อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) – บทที่ 44 ก่อตั้งบริษัทเชิ่งชี่

อ่านนิยายจีนเรื่อง อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) ตอนที่ 44 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 44 ก่อตั้งบริษัทเชิ่งชี่

 

 

ก่อนที่งานเลี้ยงจะถูกจัดขึ้น ตระกูลเทียนและตระกูลกงได้ปล่อยข่าวลือว่า หากใครที่ไปกินเหล้ามงคลของหนิงเถียนหนานจะต้องโชคร้ายไป 8 ชั่วอายุคนจนทำให้ไม่มีใครกล้ามาร่วมงาน

 

 

ต่อมาหลินปู้ฟานได้ให้ลุงซูเปลี่ยนวิธีจัดงานเลี้ยงโดยให้แจกเงินจึงทำให้งานแต่งนี้ถูดจัดขึ้นมาได้สำเร็จ

 

 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้หลินปู้ฟานเป็นกังวลว่าทั้ง 2 ตระกูลจะมาสร้างความยุ่งยากในวันงานอีก เขาจึงไปหาชาวบ้านที่คุ้นเคยกับตระกูลเทียนและตระกูลกงและถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของทั้งสองครอบครัว

 

 

ในชนบทมีแนวคิดที่ว่าลูกสาวที่แต่งงานออกไปแล้วนั้นเท่ากับว่าหญิงสาวคนนั้นไม่ใช่คนในตระกูลอีกต่อไป

 

 

ลูกสาวคนโตของตระกูลเทียนแต่งงานกับคนนอกหมู่บ้านเมื่อ 2-3 ปีก่อน และเมื่อชายชราเสียชีวิตยายเทียนก็ไม่ได้แบ่งมรดกหรือให้เงินแก่ลูกสาวคนโตเลยแม้แต่หยวนเดียว

 

 

ลูกชายคนโตของยายเทียนเป็นสามีคนแรกของหนิงเทียนหนานและได้ล่วงลับไปแล้ว

 

 

เมื่อชายชราตระกูลเทียนล้มป่วย ลูกสาวคนโตของตระกูลเทียนก็ได้ส่งเงินมาช่วยค่ารักษา และตอนที่ลูกชายคนเล็กของตระกูลเทียนแต่งงานเธอก็ให้เงินส่วนหนึ่งเพื่อมาสร้างบ้านให้น้องชายของเธอด้วยเช่นกัน

 

 

นั่นจึงทำให้ลูกสาวของตระกูลเทียนรู้สึกไม่พอใจอย่างมากที่ตนไม่ได้ส่วนแบ่งจากมรดกเลย

 

 

หลินปู้ฟานเดินทางไปพบกับลูกสาวของตระกูลเทียนและมอบเงินให้เธอ 5 หมื่นหยวนโดยบอกให้เธอพกเครื่องบันทึกเสียงติดตัวเอาไว้

 

 

ในวันที่ยายเทียนกับยายกงและคนอื่นๆ วางแผนกัน ลูกสาวคนโตของตระกูลเทียนก็อยู่ที่นั่นด้วย เธอจึงเปิดเครื่องบันทึกเสียงที่หลินปู้ฟานมอบให้มา และนี่ก็คือบันทึกของการสนทนานั้น

 

 

ตอนแรกลูกสาวคนโตยังคงลังเลใจเพราะทั้ง 2 เป็นพี่ชายและแม่ของเธอ แต่เมื่อฟังบทสนทนาต่อจากนั้นก็ทำให้เธอตัดสินใจได้ทันที ยายเทียนบอกว่าหลังจากที่ได้เงินมาแล้วเธอจะให้เงินกับลูกชายคนเล็กทั้งหมดเพื่อไปหาซื้อบ้านหลังเล็กๆ ในเมือง

 

 

ลูกสาวคนโตของตระกูลเทียนรู้สึกว่าในเมื่อตนไม่ได้ถูกปฏิบัติเหมือนเป็นคนในครอบครัวเลยแม้แต่น้อย เธอก็ไม่จำเป็นต้องคิดว่าคนพวกนี้เป็นครอบครัวเช่นกนั

 

 

หลังจากฟังเสียงที่บันทึกไว้จนจบ ชาวบ้านทุกคนก็จ้องไปที่คนของทั้งสองตระกูลด้วยสายตาเย็นชา

 

 

“หลักฐานแค่นี้เพียงพอหรือไม่?” หลินปู้ฟานพูดเสียงดังใส่ไมโครโฟน “ลูกชายคนโตของตระกูลเทียนได้รับค่าตอบแทน 5 หมื่นหยวนสำหรับอุบัติเหตุแล้วก็จริง แต่เขาก็สูญเสียความสามารถในการทำงานไปด้วย ตลอดช่วงเวลาห้าปีของการแต่งงาน เขาทำได้เพียงแค่พึ่งพาหนิงเทียนหนานให้ดูแลทุกสิ่งอย่าง ทั้งค่ากินทั้งค่ายา ในเวลาแค่ 5 ปีเขาใช้เงินไปมากกว่า 1 แสนหยวนเสียอีก แม้ว่าเธอจะต้องเจออะไรมากมายขนาดนั้น แต่หนิงเทียนหนานก็ยังไม่เคยไปรบกวนครอบครัวของคุณเลย แล้วพวกคุณยังมีหน้ามาทวงเงิน 5 หมื่นหยวนจากเธออยู่อีกเหรอ? คนตระกูลกงก็เช่นกันพวกคุณมันไร้ยางอายจริงๆ ลูกชายของคุณเป็นพวกผีพนัน หนิงเทียนหนานต้องทำงานอย่างหนักเธอต้องขึ้นไปเก็บผักบนภูเขาเพื่อให้ได้เงินเอามาไว้ให้ลูกชายของคุณเอาไปเล่นพนัน และสาเหตุที่เขาต้องตายก็เพราะเหล้า มันเป็นเพราะเขาเป็นพวกขี้เมาไม่ใช่เพราะเธอ! พวกคุณกล่าวหาหนิงเทียนหนานว่าเป็นหญิงกินผัวทำให้เธอต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก แค่นี้ยังไม่พออีกเหรอ?”

 

 

“ทุเรศจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะหนิงเทียนหนานจ่ายหนี้ให้ ป่านนี้ลูกชายคนเล็กของตระกูลกงคงขาหักเพราะเจ้าหนี้ไปแล้ว”

 

 

“ใช่! คนตระกูลกงช่างไร้ยางอายจริงๆ ยังมีหน้ามาบอกว่าหนิงเทียนหนานเป็นหญิงกินผัวอีก น่าเกลียดจริงๆ”

 

 

“คนพวกนี้ควรจะคุกเข่าขอขมาเธอด้วยซ้ำ”

 

 

ชาวบ้านเริ่มสาปแช่งตระกูลเทียนและตระกูลกงทีละคน

 

 

ในเวลานี้ ตระกูลเทียนและตระกูลกงกลายเป็นเหมือนนกที่หวาดกลัว ใบหน้าของพวกเขากลายเป็นซีดเผือด

 

 

“น้องชาย เราผิดไปแล้ว” ยายเทียนขอร้องด้วยความเมตตา

 

 

“ให้โอกาสเรา เราจะไม่สร้างปัญหาให้กับหนิงเทียนหนานอีกแล้ว”

 

 

“เราผิดไปแล้วน้องชาย ยกโทษให้เราเถอะ”

 

 

คนของตระกูลเทียนและตระกูลกงแตกตื่น หากเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่พวกเขาจะต้องเข้าคุกแน่ๆ

 

 

“พวกคุณไม่ได้ทำให้ผมขุ่นเคืองเสียหน่อย จะมาขอโทษผมทำไม?” หลินปู้ฟานพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

 

 

ยายเทียนและยายกงเข้าใจทันที ทั้งสองรีบเดินไปหาหนิงเทียนหนานเพื่อขอร้อง

 

 

“เทียนหนาน ฉันเป็นแม่สามีของเธอนะได้โปรดช่วยฉันด้วย”

 

 

“ลูกสะใภ้ แม่ยายคนนี้ผิดเองเห็นใจกันด้วยเถอะ ฉันแก่แล้วฉันไม่อยากเข้าคุก”

 

 

หญิงชราทั้งสองจับมือของหนิงเทียนหนานและคุกเข่าลง

 

 

“ลุกขึ้นเถอะ ฉันยกโทษให้พวกคุณ” หนิงเทียนหนานดึงพวกเธอขึ้นอย่างสง่างาม

 

 

ซูเฉิงหลงโค้งปากลงและพึมพำในใจ: ป้าหนิงใจอ่อนเกินไป ถ้าเป็นผมผมจะสั่งสอนทั้งสองคนสักสองสามที

 

 

หลังจากเรื่องตลกจบลง ชาวบ้านบางคนก็ออกมาขอโทษหนิงเทียนหนาน พวกเขาเคยพูดเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับหนิงเทียนหนานลับหลังและหนิงเทียนหนานก็ยกโทษให้พวกเขาทั้งหมด

 

 

หลังจากดื่มเหล้าอวยพรหนิงเทียนหนานเสร็จ ทุกคนก็ลากลับบ้านไป

 

 

ในบ้านของหนิงเทียนหนาน

 

 

ลุงซู จางอี้หนี่และหลินปู้ฟานนั่งคุยกันถึงในขั้นตอนต่อไปของแผน หนิงเทียนหนานกำลังทำอาหารอยู่ในครัวโดยมีลูกมือเป็นซูเฉิงหลงและซูชิงที่ไม่เคยใช้เตาฟืนมาก่อน ทั้งสองกำลังยัดฟืนใส่ในเตาอย่างมีความสุข

 

 

“แค่ก แค่ก” ควันที่ออกมาทำให้ซูชิงและซูเฉิงหลงสำลัก

 

 

หนิงเทียนหนานรีบเช็ดใบหน้าของผีน้อยทั้งสองด้วยผ้าขนหนู “เราไม่จำเป็นต้องใช้ไฟแรงขนาดนี้หรอกจ้ะ เธอสองคนไปพักกันก่อนเถอะ”

 

 

“ค่ะ ไว้หนูจะมาช่วยป้าทำอีกนะคะ”

 

 

เด็กเมืองทั้งสองคนมีความสนใจในการก่อไฟอย่างมาก

 

 

หนิงเทียนหนานหยิบเค้กข้าวและมันฝรั่งหวานสองสามชิ้นส่งให้ซูชิงและซูเฉิงหลง

 

 

“ป้าหนิงเค้กข้าวนี่กินดิบๆได้ไหมคะ?” ซูชิงถามอย่างสงสัย

 

 

“ไม่ได้ เธอต้องรอให้เปลวไฟในเตาดับลงก่อนแล้วถึงจะเอาเค้กข้าวไปย่างไฟ ส่วนมันหวานให้โยนเข้าไปในเตาสัก 1 ชั่วโมงก็กินได้แล้ว”

 

 

“ว้าว… สุดยอดเลย” ซูชิงและซูเฉิงหลงอุทาน “หนูไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อนเลย”

 

 

หลินปู้ฟานจิบชาดอกมะลิ “เรื่องที่ดินผืนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”

 

 

“เราจะเซ็นสัญญาซื้อขายกันพรุ่งนี้ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดรวมกันประมาณ 20 ล้านหยวน” ลุงซูกล่าว

 

 

“ถือว่าเป็นราคาที่ดี นี่ถือว่าเป็นความดีความชอบของลุงเลยนะครับ เพราะถ้าลุงไม่ได้แต่งงานที่นี่เราจะเสียเงินมากกว่านี้ ส่วนเงินทุนหมุนเวียนตอนนี้เรายังมีอยู่ในมือมากกว่า 10 ล้านใช่ไหม?” หลินปู้ฟานถาม

 

 

“ถึงเรายังมีเงินทุนอยู่ในมือมากกว่า 10 ล้าน แต่ดอกเบี้ยต่อเดือนทั้งหมดของลุงซูและป้าก็เยอะมากเช่นกัน เราควรจะหาวิธีคืนเงินให้เร็วที่สุด”

 

 

โรงแรมของจางอี้หนี่ อสังหาริมทรัพย์และบริษัทรถแท็กซี่ของลุงซูทั้งหมดถูกจำนองไว้กับธนาคารเพื่อเงินกู้ 40 ล้านหยวน

 

 

“ผมรู้ ตอนนี้เราใช้ไป 12 ล้านเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ 102 แห่งในกุ้ยซาน หลังจากการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจในเดือนตุลาคม ราคาของอสังหาริมทรัพย์เหล่านี้จะพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว”

 

 

“เสี่ยวหลิน ทำไมเราถึงไม่สร้างเขตพัฒนาของเราเองล่ะ?” ลุงซูกล่าวอย่างทะเยอทะยาน

 

 

หลินปู้ฟานยิ้มและโบกมือ “ลุงรู้ไหมว่าต้องใช้เงินเท่าไหร่ในการพัฒนาภูเขาทั้งลูกแบบนี้? หากจะสร้างที่อยู่อาศัยเชิงพาณิชย์อย่างน้อยก็ต้องใช้ 500 ถึง 1 พันล้าน ถ้าจะสร้างย่านธุรกิจอย่างน้อยก็ 2 พันล้านหยวนและด้วยกำลังของเรามันก็ไม่มีทางเป็นไปได้เลย สำหรับที่ดินผืนใหญ่อย่างนี้รัฐบาลจะเชิญบริษัทใหญ่เพื่อมาประมูลงานไป ในเวลานั้นบริษัทขนาดใหญ่จำนวนมากจะเข้ามาแข่งขันกันเพื่อแย่งชิงเนื้อชิ้นนี้”

 

 

“ลุงเข้าใจว่าหลานหมายถึงอะไร เราจะขายบ้านเหล่านี้ในราคาที่สูงใช่ไหม?” ลุงซูกล่าวอย่างตื่นเต้น

 

 

“ไม่ เราจะไม่ขายบ้านเหล่านี้แต่เราจะแลกพวกมัน”

 

 

ในอนาคต พื้นที่ที่อยู่บนภูเขาจะมีราคาแพงมากกว่า 4 หมื่นหยวนต่อตารางเมตร ตอนนี้ได้มา 102 หลังสามารถเปลี่ยนเป็นบ้านเชิงพาณิชย์ได้อย่างน้อยก็ 400 หลัง ถ้าห้องมูลค่า 4 ล้านก็จะกลายเป็น 1.6 พันล้านในอนาคต และหลังจากนั้นก็จะมีรถไฟใต้ดินที่จะทำให้ราคาเพิ่มขึ้นไปอีกในอนาคต

 

 

หลังจากนักพัฒนาเข้ามา พวกเขาจะจ่ายเงินชดเชยให้กับชาวบ้านและจัดหาถิ่นฐานใหม่ให้ แต่ที่ตั้งถิ่นฐานใหม่นั้นไม่มีทางดีเท่ากับที่นี่ในอนาคตอย่างแน่นอน แม้ว่ามันจะดีขึ้นในอีกไม่กี่ปี แต่มันก็ยังเทียบเท่าที่นี่ไม่ได้อยู่ดี

 

 

ความคิดของหลินปู้ฟานคือการแลกเปลี่ยนบ้านที่นี่เป็นอาคารที่นักพัฒนาจะสร้างในกุ้ยซานในอนาคต

 

 

นอกจากนี้หลินปู้ฟานยังครอบครองพื้นที่รกร้างที่มีค่าที่สุดในภูเขาลูกนี้ไว้ด้วย

 

 

พื้นที่รกร้างที่ว่าครอบคลุมพื้นที่กว่า 200 เอเคอร์ ในอนาคตสามารถสร้างชุมชนระดับสูงและห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ได้ ไม่ว่าจะทำอะไรก็สามารถทำเงินได้มากมาย

 

 

ในวันรุ่งขึ้นลุงซูได้ลงนามในข้อตกลงสิทธิ์การใช้ที่ดินบนภูเขารกร้างกับผู้รับผิดชอบเขตกุ้ยซานและจ่ายเงินทั้งหมด

 

 

แน่นอนลุงซูไม่ได้ปฏิบัติต่อคู่สนทนาอย่างไม่ดีและให้เงินก้อนโตแก่เขา

 

 

ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าตามแผนของหลินปู้ฟาน พวกเขาจะใช้เงิน 10 ล้านหยวนที่เหลือในการจดทะเบียนบริษัทร่วมทุนชื่อ”เชิ่งชี่”

 

 

ลุงซูและจางอี้หนี่ถือหุ้นคนละ 35% ส่วนหลินปู้ฟานถือหุ้น 30%

 

 

ตอนแรกลุงซูและจางอี้หนี่ต้องการจะให้หลินปู้ฟานเป็นเจ้าของหุ้น 40% เพราะพวกเขายังต้องพึ่งพาหลินปู้ฟานเพื่อสร้างรายได้อีกในอนาคต แต่หลินปู้ฟานก็ปฏิเสธด้วยเหตุผล 2 ประการ ประการแรกเพราะหลินปู้ฟานไม่ได้ลงทุนเลยแม้แต่หยวนเดียว ประการที่สองเพราะหลินปู้ฟานไม่ได้ยึดติดอยู่แค่บริษัทนี้บริษัทเดียว เขามีแผนจะสร้างอีกบริษัทด้วยตัวเอง

 

 

ในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ จางซิ่วเยว่ก็จะได้รับการปลูกถ่ายไตแล้วและหลังจากสังเกตุอาการในโรงพยาบาลอีกหนึ่งเดือน ถ้าไม่มีอะไรแทรกซ้อนเธอก็จะสามารถกลับบ้านได้

 

 

ระหว่างการรักษาตัวในโรงพยาบาล ญาติของซุนหว่านหมินในสหรัฐอเมริกาได้ดูแลจางซิ่วเยว่เป็นอย่างดี ทำให้หลินปู้ฟานเข้าไปขอบคุณซุนหว่านหมินอยู่หลายครั้ง

 

 

ในยุคนี้ทุนจดทะเบียนจำเป็นต้องอยู่ในบัญชีที่กำหนดไว้ในช่วงระยะเวลาหนึ่งก่อนจึงจะสามารถใช้ได้

 

 

ทั้งทรัพย์สินถาวรของจางอี้หนี่และลุงซูนั้นถูกจำนองไว้กับธนาคารทั้งหมด และยังต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าที่บ้านและที่ดินในกุ้ยซานจะเปลี่ยนเป็นเงินได้ ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือต้องไถ่ถอนทรัพย์สินถาวรของพวกเขาออกมาก่อน

 

 

ทั้งสองเป็นหนี้กับธนาคารทั้งหมด 30 ล้าน

 

 

วันนี้หลินปู้ฟานและคนอื่นๆ มารวมตัวกัน

 

 

“เงินในบัญชีของบริษัทระดมทุนสามารถใช้ได้เพียง 50% ซึ่งก็คือ 5 ล้านแต่ทั้งสองคนเป็นหนี้ธนาคารรวม 30 ล้าน ผมวางแผนที่จะหาเงินคืนให้กับลุงและป้าเพื่อเอาไปจ่ายหนี้ทั้งหมดให้ทันในเดือนนี้” หลินปู้ฟานดื่มชาและพูดออกมาเบาๆ

 

 

จางอี้หนี่และลุงซูรู้สึกตกใจ แต่เดิมพวกเขาวางแผนที่จะดำเนินการต่อไปอีกสัก 2-3 ปีเพื่อรอให้เขตพัฒนานี้คึกคักขึ้นมาแล้วค่อยเก็งกำไร จากนั้นค่อยไถ่ถอนสินทรัพย์ถาวรคืนจากธนาคาร

 

 

“เสี่ยวหลิน… เธอพูดจริงเหรอ? ล้อลุงเล่นอยู่หรือป่าว?” ลุงซูเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

 

 

หลินปู้ฟานยิ้ม “ทำไมผมต้องล้อเล่นกับลุงด้วยล่ะครับ ลุงรู้ไหมว่าตอนนี้ในหลายๆ ประเทศในโลกยังคงมีสงครามกลางเมืองกันอยู่”

 

 

“อะไร? เธอต้องการจะขายอาวุธ?” ลุงซูสูดลมหายใจลึกๆ

 

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า…” หลินปู้ฟานหัวเราะท้องแข็ง “ลุงจะบ้าเหรอ”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด