อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) – บทที่ 55 พบกับสุดที่รัก
ตอนที่ 55 พบกับสุดที่รัก
“คุณนักเขียนหลิน ตามปกติหลังจากที่นักเขียนเซ็นสัญญากับสำนักพิมพ์แล้ว ลิขสิทธิ์ทั้งหมดก็จะถูกส่งต่อไปยังสำนักพิมพ์ด้วยนะครับ” ฟางเจี้ยงหนานพูดออกมาอย่างระมัดระวัง
หลินปู้ฟานยิ้ม “ลิขสิทธิ์เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด เหมือนกับผลงานของจินต้าเซี่ยอย่าง”ตำนานวีรบุรุษ”และ”ตำนานมังกร”ที่ทำให้เขาได้รับค่าลิขสิทธิ์จำนวนมากเพราะลิขสิทธิ์ทั้งหมดอยู่ในมือของเขาเอง ถ้าผมปล่อยให้คุณเป็นคนจัดการ ใครจะรู้ว่าคุณทำเงินได้มากเท่าไหร่”
“คุณนักเขียนหลินไม่ต้องกังวล ละเอียดของรายได้จากลิขสิทธิ์ทั้งหมดจะมีการแจ้งให้คุณทราบอย่างแน่นอน”
“ยังไงสำนักพิมพ์เองก็เป็นบริษัท เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกคุณต้องการที่จะสร้างรายได้เพิ่ม และวิธีที่จะทำให้พวกคุณสร้างรายได้เพิ่มได้ดีที่สุดก็คือการเบียดเบียนจากนักเขียนอย่างพวกเรา” หลินปู้ฟานกล่าวอย่างเผ็ดร้อน
ฟางเจี้ยงหนานกลายเป็นมึนงง หลินปู้ฟานพูดออกมาจนไม่มีช่องให้เขาแทรกได้เลย “คุณนักเขียนหลิน สำนักพิมพ์ของเรามีอิทธิพลอย่างมากในประเทศนี้ ร้านหนังสือทั่วประเทศทุกร้านติดต่ออยู่กับเรา โลกนี้ไม่เคยขาดแคลนผู้มีความสามารถ แต่เป็นองค์กรที่ดำเนินงานเพื่อผู้มีความสามารถเหล่านั้นต่างหาก คุณมีความสามารถเรารู้ แต่คุณก็ยังต้องพึ่งพาสำนักพิมพ์ของเราในการเปิดตลาดเพื่อให้มีช่องทางให้คนทั่วไปได้รู้จักงานของคุณ ถ้าหากว่าคุณไม่มีช่องทางแล้วคุณจะโปรโมทงานของคุณยังไง? นี่ก็เหมือนกับความสัมพันธ์ระหว่างผลิตภัณฑ์สินค้ากับสถานีโทรทัศน์ หากไม่มีการโฆษณา ไม่ว่าผลิตภัณฑ์ของคุณจะดีแค่ไหนก็ไม่มีใครซื้อ”
หลินปู้ฟานเปิดคอมพิวเตอร์พร้อมกับรอยยิ้มและคลิกเข้าไปที่เว็บไซต์นวนิยายจีน
ในเวลานี้หงซิ่วเทียนเซียงใต้ต้นไทรเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว (เว็บโนเวล)
หลินปู้ฟานชี้ไปที่นวนิยายที่แนะนำบนหน้าเว็บ “ในอนาคตความนิยมของสื่อกระดาษจะลดลงและอินเทอร์เน็ตก็จะเข้ามาแทนที่ สำนักพิมพ์ของคุณต้องพึ่งพาช่องทางของตนเองเพื่อจะได้ครอบครองส่วนแบ่งการตลาดส่วนใหญ่ แต่อีกไม่นานผู้คนจะเริ่มอ่านหนังสือออนไลน์กันมากขึ้น คุณรู้ไหมว่าจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์นี้ต่อวันเท่าไหร่? 5 แสนคนมีผู้อ่านนิยายจากเว็บไซต์นี้ถึง 5 คนต่อวันและยังมีเว็บไซต์นวนิยายแบบนี้อีกมากมาย ผมสามารถใช้เว็บไซต์พวกนี้เพื่อเปิดช่องทางของตัวเองได้ และผมก็ไม่จำเป็นที่จะต้องขายลิขสิทธิ์ของตัวเอง”
“อย่างไรก็ตามอินเทอร์เน็ตไม่สามารถครอบคลุมทุกคนได้ แต่สื่อกระดาษของเราก็มีหลากหลายเช่นกัน สื่อเรามีทั้งหนังสือพิมพ์ หนังสือและนิตยสารที่จะเป็นกระแสหลักตลอดไป” ฟางเจี้ยงหนานไม่เชื่อว่าทุกคนจะสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ในอนาคต “นอกจากนี้ คุณก็น่าจะรู้ว่าค่าใช้จ่ายในออนไลน์เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงนั้นค่อนข้างแพง ไม่ใช่ว่านักเรียนทุกคน หรือทุกครอบครัวจะสามารถจ่ายได้”
หลินปู้ฟานยิ้มและเปิดบทความ “การเผชิญหน้าครั้งแรก” ที่เขียนโดยไฉซื่อซื่อผู้ริเริ่มอินเทอร์เน็ตในปี 1998 ในเวลานี้บทความทางอินเทอร์เน็ตนั้นมีจำนวนคำนับหมื่นคำและจำนวนคลิกเข้าชมหลายล้านครั้ง นอกจากนี้ในฟอรัมใหญ่ๆ ยังมีการกระตุ้นการอภิปรายกันอย่างดุเดือด
“คุณเคยอ่าน “การเผชิญหน้าครั้งแรก” ที่แก้ไขโดยนักเขียนฟางไหม? ถ้าคุณได้อ่านมันแล้ว คุณจะยังกล้าบอกว่าอินเทอร์เน็ตนั้นเป็นสิ่งที่เข้าถึงยากอยู่ไหม?” หลินปู้ฟานหัวเราะเยาะ “เทคโนโลยีกำลังพัฒนา ในอนาคตจะเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนจะมีโทรศัพท์มือถือเป็นของตัวเอง และโทรศัพท์มือถือเหล่านั้นก็ยังสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้โดยตรงอีกด้วย แถมค่าอินเทอร์เน็ตหนึ่งปีก็ไม่แพงเช่นกัน”
“คุณนักเขียนหลิน คอมพิวเตอร์ราคามากกว่า 1 หมื่นหยวนและโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งก็ 1 หมื่นหยวนเช่นกัน มีไม่กี่ครอบครัวหรอกครับที่จะสามารถซื้อพวกมันได้ สื่อกระดาษจะไม่มีทางตกกระแสแน่นอน” ฟางเจี้ยงหนานไม่เชื่อ “หลังจากมีการค้นพบกระดาษ สื่อกระดาษก็กลายเป็นสื่อที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้คนในการเข้าถึงความรู้ มันเป็นอย่างนี้มานานหลายพันปีแล้ว”
หลินปู้ฟานยิ้ม “ลืมไปเถอะ คุณจะรู้ได้เองในอนาคต”
หลังจากการเพิ่มขึ้นของหนังสือออนไลน์ หนังสือเล่มก็ขายยากขึ้นเรื่อยๆ
“คุณนักเขียนหลิน ผมยอมรับว่าคุณเป็นคนที่มีความสามารถทางด้านนี้ มันเป็นพรสวรรค์ที่หาได้ยากก็จริง แต่คุณก็ไม่ควรยึดมั่นกับความสามารถของคุณจนเกินไปนะครับ นักเขียนทุกคนต้องการความช่วยเหลือจากสำนักพิมพ์เพื่อให้ตัวเองมีชื่อเสียงกันทั้งนั้น”
“ผมไม่ต้องการมีชื่อเสียง และถ้าผมต้องการจะมีชื่อเสียงขึ้นมาจริงๆ ผมก็จะซื้อสำนักพิมพ์มาพิมพ์และขายผลงานของผมเองด้วยตัวของผมเอง”
“ฮ่าฮ่าฮ่า” ฟางเจี้ยงหนานหัวเราะ “คุณรู้ไหมว่าการพิมพ์หนังสือ 1 ล้านเล่มมันมีค่าใช้จ่ายเท่าไร?”
เพิ่งพูดจบ ก็มีคนมาเคาะประตู
คนที่มาคือจางอี้หนี่
“เสี่ยวหลินป้ามีบางอย่างจะถามหลาน ป้ามารบกวนหรือป่าว?” จางอี้หนี่ยิ้มอย่างสุภาพให้ฟางเจี้ยงหนาน
“ไม่เป็นอะไรครับป้า มีอะไรเหรอ?”
“โครงการบ้านพักคนชรานั้นต้องการค่าใช้จ่ายเพื่อจัดซื้ออุปกรณ์อีก 10 ล้านหยวน และค่าใช้จ่ายของสวนสาธารณะใหญ่สามแห่งที่จะสร้างอีก 3 ล้าน… ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่จะต้องจ่ายน่าจะอยู่ที่ประมาณ 15 ล้านหยวน หลานคิดว่าไง?” จางอี้หนี่พูดปรึกษาหลินปู้ฟานพร้อมกับเอกสารในมือ
“อืม เรามีทุนสำหรับโครงการนี้มากกว่า 50 ล้านหยวน ค่าใช้จ่าย 15 ล้านไม่ถือว่ามีปัญหาอะไร ป้าจัดการได้เลยครับ” หลินปู้ฟานพยักหน้าเล็กน้อยด้วยท่าทางผู้นำ
“งั้นป้าจะทำตามแผนนี้” จางอี้หนี่หยิบนามบัตรออกมาและยื่นให้ฟางเจี้ยงหนาน “สวัสดีฉันแช่จาง เป็นเจ้าของร้านโรงแรมนี้”
ฟางเจี้ยงหนานตกตะลึง เมื่อกี้พวกเขากำลังคุยกันถึงธุรกิจหลายสิบล้าน?
“สะ..สวัสดีครับ ผมเป็นบรรณาธิการของสำนักพิมพ์ฉางเจียง ผมแซ่ฟางครับ” ฟางเจียงหนานให้นามบัตรแก่จางอี้หนี่ด้วย
หลังจากจางอี้หนี่จากไป ฟางเจี้ยงหนานกลืนน้ำลายอึกใหญ่พร้อมกับมองไปที่หลินปู้ฟานด้วยความไม่เชื่อ “คุณ … คุณทำธุรกิจอื่นอยู่ด้วย?”
“ใช่ครับ ผมไม่เคยคิดจะเขียนหนังสือเพื่อหาเงินตั้งแต่แรกแล้วครับ เพราะผมจะเขียนหนังสือไปทำไม?” หลินปู้ฟานยิ้ม และชี้ไปที่เมืองอันกว้างใหญ่นอกหน้าต่าง “ในเมื่อในอนาคต เมืองนี้จะได้รับการเปลี่ยนแปลงจนสั่นสะเทือนโลกได้ คุณบรรณาธิการผมขอแนะนำว่าคุณควรจะซื้อบ้านไว้อีกสัก 2-3 หลังนะครับ เพราะในอนาคตมันจะมีราคามากกว่าตอนนี้เป็น 10 เท่า”
“ไร้สาระ บ้านจะมีค่ามากขนาดนั้นได้ยังไง?”
ในเวลานี้บ้านยังไม่ได้มีมูลค่ามากเท่าไหร่ และคนธรรมดาไม่ได้มีสายตาที่แหลมคมพอที่จะมองเรื่องนี้ออก
“บรรณาธิการฟาง คุณไม่รู้เหรอครับว่าตอนนี้ราคาบ้านในเขตพัฒนาเศรษฐกิจได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าแล้ว?”
ในตอนนี้ การไหลของข้อมูลยังคงล่าช้าอยู่ เมื่อราคาบ้านมีการเปลี่ยนแปลงก็แทบจะไม่มีใครรู้เลย เพราะคุณต้องไปที่สำนักงานเขตหรือไม่ก็ต้องไปที่ตัวแทนอสังหาริมทรัพย์เพื่ออัพเดตราคาบ้าน ณ ปัจจุบัน
“จริงเหรอ?” ฟางเจี้ยงหนานยุ่งอยู่กับการเขียนทบทวนและแก้ไขต้นฉบับทั้งวันทุกวัน ไม่แปลกที่เขาจะไม่รู้สิ่งที่เกิดขึ้นในตลาด
“ใช่ครับ ถ้าคุณมีเงินคุณก็ควรจะไปลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจด้วยก็ดีนะครับ” หลินปู้ฟานตบบนไหล่ของฟางเจี้ยงหนาน
สมองของฟางเจี้ยงหนาน “หมุนไปมา” เขาพูดออกมาหลังจากผ่านไปไม่นาน “ผมมาที่นี่วันนี้เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับสิทธิ์การเผยแพร่นิยาย ทำไมผมต้องไปหาซื้อบ้านด้วย? คุณนักเขียนหลินพวกเราสามารถเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งให้คุณได้นะครับ คุณช่วยคิดเรื่องนี้อีกทีได้ไหม?”
“ผมบอกไปแล้วว่าผมยินดีที่จะร่วมงานกับสำนักพิมพ์ของคุณ แต่ผมจะไม่ยอมขายลิขสิทธิ์”
“…” ฟางเจี้ยงหนานเลิกคิ้ว หลังจากผ่านไปไม่นานเขาก็ยืนขึ้น “เรื่องนี้… ผมต้องจะกลับไปคุยกับหัวหน้าบรรณาธิการเพื่อปรึกษากันก่อนครับ”
“โอเค ผมไม่รีบอยู่แล้ว”
ฟางเจี้ยงหนานได้เห็นมันแล้วในวันนี้
ในสมัยนี้นักเขียนทุกคนยังคงกระตือรือร้นที่จะพึ่งพาสำนักพิมพ์ เพราะพวกเขาจะเป็นต้องพึ่งพาสำนักพิมพ์เพื่อตีพิมพ์หนังสือและสร้างชื่อเสียงให้กับพวกเขา
แต่หลินปู้ฟานนั้นแตกต่างออกไป เพราะรายได้หลักของเขาไม่ได้มาจากการเขียนหนังสือ เขายังมีธุรกิจอื่นๆ อีกมากมาย
พูดแบบตรงไปตรงมาก็คือ หลินปู้ฟานไม่ได้ขาดแคลนเงิน
สำหรับคนที่ไม่ขาดแคลนเงิน ไม่มีใครจะมาควบคุมลิขสิทธิ์ของพวกเขาได้ เพราะถ้าเขาไม่พอใจ เขาก็แค่หยุดเขียนก็เท่าแค่นั้น
หลังจากกลับไปที่สำนักพิมพ์ ฟางเจี้ยงหนานก็พูดเรื่องนี้อีกครั้ง และหัวหน้าบรรณาธิการหยูไห่ก็โกรธมากหลังจากที่ได้ยิน “เด็กตัวเหม็น เขาไม่แม้แต่จะเห็นสำนักพิมพ์ของเราอยู่ในสายตา ไม่ต้องสนใจเขาอีกต่อไป “โคมไฟเป่าผี” จะไม่มีการตีพิมพ์ใดๆ ทั้งสิ้น แล้วเรามาคอยดูกันว่าเขาจะเป็นยังไง”
“แต่หัวหน้าบรรณาธิการ เท่าที่ผมได้ยินคณบดีเฉินเล่าเรื่อง “โคมไฟเป่าผี” มา ผมคิดว่ามันเป็นหนังสือที่ดีจริงๆ นะครับ มันจะขายดีแน่นอน”
“เด็กคนนั้นหยิ่งเกินไป ฉันไม่ต้องการทำงานร่วมกับเขาอีกแล้ว” หยูไห่หัวหน้าบรรณาธิการตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวพร้อมกับตบโต๊ะ
ในขณะนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้น มันเป็นสายจากร้านหนังสือที่โทรมาบอกว่าครึ่งหลังของ “ตำนานเก้ากระบี่” หมดสต็อกแล้ว และร้องขอให้มีการตีพิมพ์ขึ้นมาอีก
หยูไห่ดึงผมของเขาและคำรามออกมา หลังจากสงบลงเขาก็พูดออกมาช้าๆ “ยอมรับคำขอของเด็กคนนั้นซะ”
การไม่มอบลิขสิทธิ์ให้สำนักพิมพ์ เป็นสิ่งที่ไม่การเคยเกิดขึ้นมาก่อน
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา หลินปู้ฟานได้นึกถึงเหตุการณ์สำคัญในอีกสิบปีข้างหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเขาจำได้ว่าในเดือนธันวาคม 1998 มีข่าวที่จะสร้างความฮือฮาไปทั่วประเทศ
นั่นคือเหตุการณ์ “ค้นพบสมบัติ” อันโด่งดัง
สถานที่เกิดเหตุอยู่ในหมู่บ้านจิ่วเจี๋ย ทรัพย์สินมูลค่ากว่า 2 พันล้านถูกขุดขึ้นมาจากหมู่บ้านนั้น แต่นั่นคือมูลค่าในปี 2000 เพราะถ้าเปลี่ยนเป็นมูลค่าในปี 2020 ก็คงมีมูลค่าอย่างน้อยก็ 1 หมื่นล้าน
ยุคตื่นทองจะเกิดขึ้นในปี 1999
พันธบัตรสหรัฐจะขึ้นถึงจุดสูงสุดในปี 2000
ในปี 2001 โทรศัพท์มือถือกั๋วกั๋วจะได้รับความนิยมในประเทศจีน
ประตูทำเงินทุกบานจะเปิดออก ตอนนี้หลินปู้ฟานต้องการเงิน เงินจำนวนมาก
ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดที่จะมองหาบริษัทร่วมทุน แต่แม้ว่าบริษัทร่วมทุนจะสามารถลงทุนในตัวเขาได้ แต่มันก็เสี่ยงเกินไปเพราะบริษัทร่วมทุนอาจจะถูกยึดไปได้ มันไม่ดีสำหรับการพัฒนาในอนาคต
บริษัทที่หลินปู้ฟานชื่นชมมากที่สุดคือ US Colin Pharmaceutical Company แต่บริษัทนี้ไม่ได้ถูกจัดอันดับความร่ำรวย แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าบริษัทนี้ร่ำรวยมาก
คนที่รวยจริงๆ คือบริษัทที่ไม่ได้อยู่ในรายการจัดอันดับ
คนรวยจริงมักจะซ่อนอยู่เบื้องหลัง
หลังจากขอหยุดเรียนหนึ่งสัปดาห์ หลินปู้ฟานก็ออกเดินทางไปหมู่บ้านจิ่วเจี๋ย
เขาไม่ได้บอกเรื่องนี้กับจางอี้หนี่และลุงซู
หมู่บ้านจิ่วเจี๋ยตั้งอยู่ในเมืองฉินโจวจังหวัดเจียงเป่ย
ในราชวงศ์หมิงมีผู้ดีและเจ้าหน้าที่ระดับสูงมากมายที่อาศัยในหมู่บ้านจิ่วเจี๋ยแห่งนี้ แต่ปัจจุบันหมู่บ้านนี้กลับกลายเป็นหมู่บ้านที่ยากจน
หลินปู้ฟานซื้อตั๋วรถไฟไปฉินโจว เขายังคงพยายามนึกอยู่ว่าหมู่บ้านจิ่วเจี๋ยนั้นอยู่ที่ไหน?
“หลินปู้ฟาน?” เสียงสดใสดังขึ้น
หลินปู้ฟานลืมตาขึ้นมอง เขาพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ “ครูหนิง?”
ครูหนิงชื่อจริงว่าหนิงอี้เหยา อายุ 23 ปี เป็นครูจบใหม่ที่เคยฝึกสอนอยู่ในชั้นปีสุดท้ายของโรงเรียนมัธยมตงไห่อยู่ 3 เดือน และหนิงอี้เหยาก็เป็นครูของหลินปู้ฟานในเวลานั้น
ในตอนนั้นจางซิวเยว่แม่ของหลินปู้ฟานยังไม่ได้ล้มป่วย
เมื่อการฝึกสอนของหนิงอี้เหยาสิ้นสุดลง ตอนที่เธอกำลังจะออกจากโรงเรียน หลินปู้ฟานก็สารภาพรักกับหนิงอี้เหยาอย่างกล้าหาญ
หลินปู้ฟานชอบผู้หญิงที่โตกว่า เขาชอบผู้หญิงที่ดูเป็นผู้ใหญ่
“ครูนั่งด้วยได้ไหม?” หนิงอี้เหยามีเสน่ห์และสดใสมากกว่าเดิม
หัวใจของหลินปู้ฟานเต้นเร็ว เขาขยับก้นออกอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั่งลง หนิงอี้เหยาก็ถามออกมา “เธอกำลังจะไปไหน?”
“ฉินโจวครับ”
“ครูก็กำลังไปที่นั่นเหมือนกัน และหลังจากไปถึงฉินโจว ครูก็ต้องไปต่อที่หมู่บ้านจิ่วเจี๋ย”
หลินปู้ฟานตกใจและถามออกมา “ทำไมคุณครูถึงต้องไปที่หมู่บ้านจิ่วเจี๋ย?”
“เธอไม่รู้เหรอว่าครูสอนอยู่ที่นั่น?”
คอมเม้นต์