อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) – บทที่ 35 ลิขสิทธิ์
ตอนที่ 35 ลิขสิทธิ์
ในท้ายที่สุด หลงเถิงก็ให้คะแนนสมบูรณ์แบบและอาจารย์คนอื่นๆ ก็ทำเหมือนกันรวมเป็น 100 คะแนน
ไม่มีคำวิจารณ์ใดๆ มีแต่ความประทับใจและคำชมเท่านั้น
เมื่อพิจารณาว่าฉินเฟิงหยุนก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน พวกเขาจึงให้รางวัลที่สองแก่ฉินเฟิงหยุน
“เพลงที่คุณร้อง เป็นเพลงของพวกคุณเองใช่ไหม?” หลงเถิงหยิบไมโครโฟนขึ้นมาถาม
“ใช่ค่ะครูหลง” เฉินหวานเอ๋อตอบ
หลินปู้ฟานเกาหัว เขารู้สึกผิดต่อเจ้าของตัวจริงของเพลงนี้
“เพลงนี้เป็นเพลงที่ยอดเยี่ยม เมื่อรวมกับการร้องที่ออกมาจากใจ พวกเธอตั้งใจทำเพลงนี้มาเพื่อฉัน?” หลงเถิงพูดอย่างหลงใหล
เพลงนี้เป็นสิ่งที่หลินปู้ฟานคิดขึ้นมาทันทีเมื่อเขารู้ว่าหลงเถิงเป็นผู้ตัดสินหลัก ผู้แต่งเพลงนี้ก็เป็นคนตาบอดจึงทำให้เพลงนี้สะท้อนเข้าไปในใจของหลงเถิงได้เป็นอย่างดี
แต่
“ฉันยอมรับค่ะว่าเพลงนี้สร้างขึ้นมาเพราะครูหลง มันเป็นเพลงที่อธิบายถึงโลกที่มืดมิดและความเจ็บปวดของคนตาบอดแต่หลังจากที่ฉันได้ร้องเพลงนี้ มันก็ทำให้ฉันได้รู้ว่าเพลงนี้… มันเหมาะกับคนที่ฉันรักมากที่สุด”
หลงเถิงถามออกมาด้วยความประหลาดใจ “คนรักของคุณเป็นคนตาบอดด้วยเหรอ?”
“ไม่ค่ะ คนที่ฉันรักที่สุดคือดวงตาของฉัน ตอนที่ฉันยังเด็กเขาคอยจับมือฉันและพาฉันก้าวผ่านถนนที่ยากลำบาก ฉันเขาใจว่าเขาต้องการที่จะปกป้องฉันแต่เมื่อฉันโตขึ้น เมื่อฉันได้มองโลกใบนี้ด้วยดวงตาของฉันเองมันจึงทำให้ฉันต้องการเดินไปในโลกที่ฉันมองเห็นด้วยตัวเอง แม้ว่ามันจะเป็นถนนที่เต็มไปด้วยขวากหนาม แม้ว่าข้างหน้าจะเต็มไปด้วยฝุ่นโคลน แม้ว่าฉันจะต้องล้มลงไปเรื่อยๆ ก็ตาม พ่อช่วยปล่อยให้หนูไปด้วยตัวเองได้ไหม? หนูขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่พ่อทำให้หนูมาตลอด แต่ตอนนี้หนูโตแล้ว หนูมีความฝันของหนูแล้วและหนูต้องการจะทำตามฝันของตัวเอง” เฉินหวานเอ๋อจ้องที่พ่อของเธอ ดวงตาของเธอปริ่มไปด้วยน้ำตา
หัวใจของเฉินเจี้ยนชิงรู้สึกเจ็บปวด
ลูกสาวของเขาโตขึ้นแล้วจริงๆ
ไม่ใช่เด็กที่เขาต้องคอยจูงมืออีกแล้ว
เธอมีความฝันของเธอแล้ว
ถ้าหากว่าเฉินหวานเอ๋อต้องกลายเป็นหมอ เฉินเจี้ยนชิงก็จะคอยกำจัดอุปสรรคทั้งหมดให้กับเธอ
อย่างไรก็ตาม ลูกสาวของเขามีความฝันและเส้นทางเป็นของตัวเอง
หลังจากการแข่งขันจบก็มีการมอบถ้วยรางวัลและหลงเถิงก็ยังเชิญวงของซงเซิ่นฮุยไปเป็นแขกรับเชิญพิเศษสำหรับคอนเสิร์ตครั้งต่อไปของเขาด้วย
ผู้คนในหอประชุมแยกย้ายกันไป เฉินเจี้ยนชิงรู้สึกสูญเสีย เด็กๆ มักจะเติบโตและจากพ่อแม่ไปเป็นเรื่องปกติ ในฐานะพ่อแม่การที่ได้เห็นเด็กๆ เติบโตถือเป็นเรื่องที่ควรมีความสุข แต่เมื่อถึงตอนที่เด็กๆ จากไปมันก็ทำให้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสูญเสีย
“พ่อ…” เฉินหวานเอ๋อหยุดเฉินเจี้ยนชิง
“ลูกร้องเพลงได้เพราะมาก” เฉินเจี้ยนชิงกล่าวชื่นชม
“พ่อ หนู…”
“ลูกโตแล้ว ลูกควรจะเดินไปในเส้นทางที่ลูกต้องการ พ่อเขาใจทั้งหมดแล้ว” เฉินเจี้ยนชิงพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ขอบคุณค่ะ” เฉินหวานเอ๋อร้องไห้และกอดเฉินเจี้ยนชิง
ฉินเฟิงหยุนวางเครื่องดนตรีของเขาไว้หลังเวที เขาหยิบกีตาร์ของเขาขึ้นมาและกำลังจะออกไปทางประตูหลังของหอประชุม
แต่ก็ถูกซงเซิ่นฮุยขวางทางเอาไว้ก่อน
“พี่ฉิน พี่จะไปไหน?” ซงเซิ่นฮุยยิ้มเยาะ
หลังจบการแสดงหลินปู้ฟานขอให้ซงเซิ่นฮุยมาดักรอฉินเฟิงหยุน
“ฉัน… ฉันกำลังจะกลับบ้าน การแข่งจบแล้วนี่… ขอแสดงความยินดีกับพวกนายด้วย” ฉินเฟิงหยุนอยากจะกลับออกไปให้เร็วที่สุด แต่ซงเซิ่นฮุยก็ขัดขวางเขาไว้
“พี่ลืมข้อตกลงที่ทำกับหว่านเอ๋อไปแล้วเหรอ?”
“ฉันก็แค่พูดเล่นไปอย่างนั้น นายจะจริงจังกับมันไปทำไม” ฉินเฟิงหยุนเป็นคนที่มีความสามารถที่ยอดเยี่ยมในวิทยาลัยการดนตรีไห่หลิงและเขาก็เป็นที่ชื่นชมของสาวๆ มากมายอีกด้วย ถ้าหากเขาต้องแก้ผ้าและวิ่งไปรอบๆ สนามเด็กเล่น เขาจะหมดที่ยืนในอนาคตทันที
“จริงจังสิ คุณสัญญาแล้วนี่ จริงไหม?” หลินปู้ฟานปรากฏตัวขึ้น เขากล่าวด้วยรอยยิ้มเหยียดหยาม “สุภาพบุรุษควรจะเป็นแบบนี้จริงๆ เหรอ?”
“ฉันไม่ใช่สุภาพบุรุษ” ฉินเฟิงหยุนเสียหน้า
“อืม ในเมื่อคุณไม่ใช่สุภาพบุรุษ ผมก็คงไม่ต้องใช้วิธีของคนดีคุยกับคุณอีกต่อไปแล้ว” หลินปู้ฟานมองด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ “ถ้าผมจำไม่ผิดเพลง”เยวชน”ของคุณไม่ได้เพลงที่คุณแต่งเองนี่ ใช่ไหม?”
“คุณกำลังพูดเพ้อเจ้ออะไร?” สีหน้าของฉินเฟิงหยุนเปลี่ยนไป
“เพ้อเจ้อเรื่องอะไรผมว่าเรื่องนั้นคุณเองก็รู้อยู่แก่ใจ เพลง”เยวชน”ของคุณนั้นคุณคัดลอกมันมาจากเพลง”Youth.is.not.in”ของนักร้องคันทรีชาวอเมริกันมิเชลเอเคนมาเต็มๆ เลย แม้แต่ท่อนของเอ้อหูคุณก็ดัดแปลงมาจากท่อนไวโอลินของเพลงนี้มา”
มิเชลเอเคนยังไม่ได้รับความนิยมในเวลานี้จึงทำให้หลายคนไม่เคยได้ยินเพลงของเขาจนกระทั่งปี 2005 ที่มิเชลร้องเพลง”The.girl”และได้รับรางวัลแกรมมี่อวอร์ดทำให้เขากลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
การดึงเพลงของคนอื่นมาเปลี่ยนเนื้อเพลงถือเป็นการขโมยความคิดอย่างแน่นอน
เทพเจ้าวงการเพลงที่ทุกคนรู้จักอย่างจางโหยวโย่วที่ร้องเพลง”ชิวยี่น๋ง”และ”หลี่หลานเซียง”เองก็เหมือนกัน เพราะทั้ง 2 เพลงก็เป็นเพลงดัดแปลง ซึ่งนักร้องต้นฉบับตัวจริงคือนักร้องจากแดนซากุระ
แม้แต่เพลง”ซินไท่หรวน”ที่เป็นเพลงยอดนิยมก็เช่นกัน
“คุณ… คุณ… คุณอย่ามาเพ้อเจ้อ” ฉินเฟิงหยุนปฏิเสธที่จะยอมรับมัน
หลินปู้ฟานหัวเราะเยาะ “อืม ในเมื่อคุณบอกว่าผมกำลังเพ้อเจ้อ ผมก็คงต้องเอาเรื่องนี้ไปบอกกับพวกคณะกรรมการสักหน่อย อ่า…จริงสิคุณไม่ได้สนการแข่งนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วหนิ มันคงจะไม่ส่งผลอะไรกับคุณสักเท่าไหร่หรอกมั้ง แต่อย่าลืมว่าถ้าเรื่องพวกนี้หลุดออกไปข้างนอก อนาคตของคุณได้จบแน่ๆ คงไม่มีค่ายเพลงค่ายไหนจะรับคนที่มีประวัติโกงการแข่งหรอก จริงไหม?”
การขโมยผลงานถือเป็นข้อห้ามสูงสุดของโลกดนตรี
ฉินเฟิงหยุนเหงื่อตกและตื่นตระหนกอย่างมาก “อย่าๆ! ฉันผิด ฉันผิดเอง ปล่อยฉันไปเถอะ ได้โปรด”
“อืม ในเมื่อคุณยอมรับแล้วคุณก็ควรทำในสิ่งที่คุณพูดไว้ด้วย” หลินปู้ฟานยิ้ม
ฉินเฟิงหยุนกัดฟัน “ได้ ฉันจะทำตามนั้น”
“วิ่งให้ครบด้วยนะ ถ้าคุณวิ่งขาดไปแม้แต่รอบเดียว เรื่องที่คุณขโมยผลงานคนอื่นมาเป็นของตัวเองจะถึงหูทุกคนทันที”
แต่ละวิทยาลัยจะมีเว็บบอร์ดของตัวเอง ที่จะเป็นแหล่งรวมของนักศึกษา
สิบนาทีต่อมา
เสียงของสาวๆ ก็กรี๊ดลั่นดังมาจากสนามเด็กเล่น
“นี่มันอะไรกัน ฉินเฟิงหยุนเขาเป็นบ้าไปแล้วหลังจากแพ้รางวัลที่หนึ่ง”
“ตอนนี้เขากำลังแก้ผ้าล่อนจ้อนวิ่งอยู่”
“ทุกๆ คนรีบมาดูกันเร็ว”
นักศึกษาทุกคนรีบไปที่สนามเด็กเล่น
“นี่มันสุดยอดเลย!” เฉินหวานเอ๋อรู้สึกสะใจ
“อาจารย์หลิน อาจารย์สุดยอดสุดๆ ไปเลยอาจารย์ฟังเพลงครั้นที่อเมริกันด้วย” ซงเซิ่นฮุยชื่นชม “แต่หลงเถิงเขาไม่รู้เรื่องนี้เหรอ?”
“หลงเถิงเป็นนักดนตรีร็อคและเขาก็ไม่เคยฟังเพลงภาษาอังกฤษเลย”
เรื่องนี้หลงเถิงเป็นคนให้สัมภาษณ์เองในไม่กี่ปีต่อจากนี้
“ขอบคุณค่ะอาจารย์หลิน เป็นเพราะเพลงของอาจารย์ พ่อของฉันจึงเข้าใจและปล่อยให้ฉันเดินไปในเส้นทางของตัวเอง ขอบคุณที่ให้ฉันได้เป็นนักร้องนำ” เฉินหวานเอ๋อกล่าวอย่างซาบซึ้ง
“ทั้งหมดเป็นเพราะตัวพี่เอง เป็นเพราะความสามารถของพี่และความปรารถนาของพี่ที่ต้องการจะทำให้พ่อของพี่ได้เข้าใจ…” หลินปู้ฟานอธิบาย
“อาจารย์หลิน อาจารย์เป็นอัจฉริยะจริงๆ แต่ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมอาจารย์ถึงไม่เข้าสู่วงการดนตรี ทั้งๆ ที่อาจารย์มีความสามารถมากขนาดนี้” ซงเซิ่นฮุยถามอย่างสงสัย
“เพราะดนตรีเป็นเพียงแค่งานอดิเรกของผมเท่านั้น” หลินปู้ฟานพูดด้วยรอยยิ้ม
“อาจารย์หลินจู่ๆ ฉันก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้” เฉินหวานเอ๋อขมวดคิ้ว
“ว่า?”
“ฉันกลัวว่าหลงเถิงจะเอาเพลงคุณคือดวงตาของฉันนี้ไปร้อง เขาบอกก่อนที่จะเขาจากไปว่าเขาอยากจะร้องเพลงนี้อย่างมากและหลงเถิงยังเป็นทั้งนักร้องและโปรดิวเซอร์เพลงที่มีชื่อเสียง ฉันกลัวว่าเขาจะเอาเพลงนี้ไปเป็นของตัวเอง ฉันควรจะทำยังไงดี?” เฉินหวานเอ๋อกังวล
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอกผมได้จดลิขสิทธิ์ทั้งเพลง”ชายชรา”และ”คุณคือดวงตาของฉัน”ไว้แล้ว เขาเอาเพลงไปร้องได้ แต่เขาไม่สามารถเอามันไปทำเงินเข้ากระเป๋าตัวเองได้” หลินปู้ฟานกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เขาได้จดลิขสิทธิ์ทรัพย์สินทางปัญญาของเพลง”ชายชรา”และ”คุณคือดวงตาของฉัน”ไว้เรียบร้อยแล้ว
ในเวลานี้การรับรู้เรื่องลิขสิทธิ์เพลงยังไม่แข็งแรงเท่าไหร่ เพลงมากมายถูกร้านคาราโอเกะหลายร้านนำไปใช้โดยไม่ขออนุญาต อย่างไรก็ตามหลังจากปี 2000 กฎหมายลิขสิทธิ์ก็จะเข้มงวดมากขึ้นด้วยการปรากฏตัวของเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือ เพลงที่ดีจะทำเงินได้เป็นจำนวนมาก ในตอนนั้นการดาวน์โหลดเพลงไปเป็นเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือราคา 2 หยวนจะเป็นที่นิยมอย่างมาก
หลินปู้ฟานจำเพลงที่ชื่อว่า”เจ้าหนูรักเมล็ดข้าวสาร”ได้ มันเป็นเพลงที่เป็นเสียงเรียกเข้ายอดนิยมและสามารถทำเงินได้หลายสิบล้าน
“อาจารย์หลินอาจารย์นี่สุดยอดจริงๆ เลย อาจารย์ทำทุกอย่างได้รอบคอบจริงๆ” ซงเซิ่นฮุยชื่นชม
“อ่าเข้าใจแล้ว เก่งมากๆ อาจารย์หลินเก่งสุดๆ ไปเลย แล้วเมื่อไหร่เราจะได้ไปหาอะไรกินกันสักที?” เพราะความหิวของหลัวเสี่ยวเสี่ยว เธอจึงพูดแซะออกมาอย่างอดไม่ได้ “คืนนี้เราไปที่บาร์กัน ด้วยเงินรางวัล 2000 หยวนนี้ไม่เมาไม่กลับ”
วันต่อมา
หลินปู้ฟานตื่นขึ้นมาพร้อมอาการวิงเวียนศีรษะ เขาลืมตาขึ้นมาในห้องสีชมพู หลังจากมองไปรอบๆ เขาก็พบว่าที่นี่เป็นห้องของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่นอนอยู่ข้างๆ เขา
“เวรแล้วไง ฉันอยู่ที่ไหนเนี่ย?” หลินปู้ฟานตกใจและยิ่งตกใจยิ่งขึ้นไปที่เห็นว่าเด็กผู้หญิงที่นอนอยู่ข้างๆ เขานั้นไม่ใช่ใครอื่น เธอคือซูชิง
“นายตื่นแล้วเหรอ?” ซูชิงขยี้ตาของเธอและถามออกมาอย่างงัวเงีย
คอมเม้นต์