อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) – บทที่ 64 คุณค่าของกั้ง
ด้วยปากที่มันแพร่บ หลินปู้ฟานเงยหน้าขึ้นมองไปที่อาจารย์ใหญ่เกาหนิงอี้เหยาและจูเก๋อซิน “ทุกคุณอยู่ที่นี่? ดีเลย ทุกคนมาลองชิมกั้งผัดเผ็ดที่ผมทำดู”
ทั้งสามมองหน้ากันแล้วมองไปที่กั้งผัดเผ็ดบนจานใหญ่ด้วยสีหน้าซับซ้อน
นี่เหมือนกับเรื่องการกินปูครั้งแรกนิดหน่อย
ปูไม่ได้ถูกจับมากินตั้งแต่โบราณ แต่เป็นเพราะคนที่กำลังจะตายด้วยความอดอยาก เขาไม่มีอะไรกินจริงๆ เขาจึงลองจับปู้ขึ้นมาทำกินและปรากฏว่ามัน อร่อยมาก
“แล้ว … ไอ้นี่จะอร่อยเหมือนปูไหม?” จูเก๋อซินปิดปากด้วยความสงสัย
“มันหอมมาก” หนิงอี้เหยาเดินไปนั่งลงแล้วมองไปที่หลินปู้ฟานที่กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย
หลินปู้ฟานรู้ว่าไม่ว่าอธิบายอะไรไปตอนนี้มันก็ไร้ประโยชน์ แค่ลองกินมันด้วยตัวเองก็จะรู้เอง
เจ้ากั้งนี่ราคาอย่างน้อยก็ 100 หยวนต่อจานในชาติที่แล้ว
และตอนนี้ที่นี่มันอยู่ตรงหน้าแล้ว
แค่ดูสีหน้าตอนที่หลินปู้ฟานกินก็รู้แล้วว่ามันอร่อยแค่ไหน
หลินปู้ฟานกินกั้งจานใหญ่อย่างรวดเร็ว
“อร่อยไหม?” หนิงอี้เหยาถามอย่างระมัดระวัง
“อร่อยสุดๆ ไปเลยครับครู” หลินปู้ฟานลุกขึ้นไปเปิดหม้อและกลิ่นหอมที่รุนแรงก็โชยมาอีกครั้งทันทีทำให้น้ำลายของหนิงอี้เหยาจูเก๋อซินและอาจารย์ใหญ่เกาไหลออกมา แต่เดิมแล้วพวกเขาทั้งสามก็ยังกินข้าวกันไม่อิ่มเหมือนกัน ทำให้เมื่อได้กลิ่นนี้ ยิ่งทำให้ความหิวพวกเขาเพิ่มมากขึ้น
ในหม้อใบใหญ่มีกั้งเยอะมาก หลินปู้ฟานตักออกมาใส่จานใหญ่อีกครั้งแล้ววางลงบนโต๊ะอาหาร “ครูมองผมทำไมครับ? ต้องการจะรู้ว่าอร่อยไหมเหรอครับ? อยากรู้ว่ารสชาติมันจะดีจริงไหมใช่ไหมครับ? ไม่ว่าจะสงสัยอะไรครูลองกินเองเลยครับ”
ทั้งสามคนมองหน้ากัน จูเก๋อซินนั่งลงอย่างกล้าหาญ “ตกลง ตายเป็นตาย”
ดูเหมือนเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่
“งับ” รสความเผ็ดของบุปผาชวนน้ำลายสอ เนื้อหางกุ้งนุ่มฟูและหยุ่นอยู่ในปาก
“ว้าว… ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีรสชาติแบบนี้อยู่ในโลกใบนี้ด้วย?” จูเก๋อซินอุทานด้วยปากที่มันเงาจากซอสน้ำมันหม่าล่าที่เผ็ดแสบ เธอพับแขนเสื้อขึ้นและง้างตะเกียบขึ้นอีกครั้ง
เมื่อเห็นอย่างนี้หนิงอี้เหยาก็พับแขนเสื้อขึ้นและกินด้วยเช่นกัน
“มันอร่อยจริงๆ เจ้านี่มันอร่อยขนาดนี้ได้ยังไง?” หนิงอี้เหยาประหลาดใจ แม้แต่ในความฝันเธอก็ไม่เคยคิดเลยว่ากุ้งและแมลงที่ถูกมองว่าเป็นของสกปรกมันจะอร่อยได้ขนาดนี้
ในที่สุดอาจารย์ใหญ่เกาก็ลงมาร่วมวงด้วย
กุ้งเผ็ดหม้อใหญ่ถูกกวาดไปจนเรียบ เปลือกกุ้งมากมายกองอยู่บนโต๊ะ
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว หลินปู้ฟานก็ยิ้มและถามออกมา “อร่อยไหมครับ?”
“สุดๆ มันอร่อยสุดๆ ไปเลย ทำเพิ่มได้ไหม?” จูเก๋อซินพูดด้วยความชื่นชมและแถทอย่างขอร้อง
“ผมคิดว่าจะส่งเสริมให้คนในหมู่บ้านเลี้ยงพวกมัน กุ้งพวกนี้เลี้ยงง่ายมาก ตราบใดที่มันแพร่พันธุ์ได้จำนวนมากทุกๆ คนก็สามารถส่งพวกมันเข้าไปขายในเมืองได้และถ้าในเมืองได้รับการตอบรับที่ดี เราก็จะสามารถทำพวกมันในเชิงอุตสาหกรรมเพื่อส่งออกและอีกมากมายได้ เมื่อถึงตอนนั้นเราก็จะสามารถทำสัญญาการขายกับทั้งตลาดและโรงแรมมากมายเพื่อรับส่วนแบ่งส่วนใหญ่ของตลาดมาและนั่นจะทำให้หมู่บ้านจิ่วเจี๋ยก็จะไม่ใช่หมู่บ้านที่ยากจนอีกต่อไป” หลินปู้ฟานบอกออกไปแค่แนวทางในอนาคตเท่านั้น
“ฉันไม่คิดเลยว่าพวกเราจะมองข้ามพวกมันมาโดยตลอด” อาจารย์ใหญ่เกากล่าวด้วยอารมณ์ “ไม่น่าแปลกใจเลยที่คนสมัยก่อนมักจะพูดว่า: ต่อให้ม้าตัวนั้นจะวิ่งได้เป็นพันลี้ แต่ถ้าไม่มีใครลองขี่มันก็จะไม่มีใครรู้ หลานหลินขอบคุณ ปู่จะไปคุยกับหัวหน้าหมู่บ้านเรื่องนี้”
“คุณปู่เกาเดี๋ยวก่อนครับ ผมมีแผน… “
ตอนนี้กุ้งถูกกินไปหมดแล้ว มันจึงเป็นเรื่องยากที่ชาวบ้านจะเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อกั้งพวกนี้ ถ้าพวกเขาไม่ได้พิสูจน์ด้วยตัวเอง
วันรุ่งขึ้น หลินปู้ฟานอาจารย์ใหญ่เกาหนิงอี้เหยาและจูเก๋อซินก็เตรียมคันเบ็ดและถังเหยื่อแล้วมุ่งหน้าไปที่ลำธารกันแต่เช้า
พวกเขาใช้เวลาหมดไปทั้งเช้า เพื่อจับกั้งหลายถัง
ทั้งหมดช่วยกันทำกั้งในตอนเที่ยง รอบนี้หลินปู้ฟานทำกั้งทอดเกลือกั้งทอดพริกไทยกั้งหวานและกั้งย่างถ่านมาเพิ่มด้วย
หลังจากที่หนิงอี้เหยาและจูเก๋อซินได้ลองชิมแล้ว พวกเธอก็ยกนิ้วให้ “อร่อยมาก เชฟหลิน”
อาจารย์ใหญ่เกาไปที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน หลังจากเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังหัวหน้าหมู่บ้านก็ถามออกมาอย่างสงสัย “กุ้งพวกนั้นมันกินได้จริงๆ เหรอ?”
“เล่านิ๋ว เชื่อฉันเถอะ ฉันจะโกหกคุณไปเพื่ออะไร? นี่คือโอกาสทางธุรกิจที่จะทำให้หมู่บ้านของเราร่ำรวยได้”
ภายใต้การชักชวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าของอาจารย์ใหญ่เกา สุดท้ายหัวหน้าหมู่บ้านก็เห็นด้วย เขาและอาจารย์ใหญ่เกาไปที่สถานีกระจายเสียงของหมู่บ้านและตะโกนด้วยลำโพงเสียงดัง “ทุกคนตอนนี้ที่หมู่บ้านของเรามีเหตุฉุกเฉิน กรุณาทิ้งงานทั้งหมดที่ทำอยู่แล้วไปที่บ้านของอาจารย์ใหญ่เกาทันที ทุกคนตอนนี้ที่หมู่บ้านของเรามีเห… “
ในสมัยนี้ผู้คนส่วนใหญ่ยังไม่ละเลยและยังตื่นตัวกับหอกระจายเสียงภายในหมู่บ้านอยู่มาก
ในไม่ช้าก็มีคนมากมายมาที่ลานบ้านของอาจารย์ใหญ่เกา
เมื่อเวลาผ่านไป จำนวนผู้คนก็มากขึ้นเรื่อยๆ
ครึ่งชั่วโมงต่อมา คนทั้งหมู่บ้านก็มารวมตัวกันอยู่ที่บ้านของอาจารย์ใหญ่เกา ร่วมทั้งครอบครัวของไห่ซื่อด้วย
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ฉันก็ไม่รู้?”
“้เกี่ยวกับโรงเรียนหรือเปล่า?”
“น่าจะเป็นอย่างนั้น”
ชาวบ้านมากมายพูดคุยกัน เพราะหมู่บ้านไม่ได้ประกาศรวมตัวแบบนี้มานานมากแล้ว ทำให้พวกเขาคิดว่าต้องมีสิ่งสำคัญเกิดขึ้นแน่นอน
ไม่นานหัวหน้าหมู่บ้านและอาจารย์ใหญ่เกาก็เดินออกมาจากบ้าน
อาจารย์ใหญ่เกาขอให้หัวหน้าหมู่บ้านลองชิมกุ้งก่อนหน้านี้ และปฏิกิริยาของหัวหน้าหมู่บ้านก็เหมือนกับหนิงอี้เหยาและคนอื่น ๆ
มันเป็นเหมือนฤดูร้อนที่แสบซ่านในรอบ 90 ปีของเขาเลย
หลังจากที่เห็นหัวหน้าหมู่บ้านออกมา ชาวบ้านก็ถามอย่างใจจดใจจ่อ “หัวหน้าหมู่บ้าน ทำไมคุณถึงให้รวมพวกมารวมตัวกัน?”
“ทุกคนเงียบ! ที่ฉันเรียกทุกคนมาที่นี่ก็ไม่มีอะไรมาก ฉันแค่อยากจะชวนทุกคนมากินอะไรบางอย่างก็เท่านั้น” หัวหน้าหมู่บ้านขยิบตาให้หลินปู้ฟานและหนิงอี้เหยา
หลินปู้ฟานและหนิงอี้เหยาเริ่มจัดโต๊ะ มาจากนั้นก็วางชามกั้งลงบนโต๊ะ
ทันใดนั้นทั้งลานก็อบอวนไปด้วยกลิ่นหอม
“มันหอมดีจัง”
“มันคืออะไร?”
“ไอ้นั่นมันกุ้งเหม็นไม่ใช่เหรอ?”
“ใครมันบ้ากล้าเอากุ้งเหม็นมาทำอาหารกัน?”
“หัวหน้าหมู่บ้านต้องการจะให้เรากินกุ้งเหม็นพวกนี้?”
ชาวบ้านประหลาดใจเพราะพวกเขาไม่เคยกินกุ้งเหม็นพวกนี้มาก่อน
“ทุกคนได้โปรดลองชิมดู” หัวหน้าหมู่บ้านชี้ไปที่กั้งและพูดว่า “หมู่บ้านของเราล้าหลังมามากเกินไปแล้ว ทั้งถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อทั้งผืนดินที่แห้งแล้งที่ทำให้พวกเราไม่สามารถเพราะปลูกอะไรได้เลย เราทุกคนคิดว่าหมู่บ้านของเราไม่มีอะไรดี แต่ฉันเพิ่งค้นพบวันนี้ว่าหมู่บ้านของเราก็มีของดีมากๆ อยู่เหมือนกัน ตอนแรกฉันก็เหมือนพวกคุณที่น่ารังเกียจพวกมันมากแต่หลังจากที่ฉันได้ลองกินพวกมันแล้วฉันก็พบว่าพวกมันอร่อยมากจริงๆ วันนี้ฉันแค่ต้องการให้ทุกคนชิมมันสักนิดเท่านั้นและถ้าทุกคนคิดว่าพวกมันอร่อย หมู่บ้านจิ่วเจี๋ยของเราก็จะเริ่มเลี้ยงกุ้งพวกนี้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปและเราก็จะร่ำรวยด้วยกุ้งพวกนี้”
“หัวหน้าหมู่บ้านไอ้พวกนี้มันกินได้จริงๆ เหรอ?”
“ใช่ และมันก็จะทำให้ห้องของพวกคุณทุกคนปั่นป่วนเพราะต้องการพวกมันมากขึ้น”
อาจารย์ใหญ่เกาตบท้องของเขาแล้วพูดว่า “เมื่อวานนี้พวกฉันกินพวกมันไปไม่น้อยเลยและพวกเราก็ยังสบายดีทุกอย่าง สิ่งนี้มันก็เหมือนกับการเขียนภาษาพื้นถิ่นที่ในตอนแรกมันถูกต่อต้านจากผู้รู้หนังสือและนักวิจารณ์มากมายแต่หลังจากฝึกฝนมัน ทุกๆ คนก็เริ่มตระหนักถึงประโยชน์ของการเขียนในภาษาพื้นถิ่นได้ ดังนั้นวันนี้เราจำเป็นต้องละทิ้งความเชื่อในอดีตไปให้หมด ทำตัวให้กล้าเข้าไว้แล้วลองกินพวกมันสักคำ”
กั้งห้ารสชาติที่แตกต่างกันมีกลิ่นหอมที่มีเสน่ห์แตกต่างกันไป พวกมันกำลังยั่วยวนความอยากอาหารของผู้คน
“ฉันลองเอง!” ชายหนุ่มในวัย 20 ปีลุกขึ้นยืน
เขาเดินเข้าไปที่โต๊ะอาหาร หนิงอี้เหยาแกะกั้งและป้อนมันเข้าปากชายหนุ่ม
หลังจากกัดไปหนึ่งคำ ชายหนุ่มก็ตื่นเต้น “มัน… อร่อยสุดๆ เลย”
เมื่อเห็นความสุขและความพึงพอใจบนใบหน้าของชายหนุ่ม ชาวบ้านก็เริ่มร้อนรน
คอมเม้นต์