้องฟ้ายามค่ำคืนในชนบทดูสว่างไสวเป็นพิเศษ มีแสงจันทร์สาดแสงสีขาวนวลเข้ามา
ซูเฉิงหลงยังไม่รู้สึกง่วง
หนิงเทียนหนานจึงถามออกมา “เธอนอนไม่หลับเหรอ?”
“ครับ!”
“เธอกลัวผี?”
“ไม่ใช่สักหน่อย..”
“คุณป้าเล่าเรื่องผีได้ไหมครับ ผมอยากฟัง”
“ได้สิ”
หนิงเทียนหนานเล่าเรื่องผีอย่างลื่นไหล แต่เมื่อมาถึงฉากสยองขวัญ ซูเฉิงหลงกลัวมากจนมุดหัวของเขาไว้ใต้ผ้าห่ม
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไหนเธอบอกป้าว่าไม่กลัวผีไง” หนิงเทียนหนานยิ้มอย่างเอ็นดู
“ผม … ผมไม่กลัว”
“จ้าจ้า ไม่กลัวก็ไม่กล้ว”
ซูเฉิงหลงรู้สึกถึงความสุขและความรักของแม่ในคืนนี้
ตอนที่เขายังเด็ก เด็กคนอื่นๆ มักจะบอกว่าพ่อและแม่ของพวกเขาจะเล่านิทานก่อนนอนให้ฟังเสมอ และเขาไม่เคยสัมผัสอะไรพวกนั้นเลย
เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า เมื่อโตขึ้นเขาจะสามารถชดเชยความเสียใจนั้นได้
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่พ่อและลูกชายลงไปที่ชั้นล่าง พวกเขาก็เห็นว่าอาหารเช้าได้ถูกเตรียมไว้พร้อมแล้ว โจ๊กข้าวฟ่างและข้าวโพดโปะหน้าด้วยผักดองกับหัวไชเท้าดองและขนมปังอีกสามชิ้น
ทั้งพ่อและลูกรู้สึกถึงความสุข
“ฉันไม่รู้ว่าคุณชอบกินอะไรฉันจึงทำโจ๊กไว้ให้”
“โจ๊กข้าวฟ่าง? ฉันกินได้” ลุงซูกล่าว
“คุณชอบก๋วยเตี๋ยวไหม? ถ้าคุณชอบฉันจะทำก๋วยเตี๋ยวให้คุณในอนาคต”
“ชอบ!” สองพ่อลูกพูดพร้อมเพรียงกัน
ลุงซูต้องการที่จะอยู่และพูดคุยเกี่ยวกับงานเลี้ยงกับหนิงเทียนหนานต่อ ส่วนซูเฉิงหลงต้องกลับไปที่โรงเรียน แม้ว่าวันนี้จะเป็นวันหยุดแต่เขาก็ยังต้องเข้าเรียน
“เอาร่มไปด้วยเผื่อฝนตก” ลุงซูบอก
“ไม่เอาอ่ะ อากาศดีขนาดนี้ฝนไม่ตกหรอกพ่อ” ซูเฉิงหลงไม่ชอบถืออะไรในมือ
เมื่อเดินออกจากประตูไปถึงลานบ้าน หนิงเทียนหนานก็ไล่ตามไปและยัดร่มใส่มือของซูเฉิงหลง “เอาร่มนี่ติดไปด้วยนะจ๊ะ ถ้าเธอโดนฝนเธอจะเป็นหวัดได้นะ”
ลุงซูรู้อารมณ์ของลูกชายและคิดว่าเขาคงจะปฏิเสธที่จะรับมันแต่…
“ขอบคุณครับคุณป้า” ซูเฉิงหลงรับร่มไปอย่างมีความสุข เขาเดินออกจากลานบ้านพร้อมกับร่มด้ามยาว
ลุงซูรู้สึกประหลาดใจที่เห็นอย่างนั้น
ลูกชายเขาเริ่มเชื่อฟังอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
ในระหว่างทาง ซูเฉิงหลงมองไปที่ร่มซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เขาจำได้ว่า วันหนึ่งที่ฝนตกหนักหลังเลิกเรียนตอนที่เขาอยู่ม.ต้น เขาเป็นคนเดียวที่ไม่ได้นำร่มมาด้วยและเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ ก็มีร่มกันหมด
“ฝนตกจริงๆ โชคดีที่แม่ขอให้เอาร่มมาด้วย”
“ฉันก็ด้วยเมื่อเช้าฉันไม่อยากเอาร่มมาด้วยเลย แต่แม่ก็บังคับให้เอามาด้วยไม่คิดเลยว่าฝนจะตกจริงๆ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า มีแม่นี่มันดีจริงๆ เลยนะ” เพื่อร่วมชั้นบางคนก็ล้อเลียนเขา
ในตอนนั้นซูเฉิงหลงรู้สึกเสียใจมาก
เวลาผ่านไปกว่าสองชั่วโมง ซูเฉิงหลงก็มาถึงประตูโรงเรียน ในตอนนั้นลมก็เริ่มพัดแรงขึ้น เมฆมืดครึ้มและฝนก็เริ่มโปรยลงมาและไม่นานมันก็กลายเป็นฝนกระหน่ำ
ซูเฉิงหลงยืนอยู่หน้าโรงเรียนพร้อมกับถือร่มในมือ
หลังจากเห็นซูเฉิงหลงท่ามกลางฝนตกหนัก เพื่อนร่วมชั้นในอาคารเรียนก็พูดด้วยความประหลาดใจ “ซูเฉิงหลงเขาบ้าไปแล้วเหรอ? ฝนตกหนักขนาดนี้ทำไมเขายังไม่เข้ามาอีก?”
คอมเม้นต์