อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) – บทที่ 48 กุ้ยซานเริ่มพัฒนา

อ่านนิยายจีนเรื่อง อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) ตอนที่ 48 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 48 กุ้ยซานเริ่มพัฒนา

แม้ว่าเงิน 3 ล้านหยวนจะอยู่ในบัญชีธนาคารของหลินเจิ้งตง แต่เงินทั้งหมดก็เป็นของหลินปู้ฟาน ก่อนที่หลินเจิ้งตงจะนำเงินออกไปใช้จ่ายอะไรเขาจะบอกหลินปู้ฟานก่อนเสมอ

หลินปู้ฟานยิ้มเยาะ “ป้า โครงการอะไรเหรอที่สามรถทำกำไรได้มากขนาดนั้น?”

“เด็กอย่างหลานไม่เข้าใจหรอก ป้ายืมเงินไปหมุนเวียนแค่ 3 วัน หลังจากนั้นป้าจะเพิ่มให้หลานอีก 1 แสนหลานว่าไง? นี่เป็นเหมือนลาภจากท้องฟ้าเลยนะ” หลินปิงผายมือออก

“ป้า ไม่มีเงินที่ไหนตกลงมาจากฟ้าหรอกครับ หรือถ้ามันมีจริงๆ ป้าก็ไปเก็บเงินพวกนั้นสิ ไม่เห็นจะต้องมาขอยืมเงินพวกเรา” หลินปู้ฟานพูดออกมาอย่างบึ้งตึง

“เด็กอย่างเธอจะไปรู้อะไร” หลินปิงขมวดคิ้วและหันไปหาหลินเจิ้งตง “น้องเล็ก น้องต้องเชื่อพี่นะ พี่ไม่มีทางโกหกน้องแน่นอน”

“ผมไม่ได้เป็นเจ้าของเงิน พี่ควรจะคุยกับปู้ฟานเอาเอง” หลินเจิ้งตงตอบอย่างเย็นชา

หลินปิงตะลึง หลินปู้ฟานอีกแล้ว? เด็กคนนี้มันอะไรกัน?

“คุณป้าเรามาคุยกันต่อเถอะครับ สรุปธุรกิจที่ป้าบอกมันเป็นธุรกิจประเภทไหน?” หลินปู้ฟานถามด้วยรอยยิ้ม ตอนนี้เขาอยากเห็นจริงๆ ว่าหลินปิงจะแสดงอะไรออกมาอีก

หลินปิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเผชิญหน้ากับหลินปู้ฟาน “มันเป็นธุรกิจที่พิเศษมาก ป้าได้ข้อมูลภายในมาว่าหุ้นสองตัวกำลังจะสูงขึ้น และเมื่อถึงตอนนั้นป้าจะสามารถทำเงินได้มากมาย ป้าต้องการเอาโชคลาภก้อนนี้มาแบ่งหลานด้วย”

“โอ้..ป้าต้องการจะชวนพวกเราไปเสี่ยงโชค? ป้าทำแบบนั้นได้เหรอครับ? ไม่ใช่ว่าป้ากำลังถูกพวกฉลามตามทวงหนี้อยู่เหรอ?” ตอนนี้ดวงตาของหลินปู้ฟานเหมือนกับบ่อน้ำเย็นพันปี

เมื่อวานนี้ ลุงซูโทรมาบอกว่าเขากำลังดื่มชาอยู่ในบริษัทของเพื่อนของเขา เขาเผอิญมองลอดผ่านม่านบังตาไปอีกห้องและได้เห็นลูกน้องของเพื่อนเขากำลังตะโกนใส่ผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ เขาเลยไปถามเพื่อนเขาว่าเกิดอะไรขึ้นและเพื่อนเขาก็บอกว่าผู้หญิงเป็นหนี้และไม่ยอมจ่ายคืน

ลุงซูเห็นว่าผู้หญิงคนนี้ดูคุ้นมาก ตอนที่เขาเดินออกจากบริษัทของเพื่อน เขาก็จำได้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นป้าของหลินปู้ฟาน

ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาก หลินปิงได้เชิญกู่ซิวเยว่ไปทานอาหารเย็น ในตอนนั้นกู่ซิวเยว่ได้เข้าไปในห้องที่จางอี้หนี่อยู่ จากนั้นหลินปิงก็ตามเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตทำให้ลุงซูรู้จักเธอในตอนนั้น

ลุงซูอธิบายขั้นตอนการยืมเงินของหลินปิงและถามหลินปู้ฟานว่าต้องการจะช่วยหลินปิงด้วยตัวเองไหม? หลินปู้ฟานจึงตอบไปอย่างเฉยชาว่า “คนบางคนก็ไม่สมควรที่จะได้รับการช่วยเหลือ”

หลังจากที่ได้ยินคำพูดของหลินปู้ฟาน หลินปิงก็ตกใจอย่างมาก

เด็กคนนี้รู้ได้ยังไงว่าฉันถูกฉลามตามทวงหนี้อยู่

หลินปิงรู้สึกเหมือนกับนั่งอยู่บนหนามแหลม เหงื่อเย็นไหลออกมา

“ป้า ทำไมป้าไม่พูดอะไรเลยล่ะครับ?” หลินปู้ฟานถามด้วยรอยยิ้ม

“จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร ป้า… ป้าไม่ทางไปกู้เงินจากพวกนั้นอยู่แล้ว” หลินปิงปฏิเสธที่จะยอมรับ

“ใช่ ป้าเป็นนักธุรกิจนี่เนอะ ป้าคงจะไม่มีทางไปกู้เงินจากพวกฉลามอยู่แล้ว ผมก็แค่พูดเล่นน่ะครับอย่าโกรธผมเลย”

“แน่นอนๆ ป้าจะโกรธหลานได้อย่างไร ถ้าอย่างนั้น… หลานจะให้ป้ายืมเงินใช่ไหม?” หลินปิงปลื้มใจ

“ยืมเงิน? แน่นอน ตอนนี้แม่ของผมก็หายดีแล้วและเราก็มีเงินมากมาย”

“ดีดี ป้าจะให้เลขบัญชีธนาคาร”

หลินปู้ฟานโบกมือเพื่อขัดจังหวะหลินปิง เขายิ้มอย่างชั่วร้ายและพูดว่า “คุณป้าครับ เวลาเราจะขอยืมเงินจากใครควรจะทำยังไงครับ? จะนั่งอย่างงี้เหรอครับ?”

หลินปิงรีบลุกขึ้นยืน “เป็นไง อย่างนี้ได้ใช่ไหม?”

“ผมว่าหลังป้าแข็งไปหน่อยนะ” หลินปู้ฟานยิ้ม

หลินปิงก้มลง “แล้วแบบนี้ล่ะ?”

“ผมว่ามันยังดูไม่จริงใจพอนะครับ ป้ายังจำตอนที่พ่อของผมขอยืมเงินจากป้าได้อยู่ไหม?” หลินปู้ฟานพูดอย่างเย็นชา

หลินปิงกัดฟันแน่น หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งเธอก็คุกเข่าลง “แบบนี้พอใจหรือยัง?”

“ป้าครับ ป้าจำได้ไหมครับที่ผมเคยพูดตอนที่ผมอยู่ในโรงพยาบาลว่าวันหนึ่งป้าจะต้องมาคุกเข่าต่อหน้าพวกเรา ผมไม่คิดเลยว่าวันนั้นจะมาถึงเร็วขนาดนี้” หลินปู้ฟานมองลงไปที่หลินปิง เขาปลดปล่อยความเกลียดชังในใจออกมา

ในตอนนั้นเพื่อที่จะช่วยแม่ของเขา พ่อต้องขอร้องอย่างหนักเขาถึงกับทิ้งศักดิ์ศรียอมคุกgเข่า แต่หลินปิงกลับไม่ได้คิดถึงความรักความสัมพันธ์ในครอบครัวเลยแม้แต่น้อย แถมเธอยังซ้ำเติมพ่อของเขาอีกว่าโรคที่แม่เป็นมันไม่มีทางรักษาให้หายได้

คำพูดเหล่านี้กรีดเข้าไปในหัวใจของหลินปู้ฟานเหมือนกับมีด

“ป้ายอมคุกเข่าให้เธอแล้ว ได้โปรดให้ป้ายืมเงินด้วยเถอะนะ” หลินปิงหมดหวัง

หลินปู้ฟานยิ้ม เขาดึงเงิน 1 พันหยวนจากกระเป๋าสตางค์และส่งให้ “นี่เงิน 1 พันหยวนครับ ผมให้ยืม”

“1 พัน? แค่ 1 พันมันจะไปพอได้อะไร น้องเล็ก…” หลินปิงหันไปขอร้องหลินเจิ้งตง

หลินเจิ้งตงมองไปที่พี่สาวอย่างเงียบๆ เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว

“ป้าลืมไปแล้วหรือไงว่าตอนนั้นป้าก็ให้เงินพวกเรามาแค่ 1 พันเท่านั้น ตอนนี้ผมก็แค่ส่งมันคืนเท่านั้นเอง ผมว่าแบบนี้มันก็ยุติธรรมดีนะครับ”

“หลินปู้ฟาน แกจะหลอกลวงฉันมากเกินไปแล้วนะ” หลินปิงลุกขึ้นยืนทันที เธอชี้ไปที่หลินปู้ฟานและตะโกนออกมา “ฉันเป็นป้าของแกนะ ถ้าแกทำกับฉันแบบนี้ แกต้องจะต้องถูกสวรรค์ลงโทษ”

“ผมก็แค่ทำในสิ่งที่ป้าเคยทำก็เท่านั้น ผมจะบอกอะไรให้นะครับป้า ผมรู้เรื่องที่ป้าไปกู้เงินจากฉลามพวกนั้นดีและเป็นผมเองนี่แหละที่ปฏิเสธที่จะช่วยป้า” หลินปู้ฟานพูดออกมาทีละประโยค

“แก…” หลินปิงกัดฟัน

“ถ้าตอนนั้นป้ายอมช่วยเหลือพวกเราสักนิด ในวันนี้ผมก็คงจะพยายามทำทุกอย่างที่ทำได้ ผมคงจะใช้เส้นสายทั้งหมดเพื่อช่วยป้าอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้มันสายไปแล้วครับ ประตูอยู่ทางนั้น เชิญ!” หลินปู้ฟานทำท่าส่งแขก

หลินปิงรู้สึกอับอายและจากไปด้วยความโกรธ

หลินเจิ้งตงหยิบบุหรี่ออกมาคิ้วของเขาขมวดแน่น หลังจากผ่านไปสักพักเขาก็เงยหน้าขึ้นและถอนหายใจ

หลินปู้ฟานรู้ว่าพ่อของเขากำลังรู้สึกอึดอัด

“พ่อ เธอทำตัวของเธอเอง”

“โอ้” หลินเจิ้งตงใจเย็นลงหลังจากสูบบุหรี่ไปสองสามมวน เขาถามหลินปู้ฟานออกมาอย่างลังเล “เราควรให้ป้าของลูกยืมเงินสักหน่อยไหม?”

“พ่อ ป้าเป็นหนี้เงินกู้อยู่ 2 ล้าน ถ้าพ่อให้ป้ายืมเงินแค่ล้านเดียว ป้าคงไม่พอใจและด่าพ่อกลับมาแน่นอน”

หลังจากหลินปิงได้รับเงินชดเชยจากรัฐบาลแล้ว เธอสามารถไถ่ถอนบ้านและร้านค้าที่จำนองไว้ในธนาคารได้ ถ้าเธอขายพวกมันมันก็น่าจะเพียงพอที่จะชำระคืนเงินกู้

แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น อนาคตของหลินปิงก็จะดับลง

วันรุ่งขึ้น หลินเจิ้งกั๋วก็มาหาหลินเจิ้งตงที่บ้านและจุดประสงค์ของการมาก็คือต้องการมายืมเงิน หลินเจิ้งกั๋วบอกว่าเขาต้องการซื้อบ้านเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการแต่งงานของลูกชายของเขาในอนาคตและยังขาดเงินอีก 3 แสนหยวน

หลินเจิ้งตงปฏิเสธไปตรงๆ

ต่อมาหลินเจิ้งจุนก็มาในทำนองเดียวกัน เขามาขอยืมเงินเพราะต้องการจะเปิดร้านอะไรสักอย่าง

หลินเจิ้งตงก็ยังคงปฏิเสธเหมือนเดิม

ยามจนไม่มีใครเหลียวแล ยามรวยก็อย่ามาร้องขอ

หลินปู้ฟานไม่เคยสนใจญาติที่เจ้าเล่ห์เหล่านี้

แต่มีญาติอยู่คนหนึ่งที่หลินปู้ฟานเป็นกังวลมาก

คนนั้นคือลูกพี่ลูกน้องของหลินปู้ฟาน เธอชื่อหลินหนาน

หลินหนานเป็นลูกสาวคนโตของหลินเจิ้งกั๋ว เธอต้องออกจากโรงเรียนกลางคันเพราะว่าเธอตั้งท้อง หลินหนานเลือกที่จะปฏิเสธและยืนยันที่จะเก็บลูกไว้เมื่อหลินเจิ้งกั๋วบอกให้เธอไปเอาออก จนในที่สุดหลินหนานก็ย้ายออกไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยตัวเอง

หลังจากที่จางซิ่วเยว่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล หลินหนานก็มาเยี่ยมจางซิ่วเยว่พร้อมกับเด็กในท้องของเธอ และหลินปู้ฟานก็อยู่ที่นั่นด้วยในเวลานั้น

ก่อนจะกลับหลินหนานได้ยัดเงินใส่มือให้หลินปู้ฟาน 200 หยวนและบอกให้หลินปู้ฟานไปหาซื้ออะไรกิน

ครอบครัวของหลินหนานไม่สนใจเธออีกต่อไป พ่อของเด็กก็ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลยหลังจากเกิดเรื่องขึ้นจนมันทำให้เธอมีชีวิตที่ยากลำบากอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังใจดีให้เงินหลินปู้ฟานถึง 200 หยวน

หลินปู้ฟานรู้สึกสะเทือนใจมาก

ไม่รู้ว่าตอนนี้พี่หนานเป็นยังไงบ้าง

ในช่วงกลางเดือนตุลาคม สิทธิในการพัฒนาของกุ้ยซานได้ถูกมอบให้แก่เถิงเฟยกรุ๊ป เถิงเฟยเป็นบริษัทท้องถิ่นในหางโจวที่ทำงานเกี่ยวกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก เป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีมูลค่าตลาดมากกว่า 8 พันล้าน

การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โดยทั่วไปแล้วต้องใช้เงินกู้ยืมจากธนาคาร และการลงทุนทั้งหมดของเถิงเฟยกรุ๊ปในกุ้ยซานนั้นคือ 1.2 พันล้านโดย 600 ล้านเป็นเงินกู้จากธนาคาร

เถิงเฟยกรุ๊ปได้จัดเตรียมแผนการรื้อถอนไว้สองแผนสำหรับชาวบ้านในกุ้ยซาน หนึ่งคือการชดเชยให้ 1 ล้านในครั้งเดียว หรืออีกหนึ่งคือการหาบ้านในเขตชานเมืองทางตอนใต้ให้พร้อมกับเงินชดเชยอีกส่วนหนึ่ง

ชานเมืองทางตอนใต้เป็นทางแยกระหว่างเมืองหางโจวและเมืองฟู่หลินและชุมชนที่ตั้งถิ่นฐานใหม่ยังเป็นชุมชนเก่าแก่ พื้นที่แถบนั้นยังไม่ค่อยเจริญสักเท่าไหร่ ขนาดโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดยังอยู่ห่างออกไปตั้ง 10 กิโลเมตร

ในไม่ช้าหยูเฟยรองประธานของเถิงเฟยกรุ๊ปที่รับผิดชอบด้านการพัฒนาก็ค้นพบว่ามีบ้านถึง 102 หลังในกุ้ยซานที่ถูกขายไปแล้ว ในตอนนั้นเขาสงสัยอย่างมากว่าใครกันที่มองการไกลได้มากขนาดนี้

เขาซื้อบ้าน 102 หลังก่อนที่คนอื่นๆ จะรู้ตัวเสียอีก

“หัวหน้าหยูผมไปสืบมาแล้วครับ บริษัทที่ชื่อเชิ่งชี่ได้ทำการซื้อบ้านในกุ้ยซานไป 102 หลังอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา” ผู้ช่วยจางเหอพูดพร้อมกับยื่นหนังสือรายงาน

หยูเฟยขมวดคิ้ว เขาลูบคางและพูดว่า “ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมพวกเขารู้ได้ยังไงว่าเผิงปู้จะได้รับการพัฒนา เท่าที่ฉันรู้ ผู้นำคนที่สองนั้นเสนอแนวคิดเรื่องเขตพัฒนาเศรษฐกิจในเดือนกรกฎาคม แต่ตอนนั้นก็ยังไม่มีการตัดสินใจใดๆ ที่จะให้เผิงปู้กลายเป็นเขตพัฒนา แต่ต่อให้เผิงปู้ถูกตัดสินให้เป็นเขตพัฒนาตั้งแต่ตอนนั้นจริงๆ ทำไมพวกเขาถึงไม่เลือกไปลงทุนที่หลิงซานแทนที่จะเป็นกุ้ยซาน?”

จางเหอค้นหาเว็บไซต์ของรัฐบาลและพบรายชื่อบริษัทที่ลงทุนในหลิงซาน มีบริษัทมากกว่าหนึ่งโหลที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่นั่น แต่ไม่มีชื่อของบริษัทเชิ่งชี่เลย

“บริษัทเชิ่งชี่ ไม่มีทรัพย์สินในหลิงซาน…” จางเหอพูดออกมาเบาๆ

หยูเฟยเลิกคิ้ว “น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ!”

ไม่มีองค์กรเอกชนอื่นใดในกุ้ยซานเลย มีเพียงบริษัทเชิ่งชี่เท่านั้นที่ครอบครองอสังหา 102 แห่ง

“หัวหน้าหยูครับ บริษัทนี้ดูเหมือนจะไม่ธรรมดาเลยนะครับ ข่าวการพัฒนาได้แพร่กระจายไปในตลาดเดือนกันยายน แต่ในตอนนั้นเจ้านายหลายคนพุ่งเป้าไปที่หลิงซานกันทั้งหมด แต่บริษัทนี้กลับเลือกไปลงทุนในกุ้ยซานแทน มันแปลกมากเลยนะครับ เพราะถ้าเป็นผมผมก็ต้องเลือกไปลงทุนในหลิงซานแน่นอน พื้นที่แถวนั้นดีกว่ากุ้ยซานตั้งหลายเท่า แถมกุ้ยซานนั้นก็ยังถูกล้อมรอบไปด้วยสุสานและการเดินทางก็ไม่สะดวกอีกด้วย มันเหมือนกับว่าเขารู้มาก่อนแล้วว่าที่หลิงซานจะถูกตั้งให้เป็นพื้นที่คุ้มครอง ท่านว่าไหม?”

หยูเฟยพยักหน้า “พื้นที่ที่ดีที่สุดของเผิงปู้อยู่ที่ถนนเซี่ยฉา เพราะการจราจรบนถนนเซี่ยฉานั้นสะดวกที่สุด แม้ว่าจะไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรคอยรองรับในตอนนี้ แต่จะต้องถูกสร้างขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน น่าเสียดายที่บริษัทของเราไม่มีเงินทุนเพียงพอทำให้เราไม่สามารถประมูลพื้นที่แถวนั้นมาได้”

ในตอนนั้นเองโทรศัพท์ที่อยู่บนโต๊ะทำงานของหยูเฟยก็ดังขึ้น

มันเป็นสายจากเพื่อนของเขาที่ทำงานในรัฐบาล

“หยูเฟย ฉันมีข่าวดีจะบอก รัฐบาลได้ตัดสินใจแล้วว่าจะสร้างโรงเรียนระดับหนึ่งและมันจะถูกสร้างขึ้นทางตอนเหนือของกุ้ยซาน และถนนทางตอนใต้ของกุ้ยซานจะถูกขยายออกไปจนเชื่อมกับถนนตะวันออกและตะวันตก กุ้ยซานจะมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมากในอนาคต! โชคเข้าข้างนายแล้วเพื่อน”

หยูเฟยตัวแข็งไปชั่วขณะ เขารีบกล่าวขอบคุณทันที

“หัวหน้าหยูจะมีอะไรดีๆ เกิดขึ้นเหรอครับ?” จางเหอถาม

“อืม…” หยูเฟยเล่าเนื้อหาที่คุยอีกครั้ง

“โอ้ แบบนี้กุ้ยซานก็จะกลายเป็นหนึ่งในทำเลที่ดีที่สุดในเขตพัฒนาไม่ใช่เหรอครับ?”

“ใช่ บ้านที่นั่นจะมีค่าอย่างมากในอนาคต” ทันทีที่เขาพูดจบหนังศีรษะของหยูเฟยก็ชาขึ้นมา “เดี๋ยวก่อน บริษัทเชิ่งชี่รู้เรื่องนี้อยู่แล้วเหรอ?”

“เป็นไปไม่ได้หรอกครับ โครงการสร้างโรงเรียนเพิ่งจะถูกเสนอและได้รับการอนุมัติไม่ใช่เหรอครับ?”

“ใช่ แต่ฉันรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ บริษัทเล็กๆ ที่ไม่มีชื่อเสียงพวกนั้นกล้าวางเดิมพันหนักขนาดนั้นกับกุ้ยซานได้ยังไง? มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ? เสี่ยวจางนายไปสืบเรื่องนี้มาให้ละเอียดและอย่าลืมถามซื้อบ้าน 102 หลังนั้นมาด้วย”

“ผมกลัวว่าเขาจะไม่ขายน่ะสิครับ”

“เสนอให้พวกเขาไปหลังละ 1.5 ล้านได้เลย”

“ครับ!”

มองไปที่แผ่นหลังของจางเหอที่กำลังจากไป หยูเฟยคิดในใจ: 1.5ล้าน พวกเขาจะยอมขายไหมนะ?

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด