อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) – บทที่ 62 โอกาสในการสร้างรายได้
ชาวต่างชาติจมูกโด่งมองไปที่หลินปู้ฟานอย่างว่างเปล่า
หนิงอี้เหยาและคนอื่นๆ ก็มองไปที่หลินปู้ฟานด้วยเช่นกัน
“เสี่ยวหลิน เมื่อกี้เธอพูดภาษาของพวกเขาเหรอ?” แม้ว่าหนิงอี้เหยาจะไม่เข้าใจภาษาฝรั่งเศส แต่เธอก็สามารถออกเสียงภาษาฝรั่งเศสได้
หลินปู้ฟานพยักหน้าเล็กน้อย ดวงตาของเขามองไปที่ชาวต่างชาติจมูกโด่งอย่างรวดเร็ว และอีกครั้งเขาพูดเป็นภาษาฝรั่งเศสออกมา “ผมแนะนำให้คุณออกไปจากที่นี่ซ้ะ ถ้าคุณกล้าสร้างโรงงานเคมีที่ทำร้ายต่อสิ่งแวดล้อมที่นี่ฉันจะทำทันที ผมจะรายงานเรื่องของพวกคุณทันที”
ชาวต่างชาติจมูกโด่งดูน่าเกลียด
หัวหน้าทีมในมณฑลมองไปที่หลินปู้ฟานสลับกับชาวต่างชาติจมูกโด่ง เขาดูสับสน สมาชิกคนอื่นๆ อีกหลายสิบคนก็สับสนเช่นกัน พวกเขาไม่รู้ว่าหลินปู้ฟานและชาวต่างชาติจมูกโด่งกำลังคุยอะไรกันอยู่
“ถ้าอย่างนั้นเรามาพูดถึงการสร้างอาคารการเรียนการสอนสำหรับหมู่บ้านกันเถอะครับ” อาจารย์ใหญ่จ้าวกล่าวอย่างดีใจ
ชาวต่างชาติจมูกโด่งจับจ้องไปที่หลินปู้ฟาน ไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของอาจารย์ใหญ่จ้าวเลยแม้แต่น้อย
หากคุณดำเนินการสร้างโรงงานเคมีที่นี่และถ้าหากถูกรายงานเรื่องสิ่งปฏิกูลและมลพิษที่ผิดกฎหมายออกไป ในเวลานั้นพวกเขาจะถูกปรับเป็นจำนวนมากและจะถูกปิดตัวลงแน่นอน
และต้องใช้เงินจำนวนมากในการสร้างระบบบำบัดน้ำเสีย แถมยังต้องจ่ายค่าบำรุงเป็นเงินจำนวนมากทุกเดือนอีกด้วย
ชาวต่างชาติจมูกโด่งยืนขึ้น และชาวต่างชาติคนนั้นก็พูดกับเพื่อนชาวต่างชาติคนอื่นๆ เป็นภาษาฝรั่งเศสว่า “เด็กเข้าใจภาษาของเรา เราประมาทเกินไป”
หลังจากพูดคุยกัน ต่างชาติจมูกโด่งและเพื่อนชาวต่างชาติของเขาก็ก้มศีรษะลง และเดินออกจากห้องทำงานไป
สมาชิกของทีมสำรวจรีบตามออกไปพร้อมกับพวกเขา
อาจารย์ใหญ่เกา หนิงอี้เหยาและจูเก๋อซินไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“แล้วอาคารเรียนล่ะ? พวกเขาไม่สนใจแล้ว?”
“พวกเขาไม่ต้องการที่จะจ่ายเหรอ?”
“… ” หนิงอี้เหยามองไปที่หลินปู้ฟานอย่างสงสัย “เมื่อกี้เธอพูดภาษาฝรั่งเศสใช่ไหม?”
“อืม” หลินปู้ฟานพยักหน้า
“ชาวต่างชาติสองคนหันกลับไปทันทีเลย เธอพูดอะไรกับพวกเขา?” หนิงอี้เหยาถาม
หลินปู้ฟานจิบน้ำ หลังจากคิดทบทวนก็พูดออกมาว่า “ชาวต่างชาติสองคนนี้ไม่ใช่คนดี สิ่งที่พวกเขาต้องการสร้างคือโรงงานเคมีอุตสาหกรรมทางทหาร และพวกเขาก็ไม่คิดที่จะสร้างระบบบำบัดน้ำเสียด้วย เหตุผลที่พวกเขาเลือกหมู่บ้านจิ่วเจี๋ยเป็นเพราะสถานที่ห่างไกลและชาวบ้านที่นี่ไม่ค่อยมีความรู้ ตอนที่ฝรั่งสองคนนั้นใช้ภาษาฝรั่งเศสคุยกันผมก็ได้ยินว่าพวกเขาคิดจะทำอะไร จากนั้นผมก็เตือนพวกเขาไปว่าถ้าพวกเขากล้าปล่อยสิ่งปฏิกูลทางเคมีอย่างลับๆ และทำให้สภาพแวดล้อมที่นี่ถูดทำลายผมจะรายงานเรื่องนี้ หลังจากที่พวกเขาได้ยินแบบนั้น พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะสร้างโรงงานที่นี่อีกต่อไป”
อาจารย์ใหญ่เกา หนิงอี้เหยาและจูเก๋อซิน อ้าปากด้วยความประหลาดใจหลังจากได้ฟัง
“เป็นอย่างนั้นเหรอ?”
“ฉันเองก้สงสัยมาตลอดว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้บริษัทต่างชาติอยากมาจะลงทุนในสถานที่เล็กๆ อย่างที่นี่ มันกลายเป็นว่าพวกเขาแค่ต้องการทำลายมัน” อาจารย์ใหญ่เกาพูดอย่างโกรธเคือง “เขาให้ความช่วยเหลือแก่เราแค่เพียงเล็กน้อย แล้วจากนั้นก็ทำให้หมู่บ้านเล็กๆ ที่สวยงามของเราปนเปื้อนมลพิษอย่างไร้ยางอาย มันน่าขยะแขยงจริงๆ”
“เสี่ยวหลิน ครูต้องมองเธอใหม่อีกครั้งแล้ว” หนิงเยี่ยเหยามองไปที่หลินปู้ฟานอย่างลึกซึ้ง เธอรู้สึกว่าหลินปู้ฟานตอนนี้เป็นเหมือนกับภูเขาใหญ่ที่สามารถมองเห็นได้แค่ภายนอกด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมด
หลังจากอาศัยอยู่ในหมู่บ้านจิ่วเจี๋ยได้สามวัน หลินปู้ฟานก็เดินไปทั่วทั้งหมู่บ้านจิ่วเจี๋ย หลังจากผ่านทั้งหมู่บ้าน เขาก็จำได้ว่าหนังสือพิมพ์บอกว่าพบที่ตั้งของสมบัติที่ด้านหลังของวัดไช่เฉิน
วัดไช่เฉินอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของหมู่บ้านจิ่วเจี๋ย เดิมที่เขาคิดว่ามันจะเป็นวัดที่เต็มไปด้วยเครื่องหอม แต่เมื่อเขามาถึงประตูทางเข้าวัด เขาก็พบว่ามันได้พ่ายแพ้ให้กับกาลเวลาไปแล้ว ประตูเปิดออก มีฝุ่นอยู่ข้างในทั่วทุกที่ ไม้แกะสลักรูปเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งถูกปกคลุมไปด้วยใยแมงมุม เสาถล่มลงมาและก้อนหินขนาดเล็กกระจัดกระจายอยู่ที่พื้นเต็มไปหมด
มีรูบนเพดาน
วิหารหลังเล็กเต็มไปด้วยสายลมหวีดหวิว หลินปู้ฟานสั่นสะท้าน “ช่างเป็นสถานที่ที่น่ากลัวจริงๆ อ๊า”
“เสี่ยวหลิน!” จู่ๆจูเก๋อซินก็ตะโกนมาจากด้านหลัง หลินปู้ฟานกระโดดขึ้นด้วยความตกใจ
“ให้ตายเถอะ คุณทำให้ผมกลัวแทบตาย” หลินปู้ฟานกดอกของเขา และพูดอย่างโกรธๆ
“ฮ่าฮ่าฮ่า … เธอมาทำอะไรที่นี่?” จูเก๋อซินถามด้วยรอยยิ้ม
“ผมแค่กำลังเดินไปรอบๆ แล้วคุณล่ะ? ทำไมจู่ๆ คุณถึงมาอยู่ข้างหลังผมได้?”
“ฉันกำลังมองหานักเรียนที่ต้องจะกลับไปเรียนต่อ” จูเก๋อซินพูด
ยังมีเด็กวัยเรียนจำนวนมากในหมู่บ้านจิ่วเจี๋ยที่ไม่ได้ไปโรงเรียน มีสองแบบ หนึ่งคือพ่อแม่มีความคิดล้าหลังที่ปฏิบัติกับผู้หญิงอย่างไม่เท่าเทียม ยุคนี้ในชนบทที่อยู่ห่างไกลสุดท้ายเด็กผู้หญิงก็จะต้องแต่งงานออกไปอยู่บ้านสกุลอื่นอยู่ดี ชาวบ้านพวกนี้จึงมีความเชื่อว่าการใช้เงินจำนวนมากเพื่อปลูกฝังการศึกษาให้กับเด็กสาวเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น
มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งชื่อไห่เหมยอายุ 17 ปี เธอต้องลำบากอย่างมากในการเดินทางเรียนจนในที่สุดเธอก็จบการศึกษาภาคบังคับ 9 ปี / แต่สุดท้ายพ่อแม่ของเธอก็ไม่อนุญาตให้เธอได้เรียนต่อ
ไห่เหมยผู้น่าสงสารเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมธรรมดาในมณฑล
ในปี 1998 การที่เด็กชาวเขาสามารถเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมธรรมดาได้ก็ถือว่าดีมากแล้ว
บ้านของไห่เหมยอยู่ด้านหลังของวัดไช่เฉิน
“มาเถอะ ไปกับฉัน” จูเก๋อซินไม่สนใจว่าหลินปู้ฟานจะเต็มใจหรือไม่
ข้างหลังวัดไช่เฉินไม่ไกลมีบ้านหลังเล็กอยู่หลังหนึ่งเป็นบ้านเตี้ยๆ ที่สร้างด้วยดิน หน้าประตูถูกล้อมรอบด้วยรั้วไม้ไผ่ มีไก่และเป็ดอยู่ข้างใน
จูเก๋อซินเกือบจะล้มเพราะถนนที่ขรุขระ
“ระวังตัวด้วย” หลินปู้ฟานรีบพยุงจูเก๋อซิน
“ขอบคุณ” จูเก๋อซินยิ้มและจับแขนของหลินปู้ฟาน “เธอแข็งแรงต่างจากที่เห้นภายนอกมากเลยนะ”
“… ” หลินปู้ฟานไม่ได้พูดอะไร
“เสี่ยวหลิน เธอพูดภาษาฝรั่งเศสได้อย่างไร? ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะฟังและพูดได้คล่องขนาดนั้น”
“มีญาติคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในฝรั่งเศส เขาสอนผมทุกปีที่เขากลับมาเยี่ยมบ้าน แล้วผมก็พูดได้เองโดยไม่รู้ตัว” หลินปู้ฟานโกหก
“โอ้เป็นอย่างนั้น?”
ไม่นานทั้งสองก็มาถึงบ้านของไห่เหมย
นี่คือบ้านที่มีบ้านดินสามหลังติดกัน และมีลูกแกะสองตัวอยู่ที่ประตู
ชายร่างท้วมผมยุ่งกำลังทำความสะอาดอวนหาปลาอยู่
“ลุงไห่” จูเก๋อซินเรียก
พ่อของไห่เหมยคือไห่ซื่อ เขามีลูกชายอีกสองคนและลูกสาวอีกสองคน ลูกสาวคนโตแต่งงานไปแล้วตั้งแต่เธออายุ 18 ปี
ลูกชายทั้งสองถูกส่งไปทำงานในไซต์ก่อสร้างในเมือง
สำหรับคนอย่างไห่ซื่อ การทำงานเพื่อเงินเป็นวิธีเดียวที่ทำได้จริง
หลังจากที่ไห่ซื่อเงยหน้าขึ้นมองมาที่จูเก๋อซิน เขาก็ก้มหน้าลงเพื่อทำงานต่อโดยไม่สนใจ
เพราะไห่ซื่อรู้จุดประสงค์ที่จูเก๋อซินมาที่นี่
“ลุงไห่ ไห่เหมยอยู่ไหนเหรอคะ?”
“ครู ถ้าคุณมาเพื่อชักชวนให้ไห่เหมยไปโรงเรียนคุณก็กลับไปเถอะ เด็กผู้หญิงคนนี้เรียนมา 9 ปีแล้วมันเพียงพอสำหรับเธอแล้ว หลังจากนั้นอีก 2-3 ปี ฉันก็จะให้เธอแต่งงาน ดังนั้นมันจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้เธอไปเรียนมัธยมปลายในมณฑลเลย นอกจากนี้ผมก็เคยบอกครูไปมากกว่าหนึ่งครั้งแล้วนะว่าครอบครัวของเราไม่มีเงินสำรองเพียงพอที่จะส่งเธอไปโรงเรียนได้” ไห่ซื่อคิดว่าเด็กผู้หญิงต้องเรียนหนังสือมากมายขนาดนั้น
“ลุงไห่ การเรียนสำคัญมากนะคะ ตราบใดที่คุณจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย คุณก็จะสามารถหางานที่ดีได้”
ไห่ซื่อจ้องมองไปที่จูเก๋อซินและพูดว่า “คุณจบการศึกษาจากวิทยาลัย คุณยังมาอยู่ในหมู่บ้านบนภูเขาอย่างนี้เลย เห็นไหมว่าเด็กผู้หญิงไม่จำเป็นต้องเรียนหนังสือมากมายขนาดนั้น”
จูเก๋อซินไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ ไห่ซื่อตั้งใจแน่นอนแล้วว่าจะไม่ปล่อยให้ไห่เหมยได้เรียนต่อ
หลังจากคุยกันไม่นานไห่เหมยก็กลับมาพร้อมตะกร้าดอกจูเฉา
“ครูจูเก๋อซิน?”
“ไห่เหมย เธอกลับมาแล้ว” เมื่อเห็นไห่เหมยที่ปกคลุมไปด้วยเศษหญ้า จูเก๋อซินก็รู้สึกไม่สบายใจ เธอกัดฟันและพูดออกไป “ลุงไห่ ฉันจะจ่ายค่าเล่าเรียนของไห่เหม่ยเองทั้งหมด ช่วยอนุญาตให้เธอได้เรียนต่อด้วย”
“ไม่ ครอบครัวของเราไม่ต้องการเป็นหนี้บุญคุณใคร” ไห่ซื่อปฏิเสธ
“ลุงไห่ ลุงไม่สามารถทำลายอนาคตของไห่เหมยได้นะคะ” จูเก๋อซินตะโกน
“อนาคตของหญิงสาวเป็นอย่างไร? สุดท้ายพวกเธอก็ต้องแต่งงานและย้ายอกจากบ้าน” ไห่ซื่อพูดอย่างไม่พอใจ
“ครูจูเก๋อซิน ลืมมันไปเถอะค่ะ หนูไม่อยากเรียนแล้ว” ไห่เหมยหลุบตาลงอย่างน่าสงสาร
หลินปู้ฟานทนทำเป็นไม่สนใจต่อไปไม่ได้แล้ว “ลุงไห่ ตราบใดที่คุณปล่อยให้ไห่เหมยได้เรียนต่อ ผมจะสอนวิธีรวยให้คุณ ผมรับประกันได้เลยว่าคุณจะมีรายได้หลายแสนทุกปี”
ทุกคนต่างตกใจกับคำพูดนี้
คอมเม้นต์