อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) – บทที่ 66 เก็บสมบัติ
หลังจากขุดดินลงไป 3 ฟุต ในที่สุดเขาก็ขุดกล่องขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยสนิมขึ้นมาได้ หลินปู้ฟานลากกล่องใหญ่ออกมาอย่างตื่นเต้น เขาคาดไม่ถึงเลยว่านอกจากกล่องใหญ่ใบนี้แล้วยังจะมีกล่องใหญ่ถึง 2 กล่องอยู่ข้างใต้
หลินปู้ฟานรู้สึกตื่นเต้น มือที่สั่นเทาของเขาพยายามเปิดเข็มกลัดเหล็กของกล่องใหญ่ออกแต่ก็ไม่สามารถเปิดได้ เขาจึงงัดมันออกด้วยพลั่ว
“ให้ตายเถอะ … ฉันรวยแล้ว”
ภายในกล่องเต็มไปด้วยหยกและยังมีไข่มุกตาแมวกำไลลูกปัดหยกอยู่ด้วย หลินปู้ฟานหยิบสร้อยข้อมือหยกขึ้นมาดู นี่คือสร้อยข้อมือหยกชั้นยอด เขาจำได้ว่าในปี 2019 คาลเท็กซ์ประมูลสร้อยข้อมือหยกนี้ไปด้วยด้วยราคา 20 ล้านหยวน
ทั้งกล่องเต็มไปด้วยสมบัติหยกจนสมองของหลินปู้ฟาน “อื้ออึง” เขาไม่สามารถประเมินได้เลยว่าหยกกล่องใหญ่นี้มีมูลค่าเท่าใด
หลังจากสงบสติอารมณ์หลินปู้ฟานก็เปิดกล่องที่สอง ข้างในกล่องเป็นงานประดิษฐ์ตัวอักษรและภาพวาดโบราณ
หลินปู้ฟานเปิดหนึ่งในภาพวาด ภาพนั้นเป็นภาพของภูเขาและแม่น้ำ ลายเซ็นและตราประทับระบุว่าเป็นผลงานของ ฉางกัง
ใจของหลินปู้ฟานพลุ่งพล่าน ฉางกัง.. ฉางกังคนนั้น?
หลินปู้ฟานจำได้เล็กน้อยเหมือนว่า ฉางกังจะเป็นคนเดียวกับกู้ไค่จื่อไม่ใช่เหรอ?
กู้ไค่จื่อเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงที่สุดในราชวงศ์จินตะวันออก และเขาก็เป็นหนึ่งใน “สองสิ่งมหัศจรรย์ของราชวงศ์จินตะวันออก” ด้วย
คำพูดของหวังซีจื่อและภาพวาดของกู้ไค่จื่อถือเป็นสิ่งล้ำค่า
หลินปู้ฟานสั่นสะท้าน เขาไม่สามารถถือภาพวาดอย่างมั่นคงได้
เขาเปิดภาพวาดอีกม้วนมันเป็นวัวสองตัวกำลังเล็มหญ้าและลายเซ็นเป็นสีขาว
หลินปู้ฟานไม่เข้าใจการประดิษฐ์ตัวอักษรและภาพวาดโบราณแต่เขารู้ว่าภาพวาดโบราณเหล่านี้มีค่ามากแน่นอน
ภาพวาดและการประดิษฐ์ตัวอักษรกล่องใหญ่ หลังจากนับแล้วพวกมันมีทั้งหมด 50 ชุด
หากแต่ละม้วนมีมูลค่า 100 ล้าน นั่นก็เท่ากับ 5 พันล้าน
หลินปู้ฟานแทบรอไม่ไหวที่จะเปิดกล่องที่สาม ข้างในมีเครื่องลายครามมากกว่าหนึ่งโหลซ้อนกันอยู่
“เครื่องลายคราม?” หลินปู้ฟานอุทาน
เขาถือชามสีฟ้าขาวอย่างระมัดระวังและมองไปที่ลวดลายของมังกรแฝดที่วาดไว้ นอกจากนี้ยังมีลายเซ็นของปี่หย๋งเล่อที่ด้านล่าง
เครื่องลายครามสามารถแบ่งออกเป็นเตาเผาทางการและเตาเผาโยธา หากนี่เป็นเครื่องลายครามที่มาจากเตาเผาทางการ คุณค่าของพวกก็เกินกว่าที่ประเมินได้
เครื่องลายครามทั้งหมดสิบสองชิ้น มีชาม แจกันและถ้วยชา
เมื่อมองไปที่สมบัติในกล่องใหญ่ทั้งสามนี้ หลินปู้ฟานก็ไม่สามารถยับยั้งความตื่นเต้นของเขาได้อีกต่อไป
หากสมบัติทั้งสามกล่องนี้ไปอยู่ในปี 2019 พวกมันจะมีมูลค่าอย่างน้อยหลายหมื่นล้าน เพราะแค่ในปี 1998 มูลค่าของพวกมันก็อยู่ระหว่าง 6 ถึง 7 พันล้านแล้ว
คนที่รวยที่สุดของจีนในปี 1998 มีทรัพย์สินสูงสุดก็ไม่เกิน 2 หมื่นล้าน
ด้วยเงิน 6-7 พันล้าน หลินปู้ฟานสามารถสร้างความมั่งคั่งได้ถึง 6-7 พันล้าน
การเดินทางมาหมู่บ้านจิ่วเจี๋ยครั้งนี้ไม่ได้สูญเปล่าแล้ว
หลังจากดื่มน้ำหนึ่งแก้ว หลังจากสงบลง หลินปู้ฟานก็เริ่มสงสัยว่าใครกันที่เป็นคนฝังทรัพย์สมบัติเหล่านี้ไว้ที่นี่? เป็นไปได้ไหมที่หญิงชราที่อาศัยอยู่ที่นี่ก่อนหน้านี้จะเป็นคนฝังมันไว้?
เป็นไปไม่ได้หญิงชราคนนั้นมีลูก ถ้าหากเธอมีสมบัติเธอก็ต้องเอามันออกมาให้ลูกหลานแล้วสิ
จนกระทั่งคืนก่อนที่เขาออกจากหมู่บ้านจิ่วเจี๋ย หลินปู้ฟานไปได้ยินมาว่าในอดีตบ้านของไห่ซื่อนั้นเคยใช้กักขังเจ้าของบ้านมาก่อนในช่วงหลายปีแห่งการต่อสู้ เมื่อผู้คนผู้คนที่อดยากได้หันคมดาบเข้าใส่เจ้านายของพวกเขาและกักขังพวกเขาไว้ในบ้าน
กล่องใหญ่สามกล่องนี้น่าจะถูกเจ้าของบ้านฝังไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ใครมาปล้นพวกมันไป
โดยไม่คาดคิดเจ้าของบ้านกลับต้องลงเอยด้วยการตัดชุดแต่งงานให้คนอื่น (เก็บสมบัติไว้ให้คนอื่นรวย)
หลินปู้ฟานครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ทั้งคืน เขาคิดหลายวิธีซ้ำๆ จนในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเลือกวิธีเรียกรถมาและขนพวกมันกลับไปด้วยตัวเอง
หลินปู้ฟานได้ซื้อโกดังในหางโจวเพื่อใช้สำหรับเก็บสมบัติโดยเฉพาะ
วันรุ่งขึ้น หลินปู้ฟานพาหัวหน้าหมู่บ้านวัย 90 และเจ้าหน้าที่อีกสองสามคนไปที่เนินเขาของหมู่บ้านจิ่วเจี๋ย ที่นี่มีภูเขาอยู่ทั่วไป
ภูเขาเต็มไปด้วยต้นไม้ที่ชาวบ้านไม่รู้จัก ต้นมันทั้งสั้นและแห้งลีบ
มะม่วงในเวียดนามสามารถปรับตัวได้มาก แม้แต่ในดินของหมู่บ้านจิ่วจี้ก็สามารถปลูกได้
“หลังจากที่ผมกลับไป ผมจะติดต่อชาวสวนผลมาให้คุณปู่เพื่อให้เขามาแนะการปลูกมะม่วงจากเวียดนามที่นี่” หลินปู้ฟานกล่าว
หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวว่า “ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาชาวบ้านในชนบทหลายที่ได้รับโชคมากมายจากการปลูกแอปเปิ้ลและเราเองก็ลองทำแบบนั้นมาแล้วเหมือนกัน แต่ดินของเรามันไม่เหมาะสำหรับปลูกผลไม้”
หลินปู้ฟานยิ้ม “คุณปู่ไม่ต้องกังวลครับ มะม่วงเวียดนามสามารถปลูกได้ดีที่ภูเขาของหมู่บ้านนี้”
ยังไงในอนาคต 4 ปีต่อจากนี้ หมู่บ้านจิ่วเจี๋ยจะร่ำรวยขึ้นจากการปลูกมะม่วงเวียดนามอยู่ดี หลินปู้ฟานก็แค่ทำให้มันเกิดขึ้นก่อนเท่านั้น
“เธอรู้ได้อย่างไร?” หัวหน้าหมู่บ้านถาม
“มีญาติคนหนึ่งในครอบครัวของผมเป็นชาวสวนผมก็เลยรู้เรื่องพวกนี้มาบ้าง ลองดูเถอะครับ เพราะถ้ามันดีและอร่อย มันก็เท่ากับว่าคุณปู่ได้พบโชคลาภไม่ใช่เหรอครับ?”
หลังจากได้ยินเรื่องนี้ทุกคนก็รู้สึกว่ามีเหตุผล
เมื่อลงจากภูเขาหัวหน้าหมู่บ้านถามว่า “เสี่ยวหลิน เธอเป็นผู้มีพระคุณของหมู่บ้านจิ่วเจี๋ยของเรา แต่ปู่ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงดีกับเราขนาดนี้?”
หลินปู้ฟานได้รับโชคมากมายในหมู่บ้านจิ่วเจี๋ย เขาจะไม่ตอบแทนให้กับชาวบ้านได้อย่างไร?
“ผมแค่หวังว่าจะได้เห็นทุกคนมีความสุขครับ!” หลินปู้ฟานตอบด้วยรอยยิ้ม
หลินปู้ฟานพบลังไม้ขนาดใหญ่สามลังเขาจึงเอาสมบัติทั้งหมดใส่ลงในลังไม้ หลังจากนั้นเขาก็ปิดหลุมด้วยปูนซีเมนต์และโรยผิวหน้าด้วยทรายละเอียด เท่านี้พื้นก็กลับมาดูเหมือนเดิมแล้ว
ในตอนเย็นหลินปู้ฟานโทรหาบริษัทขนย้าย
รถตู้มาถึงหน้าบ้านเวลา 9 โมงเช้าของวันรุ่งขึ้น
หลินปู้ฟานเตรียมบุหรี่ไว้แล้ว
“พี่ใหญ่ พี่ช่วยผมยกพวกมันหน่อยได้ไหมครับ? ผมยกคนเดียวไม่ไหว” หลินปู้ฟานยื่นซองบุหรี่จีนให้
พี่ชายคนขับไม่เคยสูบบุหรี่ที่ดีขนาดนี้มาก่อน เขาจึงรีบพยักหน้าทันที “ได้เลยไม่มีปัญหา”
“ขอบคุณครับ” หลินปู้ฟานไม่สามารถยกกล่องหยกด้วยตัวเองได้
ทั้งสองร่วมมือกันแบกลังไม้ทั้งสามขึ้นรถตู้
อ่านนิยาย novelza.com
“น้องชายมันโคตรหนักเลย ข้างในมันใส่อะไรไว้เหรอ?” พี่ชายคนขับถาม
หลินปู้ฟานยิ้มและกล่าวว่า “ผมกำลังเรียนประติมากรรมอยู่ครับและข้างในก็เป็นรูปแกะสลักหินของผมเอง”
ขณะที่เขาพูดเขาก็หยิบมังกรที่แกะสลักด้วยหินขึ้นมาโชว์ หลินปู้ฟานเจอมังกรนี่จากมุมโรงเรียน
“โอ้ เป็นงานแกะสลักที่ดีจริงๆ” พี่ชายคนขับกล่าวชื่นชมแบบผ่านๆ เขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าแบบไหนที่เรียกว่าดี?
หลินปู้ฟานไปที่โรงเรียน เขาต้องการจะบอกลาอาจารย์ใหญ่เกาหนิงอี้เหยาและจูเก๋อซินก่อนที่จะจากไป
หลังจากมาถึงโรงเรียน หลินปู้ฟานก็ลงจากรถและกวักมือเรียกหนิงอี้เหยาที่อยู่ในห้องเรียน หนิงอี้เหยาขอให้นักเรียนเรียนด้วยตัวเองกันไปก่อนและวิ่งเข้ามาหาหลินปู้ฟาน
“เธอจะกลับแล้ว?” หนิงอี้เหยาถาม
“ครับ ผมอยู่ที่นี่มาหลายวันแล้วได้เวลาที่จะต้องกลับแล้วครับ”
“อ๋อ เธอเหมารถไปที่ในเมืองเลยใช่ไหม?”
“ครับ” อันที่จริงหลินปู้ฟานเหมารถกลับหางโจวทีเดียวเลยต่างหาก
“ฉันไม่รู้ว่าเราจะได้พบกันอีกครั้งเมื่อไหร่” หนิงอี้เหยากัดริมฝีปากของเธอ
หลินปู้ฟานยังลังเลที่จะจากหนิงอี้เหยาไป “นี่เบอร์ของผมครับครู ถ้าครูพบปัญหาใดๆ ในอนาคตโทรหาผมได้ตลอดเลยนะครับ”
“ครูอยู่ที่นี่คงจะไม่มีปัญหาอะไรหรอก”
“คนเรามักจะมีปัญหาเสมอครับ”
“เธอไม่ไปบอกลาอาจารย์ใหญ่เกาเหรอๆ?”
“พวกเขาทั้งหมดกำลังสอนอยู่ผมไม่อย่างรบกวนพวกเขา นี่ก็เกือบจะถึงเวลาที่จะต้องไปแล้วแล้ว” หลินปู้ฟานเดินจากไปอย่างไม่สบายใจ เพราะเขาทิ้งสมบัติไว้ในรถคนขับ
“อืม เดินทางปลอดภัยนะ”
“ผมไปก่อนนะครับ”
หลังจากบอกลาอย่างไม่เต็มใจ หลินปู้ฟานก็ขึ้นรถตู้และจากไป
เมื่อมองไปที่รถตู้ที่กำลังจะจากไป หนิงอี้เหยาก็รู้สึกสูญเสียในใจขึ้นมา
ผ่านไปทั้งวันทั้งคืนรถตู้ก็มาถึงหางโจวและจากนั้นพวกเขาก็ขับออกไปที่โกดังในเขตชานเมือง
คนขับรถช่วยหลินปู้ฟานย้ายกล่องไปที่โกดัง
หลังจากนั้น หลินปู้ฟานก็ยัดซองสีแดงให้คนขับรถและแสดงความขอบคุณต่อเขา
หลังจากกลับมาที่หางโจวหลินปู้ฟานก็ได้รับสายจางอี้นี่ หลินปู้ฟานจึงรีบไปที่โรงแรมจุนหัวทันที
หลังจากพบกันจางอี้นี่ก็ถามหลินปู้ฟานว่า แผนต่อไปจะต้องทำยังไง?
หลินปู้ฟานตอบว่า เขาจำเป็นจะต้องจัดระเบียบใหม่อีกครั้ง
ต่อมาจางอี้นี่ก็รายงานเกี่ยวกับความคืบหน้าในการทำงานของบ้านพักคนชรากุ้ยซาน ทีมงานก่อสร้างได้เริ่มลงมือกันแล้วและเถิงเฟยกรุ๊ปในตอนนี้ก็เริ่มรื้อบ้านเก่าในกุ้ยซานออกแล้วด้วย
อ่านนิยาย novelza.com
ภูเขากุ้ยซานทั้งลูกถูกสร้างขึ้นใหม่
สำหรับหลิงซาน ตอนนี้ที่นั่นก็ได้เริ่มสร้างพิพิธภัณฑ์แล้วและก็ยังมีอาคารหลายหลังที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้
ก่อนหน้านี้ หลินปู้ฟานเคยบอกว่ากุ้ยซานนั้นเป็นพื้นที่ที่มีค่าที่สุดอันดับสองในอนาคต แล้วพื้นที่ที่มีค่าอันดับแรกอยู่ที่ไหน?
เขตเผิงปู้ทั้งหมดได้กลายเป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจ ในเวลานี้ไม่ว่าจะเข้าสู่ส่วนไหนคุณก็ต้องใช้เงินจำนวนมากในการเข้า ด้วยความแข็งแกร่งของบริษัทเชิ่งชี่ที่ยังมีไม่เพียงพอทำให้พวกเขาไม่สามารถเข้าไปชิ่งพื้นที่หลักได้ในตอนแรก
“เสี่ยวหลินครั้งก่อนเธอบอกว่ากุ้ยซานเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดเป็นอันดับสองในอนาคต แล้วสถานที่แรกอยู่ที่ไหน?” จางอี้นี่รู้สึกกังวล หลังจากที่มีการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจแล้ว เธอก็ไม่อย่างจะให้มีอะไรผิดพลาด
“ไม่ต้องกังวลครับคุณป้า เดี๋ยวป้าโทรบอกลุงซูได้เลยนะครับว่าพรุ่งนี้เราจะไปดูที่นั่นกัน” หลินปู้ฟานพูดออกมาด้วยรอยยิ้มลึกลับ
คอมเม้นต์