อัจฉริยะเขย่าโลก (重生之最强人生) – บทที่ 67 กรบฝัง
วันรุ่งขึ้น หลินปู้ฟานลุงซูและจางอี้นี่ขับรถไปยังพื้นที่ที่มีค่าที่สุดที่หลินปู้ฟานเคยกล่าวถึง
ลุงซูถามอย่างไม่เข้าใจ “ตอนนี้ทุกคนรู้เรื่องเขตพัฒนาเศรษฐกิจกันหมดแล้ว ทำเลที่ดีๆ คงถูกบริษัทใหญ่ๆ ทำสัญญาและพัฒนาไปหมดแล้วด้วย ต่อให้เราไปเราก็คงไม่ได้ที่ดีๆ แน่”
จางอี้นี่เองก็คิดแบบเดียวกัน
หลินปู้ฟานยิ้ม “ไม่ต้องกังวลครับลุงจะรู้เองเมื่อลุงไปถึงที่นั่น”
รถมุ่งหน้าไปทางเขตพัฒนาเศรษฐกิจ …
หลังจากเข้าสู่เขตพัฒนาเศรษฐกิจ หลินปู้ฟานก็ไม่ได้บอกให้หยุดรถตรงไหนเลย เขาแค่ให้ขับไปเลื่อยๆ
ตามเส้นทางของหลินปู้ฟาน รถขับออกจากเขตพัฒนาเศรษฐกิจ
ลุงซูไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป “เสี่ยวหลิน เราเลยเขตพัฒนาเศรษฐกิจกันมาแล้วนะ?”
“ผมรู้ครับ เดี๋ยวเลี้ยวขวาที่สี่แยกข้างหน้าด้วยครับ”
หลังจากเลี้ยวขวา พวกเขาก็ขับรถต่อไปอีก 10 นาทีก็มาถึงที่ทิ้งขยะผิงซาน
พื้นที่ทั้งหมดที่นี่เต็มไปด้วยเนินเขาขยะที่มีทุ่งนาอยู่ห่างออกไป ที่นี่เป็นจุดตัดระหว่างหางโจวและถงเฉิง
เมื่อลงจากรถ กลิ่นเหม็นไหม้ก็ลอยเข้ามากระทบกับจมูก
จางอี้นี่กับลุงซูแทบจะอาเจียนออกมา “เสี่ยวหลินทำไมเราถึงมาที่นี่? ที่นี่มันแย่สุดๆ”
หลินปู้ฟานชี้ไปที่กองภูเขาขยะที่สูงตระหง่านอยู่ไม่ไกลและกล่าวว่า “ที่นี่จะเป็นที่ที่มีค่าที่สุดของเขตพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคต”
“ห๊ะ? เธอ… เธอบ้าไปแล้วเหรอ? ที่นี่มันที่ทิ้งขยะนะ ใครมันจะบ้ามาสร้างบ้านและห้างสรรพสินค้าที่นี่?” สภาพของจางอี้นี่ไม่สู้ดีนัก แม้ว่าตอนนี้จะเข้าสู่เดือนตุลาคมแล้วแต่ก็ยังมีแมลงวันบินเต็มไปหมด
ใบหน้าของลุงซูเปลี่ยนเป็นสีเข้ม “เสี่ยวหลิน… บอกลุงที่ว่านี่เป็นแค่มุกตลกใช่ไหม?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า… ลุงไปตัดแว่นเถอะ เมื่อไหร่ที่ลุงสายตายาวกว่านี่ลุงจะเข้าใจเอง” หลินปู้ฟานมองไปรอบๆ และเห็นเนินเขาที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ร้อยเมตร “เราจะไปที่นั่นกัน”
ทั้ง 3 คนขึ้นไปบนยอดเขา
อ่านนิยาย novelza.com
เมื่อมองไปรอบๆ จากที่นี่จะสามารถเห็นซากปรักหักพังทุ่งนาและที่ทิ้งขยะที่ส่งกลิ่นเหม็นได้ทั้งหมด
“ที่นี่ไม่ใช่เขตพัฒนาเศรษฐกิจอีกต่อไปแล้ว เพราะมันเป็นจุดตัดของสองเมือง” จางอี้นิกล่าว
ลุงซูยังคงกล่าวเสริมด้วยใบหน้าบึ้งตึง “ฉันจำที่นี่ได้ มันเคยออกอากาศในข่าวเมื่อไม่กี่ปีก่อนว่าสถานที่นี้ถือว่าไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทั้งหางโจวหรือถงเฉิง มันเป็นเขตที่ 3 ที่เป็นจุดตัดของ 2 มณฑลทำให้การบริหารงานที่นี่เป็นเรื่องยาก แล้วอย่างงี้มันจะไปเป็นทำเลที่ดีที่สุดได้ยังไง? ที่นี่มันไม่ได้เป็นหนึ่งในเขตพัฒนาเศรษฐกิจด้วยซ้ำ”
หลินปู้ฟานยิ้มและกล่าวว่า “ลุงลองมองออกไปให้ไกลสิครับ”
ทั้งสองมองไปไกลออกไป
หลังจากมองมานานจางอี้นี่ก็พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนิดๆ “นอกจากขยะแล้วป้าก็มองไม่เห็นอะไรเลย ป้าไม่เข้าใจว่าที่นี่มันดีที่สุดยังไง?”
“ที่ทิ้งขยะผิงซานแห่งนี้อยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว ทำให้พื้นที่รอบนอกแถวนี้สภาพแย่ไปด้วย” ลุงซูพูดเสริม
“สายตาของคุณลุงกับคุณป้าสั้นจริงๆ” หลินปู้ฟานชี้นิ้วของเขาไปในทิศทางนอกที่ทิ้งขยะ “ดูให้ดีสิครับ จุดสิ้นสุดของที่ทิ้งขยะนี้คืออะไร?”
ทั้งสองมองตามมือไป
หลังจากนั้นไม่นานจางอี้นี่ก็พูดว่า “ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นแม่น้ำที่…เน่าเหม็น?”
“อ่า.. มีขยะลอยในแม่น้ำเต็มไปหมดเลย น่าขยะแขยงจริงๆ” ลุงซูขนลุก
“ลุงรู้ไหมว่าบ้านในพื้นที่ไหนที่แพงที่สุดนอกจากบ้านที่อยู่ไกล้เขตการศึกษา?” หลินปู้ฟานถามขึ้นมา
ทั้งจางอี้นี่และลุงซูไม่ได้มีความรู้ทางด้านอสังหาริมทรัพย์เท่าไหร่ พวกเขารู้แค่เพียงว่าบ้านที่อยู่ในใจกลางเมือง สถานที่ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันและสถานที่ที่มีการขนส่งสดวกสบายจะมีราคาแพงที่สุด
เพราะเวลานี้ยังไม่มีแนวคิดเรื่อง”บ้านริมน้ำ”จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ทั้งสองจะคิดแบบนั้น
“บ้านที่แพงที่สุดในอนาคตคือบ้านที่อยู่ริมแม่น้ำและริมทะเลที่สามารถเห็นวิวและรับคลื่นลมที่สดชื่นจากทะเลได้ครับ” หลินปู้ฟานพูดต่อด้วยรอยยิ้ม “แม่น้ำที่มีกลิ่นเหม็นนี้เชื่อมต่อกับแม่น้ำเฉียนถังและในปีหน้ารัฐจะก็จะเสนอให้มีการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมที่นี่เพื่อที่จะทำเป็นเขตปกครองร่วมกัน แม่น้ำที่เน่าเหม็นและบ่อทิ้งขยะพวกนี้จะหายไปและแม่น้ำที่เน่าเหม็นนี้ก็จะถูกขุดขยายออกให้กลายเป็นแม่น้ำที่กว้างหลายร้อยเมตร ทั้งสองฝั่งของแม่น้ำจะเปลี่ยนให้เป็นทิวทัศน์ที่สวยงาม ตอนกลางคืนต้นไม้จะประดับประดาไปด้วยแสงไฟพันดวงจนทำให้พื้นที่แถวนี้จะกลายเป็นพื้นที่ที่ไม่มีวันหลับ… “
หลินปู้ฟานบรรยายถึงสภาพแวดล้อมที่นี่ในชาติก่อน
เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ลุงซูและจางอี้นี่ตกตะลึง
“ที่นี่มันเหลือเชื่อมาก มันจะถูกรวมเข้าไปอยู่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคตด้วยไหม?” ลุงซูถามด้วยความประหลาดใจ
“ตราบใดที่โครงการบำบัดน้ำในแม่น้ำเริ่มต้นขึ้น พื้นที่นี้ก็จะถูกรวมเข้าไปเป็นหนึ่งในเขตพัฒนาเศรษฐกิจทันทีและที่ทิ้งขยะผิงซานนี้ก็จะถูกฝังกลบไปด้วย” หลินปู้ฟานอธิบาย
ลุงซูและจางอี้นี่มองหน้ากัน ศรัทธาของพวกเขาเพิ่มมากขึ้น
“เราเชื่อในตัวเธอ”
“บริษัทเป็นของทุกคน ผมไม่สามารถตัดสินใจอะไรด้วยตัวเองได้” หลินปู้ฟานพูดพร้อมกับชี้ไปที่ที่ทิ้งขยะ “สาเหตุที่เราไม่ได้มาซื้อที่นี่ในเดือนกันยายน เพราะว่าในตอนนั้นยังมีข่าวลืออยู่ว่าที่นี่จะรวมอยู่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจด้วยและตอนนี้เมื่อหมอกจางลงแล้วที่ก็ยังไม่ถูกรวมเข้าไป มันจึงทำให้ที่นี่ราคาถูกลงเพราะไม่มีใครสนใจมันอีก”
ที่ทิ้งขยะผิงซานดำเนินการโดยบริษัทเอกชนและเป็นสาขาของบริษัทที่ชื่อไป๋เฉิงกรุ๊ป
ไป๋เฉิงกรุ๊ปเป็นองค์กรเก่าแก่ของหางโจวที่ก่อตั้งขึ้นในต้นปี 1970 ในช่วงแรกไป๋เฉิงกรุ๊ปนั้นเป็นแค่หน่วยงานย่อยของรัฐวิสาหกิจเท่านั้น แต่หลังจากการปฏิรูป อัตราการถือหุ้นก็เปลี่ยนไปและได้กลายเป็นองค์กรเอกชนอย่างเต็มตัวในช่วงต้นทศวรรษ 1990
นอกจากนี้ ในตอนแรกช๋งไป่หมิงเจ้าของแบรนด์ไป๋เฉิงกรุ๊ปคนปัจจุบันก็ต้องการจะทำกำไรจากที่ทิ้งขยะนี้ แต่ก็ต้องสูญเสียเงินไปเนื่องจากต้นทุนในการกำจัดขยะที่เพิ่มสูงขึ้น
ในเดือนกันยายนหลังจากข่าวการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจกระจายออกมา ผู้บังคับบัญชามากกว่าหนึ่งโหลมาขอให้ช๋งไป่หมิงขายที่ทิ้งขยะนี้ให้
แต่ช๋งไป่หมิงไม่ขายเพราะเขารู้สึกว่าที่ทิ้งขยะนี้จะต้องรวมอยู่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจแน่นอนและตอนนั้นเขาก็จะสร้างรายได้จากการพัฒนาพื้นที่นี้ด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตามหลังจากการประกาศขอบเขตเขตพัฒนาเศรษฐกิจในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เขาก็ต้องตกตะลึงเพราะที่ทิ้งขยะไม่ได้เป็นพื้นที่ที่ถูกกำหนดให้เป็นส่วนหนึ่งของเขตพัฒนาเศรษฐกิจ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือแผนที่เขาเตรียมไว้นั้นมันล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม
ตอนนี้ช๋งไป่หมิงคงอยากจะร้องไห้แต่ก็ไม่มีน้ำตา แต่เดิมที่ทิ้งขยะนี้ก็กำลังจะขาดทุนอยู่แล้วและจากการที่เขาไม่ยอมขายและถือครองมันมาต่อจึงทำให้ตอนนี้มันกลายเป็นเหมือนเผือกร้อนๆ สำหรับเขาไปแล้ว
ทำไมมันเป็นถึงเผือกร้อน? ก็เพราะที่ทิ้งขยะมันไม่เหมือนกับธุรกิจอื่นๆ บริษัทด้านสิ่งแวดล้อมสาธารณะนั้นถ้ายังไม่บรรลุตามข้อตกลง 3 ปีของรัฐบาลก็จะไม่สามารถปิดลงได้ต่อให้อยากปิดมากแค่ไหนก็ตาม
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือถ้าหลินปู้ฟานซื้อที่ทิ้งพวกนี้ไป เขาจะต้องดำเนินการต่อไปอีก 3 ปีหรือย้ายไปที่อื่นเพื่อที่จะดำเนินการอีกเป็นเวลา 3 ปี
ช๋งไป่หมิงไม่สามารถนอนหลับได้ในสภาพแบบนี้
อ่านนิยาย novelza.com
หลังจากหลินปู้ฟานอธิบายแผนสำหรับอนาคต จางอี้นี่กับลุงซูก็ตกลงที่จะซื้อที่ทิ้งขยะ
“ผมได้ตรวจสอบล่วงหน้ามาแล้วว่าที่ทิ้งขยะนี้เป็นสาขาของไป๋เฉิงกรุ๊ป ซึ่งอาจมีมูลค่ามากถึง 20 ล้านหยวน” หลินปู้ฟานกล่าว
“เสี่ยวหลินลุงชื่นชมเธอจริงๆ ปรากฎว่าเธอได้ทำการตรวจสอบเรื่องพวกนี้มาก่อนแล้ว” ลุงซูรู้สึกประทับใจหลินปู้ฟานอีกครั้ง
จางอี้นี่แตะไปที่คางสวยๆ ของเธอแล้วพูดว่า “ถ้าตอนนี้เราไปขอซื้อที่นี่มันจะทำให้ไป๋เฉิงกรุ๊ปสงสัยไหม?”
“พวกไป๋เฉิงกรุ๊ปแทบรอไม่ไหวแล้วที่จะขายที่ทิ้งขยะนี้ออกไป” หลินปู้ฟานเอาแบบฟอร์มซึ่งเป็นรายงานธุรกิจของที่ทิ้งขยะผิงซานในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา “พวกเขาขาดทุนติดต่อกันมา 5 ปีแล้ว แต่เนื่องจากความเกี่ยวพันกับรัฐบาลทำให้ไม่สามารถยกเลิกที่นี่ได้ ผมได้ตรวจสอบแล้วว่าในเดือนกันยายนที่ผ่านมามีหลายบริษัทที่ต้องการจะซื้อที่ทิ้งขยะแห่งนี้ด้วยเหตุผลที่ว่าที่ทิ้งขยะแห่งนี้จะรวมอยู่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจ แต่ตอนนี้เขตพัฒนาเศรษฐกิจได้รับการระบุออกมาแล้วโดยไม่มีที่นี่รวมอยู่ในนั้นด้วย ทำให้ตอนนี้เป็นเวลาที่ดีที่สุดที่เราจะซื้อที่แห่งนี้ครับ”
วันต่อมา
ลุงซูและจางอี้นี่ไปที่ไป๋เฉิงกรุ๊ป
เลขาก็เข้าไปรายงาน
ช๋งไป่หมิงขมวดคิ้วและพิงหลังลงที่เก้าอี้หัวหน้าเพื่อสูบบุหรี่ “แปลก! ทำไมพวกเขาถึงต้องการจะซื้อที่ทิ้งขยะไร้ค่านี่?”
ช๋งไป่หมิงไม่เข้าใจ ที่ทิ้งขยะนี้ไม่ได้อยู่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจแล้วทำไมถึงยังมีคนต้องการจะซื้อมันอีก? หรือที่ทิ้งขยะนี่จะรวมอยู่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคต?
คอมเม้นต์