อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) – บทที่ 46 ขุดพบกระถางสำริด

อ่านนิยายจีนเรื่อง อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) ตอนที่ 46 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 46 ขุดพบกระถางสำริด

 

 

ฟางเจี้ยงหนานไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลยว่าหลินปู้ฟานจะบันทึกการสนทนาทั้งหมดระหว่างพวกเขาไว้ด้วย

 

 

“และพ่อของผมก็อยู่ที่นี่ด้วย เขาก็สามารถเป็นพยานให้ผมได้เหมือนกันนะครับ ตอนนี้คุณยังจะกล้าใช้”ตำนานเก้ากระบี่”ครึ่งหลังของผมโดยไม่ได้รับอนุญาตอยู่ไหม?” หลินปู้ฟานหัวเราะและมองไปที่ฟางเจี้ยงหนานด้วยท่าทางขี้เล่น

 

 

ฟางเจี้ยงหนานเช็ดเหงื่อเย็นออกจากหน้าผาก หลังจากสงบอารมณ์ประหม่าแล้วเขาจึงค่อยๆ พูดออกมา “นักเรียนหลินใจเย็นๆ ก่อน ค่อยๆ คุยกัน”

 

 

“ผมว่าน่าจะถึงเวลาที่จะต้องจริงใจต่อกันจริงๆ แล้วนะครับ ว่าไหม?” หลินปู้ฟานจ้องมองไปที่ฟางเจี้ยงหนาน

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่ฟางเจี้ยงหนานได้พบกับบุคคลที่ดูทรงพลังจนทำให้เขารู้สึกประหม่าขนาดนี้

 

 

ก่อนที่จะมา เขาตบหน้าอกและสัญญากับหัวหน้ากองบรรณาธิการ: เขาเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ เท่านั้น เราเสนอเงินไปให้ไม่กี่แสน เขาก็คงจะดีใจจนเนื้อเต้นแล้ว

 

 

“นักเรียนหลินผมประเมินคุณต่ำเกินไปอีกครั้งแล้ว ผมขอโทษจริงๆ ครับ”

 

 

“ไม่เป็นไร ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้วคุณจะกลับไปเลย? หรือว่าจะคุยกับผมต่อ?”

 

 

“คุยกันต่อครับ!”

 

 

“อืม ผมจะไม่อ้อมค้อมกับคุณละนะ ในเมื่ออาจารย์เฟิงโหวได้ 6 ล้านงั้นผมขอ 3 ล้าน”

 

 

ครึ่งหลังของ”ตำนานเก้ากระบี่”ท้ายที่สุดจะถูกเขียนโดยอาจารย์เฟิงโหว หลินปู้ฟานแค่คัดลอกครึ่งหลังจากความทรงจำมาเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการเรียกร้องมากเกินไปแค่ 3 ล้านก็พอ

 

 

“3 ล้าน?” ฟางเจี้ยงหนานขมวดคิ้ว

 

 

“ทำไม? มันเยอะเกินไป? ถ้าตีพิมพ์ครึ่งหลังออกไปกองบรรณาธิการของคุณน่าจะมีรายได้หลายสิบล้าน” หลินปู้ฟานพูดอย่างเหยียดหยาม “คุณกินเนื้อ แต่คุณต้องการให้คนอื่นกินซุปอย่างงั้นเหรอ?”

 

 

“ผมตัดสินใจเรื่องนี้ด้วยตัวเองไม่ได้ ผมคงต้องขอปรึกษาหัวหน้าสักครู่” บรรณาธิการฝางหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมาและออกไปข้างนอกเพื่อโทรหากองบรรณาธิการ

 

 

หลินเจิ้งตงมองลูกชายของเขาด้วยความงุนงง “นั่นมันไม่มากเกินไปเหรอลูก? ถ้าพวกเขาไม่เห็นด้วยลูกก็ลดให้เขาหน่อยก็ได้นะ”

 

 

“พ่อไม่ต้องห่วงครับ แค่ 3 ล้านไม่ถือว่ามากเกินไป”

 

 

“พ่อไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการเขียนหนังสือจะทำเงินได้มากขนาดนี้” หลินเจิ้งตงอุทาน “ไม่น่าแปลกใจเลยที่มีคำพูดว่า”มีบ้านทองคำช่อนอยู่ในหนังสือ””

 

 

สิบนาทีต่อมา ฟางเจี้ยงหนานเดินเข้ามาและพูดอย่างจริงจัง “หัวหน้ากองบรรณาธิการเห็นด้วยแล้วครับ แต่เพราะครึ่งหลังถูกเผยแพร่ในนามปากกาของอาจารย์เฟิงโหว ทำให้เราไม่สามารถจ่ายคุณผ่านหน่วยงานบรรณาธิการของเราได้ แต่เราจะใช้บัญชีอื่นเพื่อโอนเงิน 3 ล้านหยวนไม่รวมภาษีให้คุณแทน”

 

 

“ตามนั้น” หลินปู้ฟานพยักหน้า การแสดงออกที่เรียบง่ายบนใบหน้าของเขาราวกับว่าเขากำลังพูดถึงเงินเพียงแค่ 300 หยวนเท่านั้น

 

 

สิ่งนี้ทำให้ฟางเจี้ยงหนานมองว่าหลินปู้ฟานลึกลับมากขึ้นไปอีก

 

 

เงินตั้ง 3 ล้าน ทั้งชีวิตของฉันยังหาเงินขนาดนั้นไม่ได้เลย แต่เด็กคนนี้กลับไม่แปลกใจกับมันเลยสักนิดเดียว

 

 

หรือเขาแค่แกล้งแสดงให้ฉันเห็นโดยมีจุดประสงค์อื่น?

 

 

“นักเรียนหลิน เราจำเป็นต้องลงนามในข้อตกลงเพื่อรักษาความลับด้วยนะครับ หลังจากการเปิดตัวของครึ่งหลังคุณจะไม่สามารถเปิดเผยให้โลกภายนอกได้ว่าสิ่งนี้เขียนโดยคุณ และคุณต้องปฏิบัติตามข้อตกลงการรักษาความลับอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ผลประโยชน์ทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นในครึ่งหลังนั้นจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณ”

 

 

“ผมรู้เรื่องนั้นดีครับ ไม่ต้องกังวล”

 

 

“แล้วผมจะนำเอกสารมาให้ในวันพรุ่งนี้ครับ หลังจากลงนามแล้วผมจะส่งโอนเงินให้คุณ”

 

 

“ครับ!”

 

 

เรื่องจบลงแล้ว แต่ฟางเจี้ยงหนานยังไม่ออกไป เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามออกมา “เรื่องปล้นสุสานที่คุณเล่าให้คณบดีเฉินฟัง คณบดีเฉินก็บอกผมแล้วด้วยเหมือนกันครับ มันน่าสนใจมากถ้าได้พิมพ์ออกมามันต้องขายดีแน่นอน คุณสนใจที่จะเขียนมันออกมาไหม?”

 

 

หลินปู้ฟานยิ้ม “บรรณาธิการฟาง แม้ว่าคุณจะเป็นคนเจ้าเล่ห์ แต่คุณก็มองการณ์ไกลอยู่เหมือนกันนะครับ”

 

 

ใบหน้าของฟางเจี้ยงหนานเป็นสีฟ้าและขาว เขาถูกนักเรียนมัธยมแกล้งแหย่แต่ก็ไม่สามารถเถียงอะไรได้เลย “ถ้าอย่างนั้นคุณสามารถเขียนช่วงต้นออกมาสัก 1 แสนคำให้ผมก่อนได้ไหมครับ?”

 

 

“ไม่มีปัญหาครับ ผมจะส่งไปให้คุณทันทีหลังจากที่เขียนเสร็จ”

 

 

“นั่นมันเยี่ยมมาก!”

 

 

หลังจากออกจากบ้านเช่าของหลินปู้ฟาน ฟางเจี้ยงหนานก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมอง “เด็กคนนี้ไม่ง่ายเลย”

 

 

วันรุ่งขึ้นฟางเจี้ยงหนานและหลินปู้ฟานได้ลงนามในข้อตกลงไม่เปิดเผยข้อมูลอย่างราบรื่น

 

 

เงิน 3 ล้านได้ถูกโอนเข้าไปบัญชีธนาคารของหลินเจิ้งตง

 

 

หลินเจิ้งตงมองไปที่สมุดบัญชีเงินฝากราวกับความฝัน

 

 

3 ล้าน เงิน 3 ล้าน

 

 

ทั้งชีวิตนี้ เขาไม่มีทางหาเงินได้มากมายขนาดนี้แน่นอน

 

 

“ลูกชาย ลูกยอดเยี่ยมมาก” หลินเจิ้งตงกอดหลินปู้ฟาน

 

 

“พ่อ ผมว่าเราควรจะซื้อบ้านใหม่กันนะครับ”

 

 

“ใช่เราควร…” หลินเจิ้งตงพูดยังไม่จบ เขาหยุดไปสักพักและเปลี่ยนคำพูด “รอให้แม่ของลูกกลับมาก่อน จากนั้นเราค่อยไปซื้อด้วยกัน”

 

 

“ครับ.. เราจะได้เลือกบ้านที่แม่ชอบด้วย”

 

 

“ลูกชายที่ดี!”

 

 

ในวันที่ 4 ตุลาคม หลินปู้ฟานขอให้จางอี้หนี่ไปที่หลิงซานด้วยกัน เพราะวันนี้เป็นวันที่หลิงซานจะขุดพบ”กระถางสำริด”

 

 

ช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์นี้ หลินปู้ฟานต้องการเห็นมันด้วยตาของเขาเอง

 

 

จางอี้หนี่เองก็อยากพบเขาเช่นกัน

 

 

ระหว่างทางจางอี้หนี่พูดกับหลินปู้ฟาน “ต้องรอให้กระถางสำริดถูกขุดขึ้นมาก่อน ป้าถึงจะวางใจได้”

 

 

จางอี้หนี่ทุ่มความมั่งคั่งให้กับกุ้ยซานไปทั้งหมด ถ้าหลิงซานได้รับพัฒนาขึ้นมา การพัฒนาของเขตกุ้ยซานก็จะได้รับผลกระทบ

 

 

“ไม่ต้องห่วงครับ วันนี้เราจะได้ร่วมเป็นสักขีพยานในช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์”

 

 

ในชีวิตก่อนหน้านี้หลินปู้ฟานได้ไปพิพิธภัณฑ์หลิงซานบ่อยครั้ง และสมบัติหลักของพิพิธภัณฑ์ก็คือ”กระถางสำริด”ที่ถูกหล่อมาจากทองแดง ปากแปดเหลี่ยมที่คดเคี้ยวสลักด้วยลวดลายเทพเจ้าหวนชูซิงอย่างสวยงาม

 

 

“เสี่ยวหลินหลานรู้ตำแหน่งที่จะขุดพบไหม?”

 

 

“ผมไม่รู้ แต่ตามที่บันทึกมันคือวันนี้ครับ”

 

 

“ตามที่บันทึกเหรอ?” จางอี้หนี่เลิกคิ้วเบาๆ

 

 

หลินปู้ฟานเหล่ตา เขารู้ตัวว่าเผลอหลุดปากไปแล้ว

 

 

“เสี่ยวหลิน ป้าเริ่มสนใจหลานมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วจริงๆ” จางอี้หนี่โน้มตัวเข้าไปหาหลินปู้ฟานจนให้ได้กลิ่นที่หอมสดชื่น

 

 

แม้เป็นเด็กแต่ช่างมีเสน่ห์และความลึกลับมากมายจริงๆ น่าสนใจ

 

 

หลังจากมาถึงหลิงซานทั้งสองคนก็เดินไปตามถนนในหมู่บ้าน

 

 

นับตั้งแต่มีการประกาศเขตพัฒนา หลิงซานก็วุ่นวายมากขึ้น ด้านหนึ่งมีพ่อค้าหลั่งไหลเข้ามามากมาย อีกด้านหนึ่งชาวบ้านก็กำลังตกแต่งบ้านกันอย่างกระตือรือร้น

 

 

“คุณจะขายบ้านหรือเปล่า? บริษัทของเราจะซื้อมันในราคาสูง” ชายหนุ่มในชุดพนักงานบริษัทวิ่งมาข้างหน้าและยื่นนามบัตรของเขาให้หลินปู้ฟานและจางอี้หนี่

 

 

“พวกเราไม่ใช่ชาวบ้านของที่นี่” จางอี้หนี่พูด

 

 

“โอ้!” ชายหนุ่มมองไปที่จางอี้หนี่ “ดูจากชุดของคุณ คุณคงมาหาซื้อบ้านที่นี่สินะ ผมจะบอกอะไรให้ ตั้งแต่ประกาศเขตพัฒนา ที่นี่ก็ไม่มีบ้านเหลืออีกแล้วอย่าเสียเวลาเลย กลับไปเถอะ”

 

 

“ขอบคุณ แต่ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อซื้อบ้าน ฉันแค่มาดูอะไรบางอย่างเท่านั้น” จางอี้หนี่ยิ้มและพาหลินปู้ฟานเดินไปข้างหน้า

 

 

ทั้งสองมาถึงบ้านที่อยู่ในตรอกอีกครั้ง ที่นี่เป็นสถานศึกษาของหลิงซานในสมัยโบราณ บอกได้เลยว่าบ้านหลังนี้คือบ้านที่มีค่าที่สุดในหลิงซาน

 

 

น่าเสียดายที่มันเป็นวัตถุทางประวัติศาสตร์ไม่งั้นคงขายได้ราคามากแน่ๆ

 

 

“พี่สาว!” กู่ซินเยว่ยืนอยู่ที่ลานกว้าง

 

 

“ซินเยว่” จางอี้หนี่เดินเข้ามา

 

 

“พี่สาว พี่ควรจะรู้ว่าหลิงซานเป็นหนึ่งในเขตพัฒนาเศรษฐกิจและลานแห่งนี้ก็มีค่าที่สุดในหลิงซานนะ” กู่ซิวเยว่กล่าวอย่างมีชัย “น้องซื้อที่นี่ไปในราคา 5 ล้านและรอให้มีการพัฒนาที่นี่เสียก่อน น้องจะสามารถทำเงินได้มากเป็นสองเท่าแน่นอน”

 

 

จางอี้หนี่แตะขมับของตัวเองและพูดออกมาอย่างเห็นใจ “บางทีมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้น”

 

 

“น้องไม่เข้าใจว่าพี่หมายถึงอะไร พี่ไม่ได้ลงทุนในเขตเผิงปู้เหรอ?”

 

 

จางอี้หนี่ไม่ตอบ แต่กลับถามกลับไปแทน “เธอไม่ได้กู้เงินมาลงทุนใช่ไหม?”

 

 

“น้องกู้มา 2 ล้าน”

 

 

“โชคดีที่ไม่ได้กู้มามากกว่านี้”

 

 

สำหรับบ้านในสวนที่กู่ซิวเยว่ซื้อมาในราคา 5 ล้านหยวน ในตอนท้ายรัฐบาลก็จะคืนเงินให้เธอเพียง 5 ล้านหยวนตามราคาที่ซื้อมาเช่นกัน นั่นจะทำให้เธอต้องเสียดอกเบี้ยให้กับธนาคารไปฟรีๆ

 

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าไร้สาระ น้องไม่เข้าใจพี่จริงๆ พี่กำลังอิจฉาน้องอยู่เหรอ?” กู่ซินเยว่ยิ้มอย่างร่าเริง

 

 

“ช่างมันเถอะ มีโรงน้ำชาอยู่แถวนี้ เราไปหาที่ดื่มชาและคุยเรื่องอื่นๆ กันเถอะ” จางอี้หนี่ไม้ต้องการพูดเรื่องนี้ต่อ

 

 

ทั้งสามจึงไปที่ร้านชาสมุนไพรหลิงซาน

 

 

ร้านชาสมุนไพรหลิงซานมีสามชั้น มีปูนปั้นและรูปชาประดับอยู่ที่หน้าประตู โดยมีผู้ชายสวมเสื้อผูกปมจีนสีเทาคอยต้อนรับ

 

 

“แขกผู้มีเกียรติทั้งสามท่านเชิญทางนี้” ผู้ชายที่ประตูกล่าวต้อนรับ

 

 

ทั้งสามคนนั่งลงที่ชั้นสามของโรงน้ำชา พวกเขาสั่งชาหลงจิ่งมาหนึ่งกาและของว่างอีก 2-3 อย่าง

 

 

กู่ซิวเยว่อารมณ์ดี ทั้งสามเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับพัฒนาการของเขตหลิงซาน

 

 

ครึ่งชั่วโมงต่อมาร่างที่คุ้นเคยก็ปรากฏตัวขึ้นที่ชั้นสาม

 

 

เธอก็คือหลินปิง ป้าของหลินปู้ฟาน

 

 

ถัดจากเธอคือผู้หญิงในวัย 40 ที่แต่งตัวอย่างมีสไตล์ สวมแว่นกันแดด ดัดผมลอนและสวมผ้าพันคอผ้าไหม

 

 

ผู้หญิงคนนี้มีชื่อว่าเหอหยวนเซียง เธอเป็นน้องสาวคนเล็กของหลินปิงและสามีของเธอก็ทำงานในรัฐบาล

 

 

เมื่อเดือนกันยายน หลินปิงรู้จากเหอหยวนเซียงว่าเผิงปู้กำลังจะกลายเป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจ เธอจึงจำนองบ้านและร้านค้าสองแห่งเพื่อกู้เงินจากธนาคารมา 2 ล้าน และนอกจากนั้นเธอยังถามยืมเงินจากพี่ชายคนโตของเธอจนได้เงินมาอีก 1 แสนหยวน

 

 

พี่น้องทั้งสี่คนของครอบครัวหลินมีหลินเจิ้งกั๋วเป็นพี่ชายคนโต หลินปิงเป็นลูกคนที่สอง หลินเจิ้งจุนและหลินเจิ้งตงเป็นคนสุดท้อง ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านหลินเจิ้งตงก็ได้ไปคุกเข่าเพื่อขอยืมเงินจากหลินเจิ้งกั๋วและหลินเจิ้งจุนมาเหมือนกัน แต่พวกเขาก็บอกว่าอาการป่วยของจางซิ่วเยว่นั้นไม่มีทางที่จะรักษาได้ และปฏิเสธที่จะให้ยืมเพราะพวกเขากลัวว่าหลินเจิ้งตงจะไม่สามารถหาเงินมาจ่ายคืนได้

 

 

หลังจากที่หลินปิงและเหอหยวนเซียงนั่งลงแล้ว พวกเธอก็สั่งชาและของว่าง

 

 

หลังจากนั้นไม่นานหลินปิงก็เห็นกู่ซิวเยว่และคนอื่นๆ เมื่อเธอนึกถึงความไร้เหตุผลของกู่ซิวเยว่ที่เคยทำกับตัวเธอ การแสดงออกของเธอก็กลายเป็นโอ้อวดทันที

 

 

“อ้าว! นั่นหัวหน้ากู่ไม่ใช่เหรอ?” หลินปิงพูดด้วยท่าทางแปลกใจ “ช่างบังเอิญอะไรขนาดนี้”

 

 

กู่ซินเยว่กลอกตาของเธอ “ออกไปเถอะ ฉันไม่อยากคุยกับคนแบบคุณ”

 

 

“หืม กู่ซิวเยว่คุณมันก็แค่เจ้าของโรงงานเสื้อผ้าเท่านั้น อย่ามาทำเป็นอวดดี แม่ของฉันซื้อบ้านเก่า 6 หลังในหลิงซานและมันกำลังจะได้รับการพัฒนาในเร็วๆ นี้ เมื่อถึงตอนนั้นฉันจะเปิดโรงงานเป็นของตัวเอง”

 

 

“นั่นเป็นสิทธิ์ของคุณไม่จำเป็นต้องบอกฉัน” กู่ซิวเยว่กล่าวอย่างเย็นชา

 

 

“หืม? ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมถึงมีผู้หญิงวัยกลางคนสองคนอยู่กับหลานชายของฉันเสมอเลย เป็นไปได้ไหมว่าวัวแก่อยากจะแทะหญ้าอ่อน? ไม่ธรรมดาจริงๆ แกนี่ไม่ทำธรรมดาจริงๆ พ่อของแกรู้เรื่องนี้ด้วยไหม?” หลินปิงพูดอย่างดูถูก

 

 

หลินปู้ฟานไม่ได้โกรธหรือรำคาญใดๆ เขาดื่มชาอย่างสงบและผ่อนคลาย

 

 

“รอก่อนเถอะกู่ซิวเยว่ หลังจากที่ฉันได้เปิดโรงงานเสื้อผ้าขนาดใหญ่แล้ว ตอนนั้นเสื้อผ้าของคุณจะขายไม่ออกแม้แต่ตัวเดียว”

 

 

“ถ้าคุณมีความสามารถขนาดนั้นก็ลองดู”

 

 

“ไม่ต้องห่วง ฉันทำได้แน่นอน”

 

 

ในตอนนั้นเองก็มีเสียงตะโกนดังมาจากถนน “มีคนขุดเจออะไรบางอย่าง…”

 

 

มีการกั้นเขตเป็นพื้นที่ห้ามเข้าที่ถนนอิฐฟ้า

 

 

คนในโรงน้ำชาออกไปมุงดู

 

 

คณะกรรมการหมู่บ้านออกมาป้องกันสถานที่ที่ขุดค้นพบทันที

 

 

หนึ่งชั่วโมงต่อมา เจ้าหน้าที่ของรัฐบาล ทีมโบราณคดีและผู้คนจากสมาคมประวัติศาสตร์ก็มาถึง

 

 

ที่เกิดเหตุมีน้ำล้อมรอบ

 

 

“ดูนั่น!”

 

 

“พระเจ้าให้ของขวัญกับเราแล้ว ตอนนี้หลิงซานได้ขุดของโบราณขึ้นมาได้ อย่างงี้เราก็สามารถเรียกค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นได้ใช่ไหม?”

 

 

“ไร้สาระ พวกเราทุกคนต่างก็เป็นคนของหลิงซานและของพวกนั้นก็ถูกขุดพบที่นี่ เราจะต้องได้ค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าแน่นอน”

 

 

เมื่อได้ยินความคิดเห็นของชาวบ้านหลินปิงและเหอหยวนเซียงก็หันหน้ามายิ้มให้กันทันที

 

 

“เรารวย เรารวยแล้วฮ่าฮ่าฮ่า…”

 

 

“นี่คือพรของพระเจ้า” เหอหยวนเซียงเองก็ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ของหลิงซานไปเช่นกัน

 

 

กู่ซิวเยว่ที่ยืนอยู่รอบนอกสุดใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความพึงพอใจ “เฮ้อ.. น่าเสียดายจังที่พี่ไม่ได้ลงทุนที่นี่”

 

 

จางยี่หนี่ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ และไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

 

เมื่อนักโบราณคดีเดินออกมาก็มีคนดึงเธอเข้ามาถาม “สหาย สมบัติอะไรที่ถูกขุดออกมา?”

 

 

“ฉันเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ”

 

 

“สหาย แล้วยังมีสมบัติชิ้นอื่นๆ อีกไหม?”

 

 

“เรื่องนี้ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”

 

 

“สหาย หากเรายังมีสมบัติอยู่ใต้หลิงซานอีก นั้นก็หมายความว่าเราจะสามารถขึ้นราคาของบ้านเราได้ใช่ไหม?”

 

 

นักโบราณคดีมองไปที่ชาวบ้านที่โง่เขลาและพูดว่า “หากมีวัตถุโบราณทางวัฒนธรรมอยู่ใต้หลิงซาน สถานที่แห่งนี้ก็จะถูกระบุว่าเป็นพื้นที่อนุรักษ์ทางประวัติศาสตร์ทันที”

 

 

“หมายความว่ายังไง?”

 

 

“หมายความว่าที่นี่จะไม่มีการพัฒนาใดๆ ทั้งสิ้น” นักโบราณคดีตอบ

 

 

อย่างตอนนั้นเมื่อมีการค้นพบสุสานของจิ๋นซีฮ่องเต้ ในปีนั้นหมู่บ้านทั้งหมดในพื้นที่นั้นก็ถูกรวมไว้ในเขตสงวนด้วย

 

 

ในอนาคตเรื่องแบบนี้ก็เกิดขึ้นเช่นกัน มีตัวอย่างมากมายที่ถนนหลายสายที่ถูกสร้างเลี่ยงต้นไม้ที่มีอายุหลายศตวรรษ

 

 

หลินปิงได้ยินการสนทนาระหว่างชาวบ้านกับนักโบราณคดี ความกังวลก็อัดแน่นขึ้นมาที่คอของเธอทันที “สหาย ฉันลงทุนเงินทั้งหมดที่มีไว้ในหลิงซานหมดแล้วมันจะเป็นอย่างนั้นไม่ได้ ยกเลิกการขุดบ้าๆ นี่เดี๋ยวนี้!”

 

 

หลินปิงทำให้นักโบราณคดีโกรธ “คุณเป็นใคร? นี่คืองานของเรา งานของรัฐบาล คุณมีสิทธิ์อะไรมาสั่งเรา!?”

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด