อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) – บทที่ 59 ทีมสำรวจ
ตอนที่ 59 ทีมสำรวจ
ยิ๋งจุนตะลึง จู่ๆ ภรรยาของเขาก็พังประตูเข้ามา
“ไอ้สารเลว! แกแอบนัดกับผู้หญิงคนอื่นไว้จริงๆ แกอยากตายมากใช่ไหม?” ภรรยาของยิ๋งจุนตัวใหญ่เท่ากับคน 5 คน เธอบีบคอของยิ๋งจุนอย่างแรง
“ยายเฒ่า… เมียจ๋า…” ยิ๋งจุนเหมือนไก่ที่กำลังจะถูกหักคอ
หนิงอี้เหยาพูดอะไรไม่ออก เธอได้แต่มองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างงุนงง
หลินปู้ฟานเดินเข้ามาในห้อง “คุณนายปล่อยเขาเถอะครับ ตอนนี้ตำรวจกำลังจะมาที่นี่”
หลินปู้ฟานก้าวไปข้างหน้าและดึงภรรยาของยิ๋งจุนออก
“ไอ้แก่นี่เป็นผัวฉัน คนอื่นอย่ามายุ่ง” ภรรยาของยิ๋งจุนตะโกน
“ผอ. ยิ๋งเป็นคนดี ผมไม่สามารถปล่อยให้คุณป้าทำแบบนี้กับเขาได้”
“ถ้าเป็นคนดี มันจะทิ้งเมียไว้ที่บ้านแล้วออกมามานัดเจอกับสุนัขจิ้งจอกตัวนี้เหรอ?” ภรรยาของยิ๋งจุนชี้ไปที่หนิงอี้เหยาและสาปแช่ง “นังหญิงเลว ชอบนักเหรอผัวของชาวบ้านเนี่ย!”
ขณะที่ภรรยายิ๋งจุนกำลังจะพุ่งเข้าไปหาหนิงอี้เหยา หลินปู้ฟานก็รีบเข้าไปจับเธอไว้
“ทำไมป้าถึงกล่าวหาว่าครูของผมเป็นจิ้งจอก?”
“พวกมันแอบมาเกลือกกลั้วกันอยู่ที่นี่ ถ้ามันไม่ใช่จิ้งจอกแล้วมันเป็นตัวอะไร!?”
“อย่าด่วนตัดสินคน ครูของผมและและผอ. ยิ๋งกำลังคุยธุระเรื่องการบริจาคกันอยู่และผมเองก็มากับครูหนิงด้วย มันไม่ได้มีเรื่องชู้สาวอย่างที่ป้ากล่าวหาเลยสักนิด!”
“บริจาคเหรอ? บริจาคอะไร?” ภรรยาของยิ๋งจุนถามอย่างสงสัย
“ผู้อำนวยการยิ๋งสัญญาว่าจะบริจาคหนังสือการสอนชุดหนึ่งให้กับพวกเรา ครูของผมกับผู้อำนวยการยิ๋งกำลังหารือเกี่ยวกับความช่วยเหลือระยะยาวในอนาคต”
ภรรยาของยิ๋งจุนมองไปที่ยิ๋งจุนอย่างสงสัย “แค่นั้นจริงๆ เหรอ?”
“โถ่เมียจ๋า~ แม้ว่าจะมีความกล้ามากกว่านี้เป็นร้อยเท่า ผัวก็ไม่กล้าทำอย่างนั้นแน่นอน เรากำลังคุยกันเรื่องการบริจาคหนังสือการสอนอยู่จริงๆ” ยิ๋งจุนตกใจมาก เขาจะยอมตามน้ำไปกับหลินปู้ฟานแค่ตอนนี้เท่านั้น
ภรรยาของเจ้าของโรงแรมวิ่งมาหลังจากที่ได้ยินเรื่องนี้ เธอรีบพูดช่วยทันที “พี่สะใภ้ ผู้อำนวยการยิ๋งพูดถึงการบริจาคหนังสือการสอนจริงๆ ค่ะฉันเป็นพยานได้ ตอนที่ฉันมาเสิร์ฟอาหารฉันได้ยินทั้งหมด”
ภรรยาของยิ๋งจุนนิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง
ในตอนนั้นเองก็มีชายสองคนในชุดหลวมๆ เดินมาที่หน้าประตูโรงแรม
“บริษัทขนส่งมาแล้วครับ ไม่ทราบว่าใครเป็นนายจ้างครับผม?”
“ทางนี้ครับ”
หลินปู้ฟานเดินไปที่ประตูและโบกมือให้ชายสองคน “ตรงนี้ๆ”
ชายสองคนเดินมาและถามว่า “พวกเรามาจากบริษัทรับขนย้าย คุณต้องการจะย้ายอะไรครับ?”
“เราจะย้ายหนังสือ ไปที่โรงพิมพ์กวงฟากันเถอะ” หลินปู้ฟานกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ภรรยาของยิ๋งจุนมองไปที่สถานการณ์นี้ เป็นการบริจาคหนังสือจริงๆ “อ่า ไอ้หมาตัวไหนกันที่กล้ามาหลอกฉัน สามีฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะทำร้ายคุณจริงๆ นะ”
ยิ๋งจุนดูสับสน เขาไม่ได้โทรหาบริษัทรับขนย้ายอะไรนี่มาเลย
หลังจากนั้นบริษัทขนย้ายก็ย้ายหนังสือทั้งหมดไปที่รถบรรทุกของพวกเขา โดยมีหลินปู้ฟานและหนิงอี้เหยานั่งอยู่ด้านหลังของรถด้วย
รถมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านจิ่วเจี๋ย
ระหว่างทาง หนิงอี้เหยารู้สึกคันหัวใจขึ้นมา เธอจึงถามด้วยความสงสัย “ใครกันที่เป็นคนเรียกบริษัทขนย้าย?”
หลินปู้ฟานยิ้ม “ผมเองครับ”
ปรากฎว่าหลังจากที่หลินปู้ฟานถูกเจ้าของร้านอาหารทิ้งให้ออกไปกินข้าวนอกห้องคนเดียว เขาก็รู้ทันทีว่ายิ๋งจุนต้องการจะทำอะไร เขาจึงโทรไปที่โรงพิมพ์กวงฟาเพื่อที่จะโกหกว่าลูกของยิ๋งจุนกำลังจะถูกทุบตี แต่ทางนั้นก็ไม่สามารถติดต่อกับยิ๋งจุนได้
เขาจึงเปลี่ยนแผนไปหาเบอร์โทรของภรรยาของยิ๋งจุนแทน
หลังจากที่ภรรยาของยิ๋งจุนรับสาย หลินปู้ฟานก็บอกเธอไปว่า “สามีของคุณนัดพบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่โรงแรม” พูดจบเขาก็วางสายทันที
ภรรยาของยิ๋งจุน โกรธอย่างมากหลังจากที่ได้ยิน
หลังจากวางสายจากภรรยาของยิ๋งจุน หลินปู้ฟานก็โทรไปที่บริษัทขนย้ายเพื่อขอให้บริษัทขนย้ายมาที่โรงแรม
หลังจากฟังหลินปู้ฟานแล้ว หนิงอี้เหยาก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนและลูบหัวหลินปู้ฟาน “เก่งมากปู้ฟาน”
หลินปู้ฟานยิ้ม “ผมไม่สามารถทนเห็นคุณครูของผมต้องทนทุกข์ทรมานได้”
“ครูจะทนทุกข์ทรมานได้อย่างไร เหล้าแค่นั้นไม่สามารถทำให้ครูเมาได้หรอก ฮ่าๆ” หนิงอี้เหยาหัวเราะ
หมู่บ้านจิ่วเจี๋ยตั้งอยู่ในหนานซานเป็นสถานที่ที่มีภูเขาล้อมรอบทุกด้าน ถนนขรุขระทำให้เดินทางค่อนข้างลำบาก
หลังจากนั่งรถมา 4 ชั่วโมง พวกเขาก็มาถึงหมู่บ้านจิ่วจี้ตอน 4 ทุ่ม
หมู่บ้านนี้ทรุดโทรมมาก บ้านสร้างจากอิฐดินและโคลน ถนนภายในหมู่บ้านเป็นหลุมเป็นบ่อ มีฝุ่นสีเหลืองเกาะรถที่สัญจรไปมาจนหนาเตอะ
หลินปู้ฟานมองไปรอบๆ บ้านที่ทรุดโทรมเหล่านั้น
ผู้ใหญ่สวมเสื้อผ้ายุค 80 และเด็กๆ ที่กำลังวิ่งล่อนจ้อน
ทุกครัวเรือนมีห้องสุขาที่สร้างขึ้นมาอย่างง่ายๆ อยู่หลังบ้าน อันที่จริงมันเป็นแค่ถังขนาดใหญ่เท่านั้น มันส่งกลิ่นเหม็นออกมาทั่วบริเวณ ทั้งยุงและแมลงวันบินตอมเต็มไปหมด
เมื่อเดินผ่านลำธาร ดวงตาของหลินปู้ฟานก็เบิกกว้าง
หญิงชราที่ต้นน้ำกำลังล้างจานและซักเสื้อผ้าในน้ำสีขุ่น แถมยังมีคนกำลังเทของเสียลงในลำธารทั้งที่มีเด็กๆ เล่นน้ำอยู่ตรงกลาง
หลินปู้ฟานนึกไม่ออกจริงๆ ว่าพวกเขาทนอยู่ในสภาพแบบนี้กันได้ยังไง
เมื่อมองไปรอบนอก หมู่บ้านนี้ถูกปกคลุมไปด้วยม่านหมอกและภูเขาล้อมรอบ
“ครูหนิง คุณกลับมาแล้ว” ชายชราคนหนึ่งแบกฟืนทักทายหนิงอี้เหยาด้วยภาษาถิ่น
“กลับมาแล้วค่ะลุงจ้าว แล้วเจ้าอ้วนลูกชายของลุงล่ะคะ ดีขึ้นหรือบ้างหรือยัง?”
“ดีขึ้นมากแล้วครับครู”
“ฝากบอกเขาด้วยนะคะว่าถ้าเขาหายเมื่อไหร่ ฉันจะสอนเขาแต่งหน้าแน่นอน”
“ขอบคุณครับครูหนิง”
หลังจากเข้าไปในหมู่บ้าน ผู้คนก็ทักทายหนิงอี้เหยาทีละคน
จะเห็นได้ว่าคนในหมู่บ้านรักและเคารพหนิงอี้เหยามาก
หลังจากมาถึงโรงเรียน หลินปู้ฟานก็ลงจากรถแล้วเข้าไปดู เขาตกตะลึง! นี่คือโรงเรียนแบบไหนกัน? มันเป็นแค่บ้านดินสามหลังเท่านั้น
มีสนามดินสีเหลืองอยู่หน้าบ้าน ตรงกลางเป็นเสาธงที่มีธงกำลังโบกสะบัดอยู่บนยอดเสา
ชายชราผมหงอกคนหนึ่งเดินออกมาจากบ้านที่อยู่ไม่ไกล “ครูหนิงกลับมาแล้วเหรอ?”
“ครูใหญ่เกา ฉันหาหนังสือมาได้แล้วค่ะ”
“ดีจริงๆ เดี๋ยวฉันจะไปขอให้คนมาช่วยย้ายหนังสือก่อน”
ครูใหญ่เกายิ้มและเดินจากไป
“ครูหนิงครับ ทำไมสภาพแวดล้อมที่นี่ถึงได้เป็นแบบนี้ล่ะครับ?”
“นักเรียนหลิน เธอควรจะรู้สึกดีนะ เพราะมันจะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับการเติบโตในอนาคตของเธอนะ” หนิงอี้เหยาแตะศีรษะของหลินปู้ฟานเบาๆ
ในไม่ช้าชายแข็งแรงที่อยู่ในหมู่บ้านก็มาถึง
หนังสือถูกขนเข้าไปในห้องเรียนเรียบร้อย
เมื่อเห็นห้องเรียน หลินปู้ฟานก็ต้องตกตะลึงอีกครั้ง โต๊ะและเก้าอี้ในห้องเรียนไม่สมบูรณ์เลยสักตัว โต๊ะบางตัวสูง บางตัวสั้น บางตัวขาหักและใช้หินค้ำเอาไว้
แค่มองแว๊บแรกเขาก็รับรู้ได้ถึงความยากลำบากของที่นี่
ในห้องมีกระดานดำที่ทำจากถ่านอัด
มีหนังสืออยู่ไม่กี่เล่มวางอยู่บนโต๊ะหน้ากระดาน
หลินปู้ฟานเดินไปดูหนังสือเรียน ในหนังสือเรียนหนึ่งเล่มมีชื่ออยู่สองถึงสามชื่อ เป็นไปได้ว่านักเรียนสองหรือสามคนแบ่งใช้หนังสือกัน
มองไปที่หน้าต่างในห้องเรียนที่เปิดโล่ง ถ้าตอนนี้เป็นฤดูหนาว เด็กที่นี่ต้องหยาวตายแน่นอน
เมื่อเทียบกับสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ของเด็กๆ ในเมือง หลินปู้ฟานก็ถอนหายใจออกมา
หลินปู้ฟานและหนิงอี้เหยารับถูกเชิญไปประทานอาหารค่ำที่บ้านของครูใหญ่เกา
ครูใหญ่เกาอาศัยอยู่คนเดียว ลูกชายและลูกสาวของเขาทั้งสองต่างไปทำงานอยู่ในเมือง ตัวเขาเคยเป็นช่างไม้มาก่อน เนื่องจากเขามีความรู้บางอย่างเขาจึงได้รับเลือกให้เป็นครูใหญ่จากคนในหมู่บ้าน
ครูใหญ่เกาทำอาหารมื้อนี้ด้วยตัวเอง มีทั้งผักป่าและปลา
ปลาตัวนี้คงจะมาจากในลำห้วยนั้น หลินปู้ฟานไม่สามารถลงตะเกียบได้จริงๆ
หนิงอี้เหยาอาศัยอยู่ในหอพักของโรงเรียนกับครูหญิงอีกคน ส่วนหลินปู้ฟานได้นอนที่บ้านของครูใหญ่เกา
ครูใหญ่เกาและหลินปู้ฟานคุยกันเยอะมาก เขาบอกว่าแต่เดิมแล้วที่นี่ไม่มีโรงเรียน และเขาไม่สามารถทนเห็นเด็กขาดความรู้ได้ เขาจึงอาสาสร้างโรงเรียนขึ้นมา แต่หมู่บ้านนี้มีเงินไม่มากนัก เขาจึงได้เงินสนับสนุนมาเพียงแค่ 1 หมื่นหยวน เงินแค่ 1 หมื่นหยวนสามารถสร้างได้แค่บ้านดินสามหลังเท่านั้น มันไม่เพียงพอสำหรับอย่างอื่นเลย
“ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป โรงเรียนของเราจะดีขึ้น” ครูใหญ่เกาพูดด้วยรอยยิ้ม
“ทำไมถึงจะดีขึ้นหลังจากวันพรุ่งนี้?” หลินปู้ฟานถามอย่างสงสัย
“พรุ่งนี้จะมีทีมสำรวจมาที่นี่ พวกนั้นจะมาสร้างโรงงานที่นี่ เมื่อถึงตอนนั้นคนหนุ่มสาวของหมู่บ้านเราก็จะสามารถเข้าไปทำงานในโรงงานนั้นได้ และนอกจากนี้ทีมสำรวจก็สัญญาว่าจะสร้างโรงเรียนใหม่ให้เราอีกด้วย”
“ทีมสำรวจ?” หลินปู้ฟานหลงอยู่ในความคิด
ในชีวิตก่อนของเขา เขาได้เห็นสมบัติที่ขุดพบที่จิ่วเจี๋ย และยังมีรายงานเกี่ยวกับหมู่บ้านจิ่วเจี๋ยอีกว่า ที่นี่เคยมีเหตุการณ์ “มลพิษในน้ำ” เกิดขึ้นในปี 1999 ทำให้หลายคนในหมู่บ้านล้มป่วย และหลังจากการตรวจสอบก็พบว่าโรงงานเคมีแห่งหนึ่งในหมู่บ้านได้ทิ้งของเสียปนเปื้อนลงในแหล่งน้ำ
และโรงงานเคมีแห่งนี้ก็เป็นองค์กรที่ได้รับทุนสนับสนุนจากต่างประเทศอีกด้วย เพราะชาวต่างชาติเหล่านั้นไม่สามารถสร้างโรงงานเคมีที่ก่อมลพิษในประเทศของตนได้ พวกเขาจึงได้ย้ายโรงงานเคมีมายังหมู่บ้านเล็กๆ บนภูเขาอย่างนี้
ต้องใช้เวลาถึง 3 ปีในการกู้คืนสภาพแวดล้อมให้กลับมาเหมือนเดิม โรงงานเคมีแห่งนั้นถูกสั่งปิดโดยกรมการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม
ทีมสำรวจจากต่างประเทศพวกนั้น.. มาที่นี่ก็เพื่อจะมาสร้างโรงงานเคมี?
คอมเม้นต์